DEC 4 UPDATE: Just posted interview about Thai situation with ASEAN Secretary General Surin Pitsuwan.
DEC 3 UPDATE: I just posted a copy of an email in which William Itoh, former US Ambassador to Thailand, critiques the Thai court forcing PM Somchai’s resignation.
HONG KONG(NOV 28) – Former Thai Prime Minister Thaksin Shinawatra today warned that the protesters blocking Bangkok’s airports must clear out or face the consequences.
In this video below, Thaksin also warned that should the military launch a coup, it would be much more bloody than the previously occasions.
These came out when I had coffee today with Thaksin, who now lives in exile. He spoke passionately about this week’s events in Thailand.
Thaksin is extremely upset by the turn of events and remains closely involved. As we spoke, he took lengthy calls about the situation from two prime ministers in Southeast Asia.
In the video below, Thaksin urges all parties to obey Thai laws and warns that – unlike previous coups – attempts by the Thai military to seize power would go very badly.
Some quotes from the video:
“The airports must be reopened and the protesters must respect not only the law, but the citizens of Thailand,” Thaksin said. “If no one respects the law, then law enforcement must be done.”
“This is dangerous for the country and there will be a long term effect if the Thai people are not united,” Thaksin said. “The protesters need to leave the airports.” “Those who violate the law must be prosecuted.
“If a coup were to happen, there would be bloodshed, this would not be an easy coup like in the past. The people in Thailand now face hardship since dictatorship came.”
Thaksin urged his supporters to “protect democracy”: “If you protect Democracy you may be painful for a while, but if you allow dictatorship to take over Thailand you are going to have a nightmare for your whole life.”
Thaksin’s message to the military: “They are officials whose salary is paid by taxpayer money, so they have to do what is wanted by the whole of the Thai people, not just for minority groups. They must respect Democracy. They must play by the rules. Being neutral means you have to observe the law.”
Life in exile has surreal quality, Thaksin said. He was waiting in line for UK immigration one recent morning when Thai politicians began calling him on his mobile, lobbying for him to support their bids for power. A few days later, while outside of Britain, he learned that he could not go back to the UK. “It takes such a very strange quality sometimes, my life,” Thaksin said.
91 ของความคิดเห็น
Comments feed for this article
ธันวาคม 17, 2008 ที่ 3:09 pm
yern
http://www.managerradio.com/radio/DetailRadio.asp?program_no=1026&mmsID=1026/1026-2499.wma+&program_ID=21476
ธันวาคม 18, 2008 ที่ 8:35 am
pornthip australia
สิ่งที่เราไม่ได้ทำและถูกใส่ร้ายสีก็ขอให้ใอ้อีชั่วมันรับเอาไปสักวันไม่นานขอรับลองว่าไม่นานพวกจะได้รับกรรมขอให้ท่านทักษิณอดทนอดกลั้นกรรมอันที่เคยได้สร้างแต่ภพก่อนก็ดีภพนี้ที่เคยทำกับเขาก็ขออโหสิกรรมจากเขาและที่เขาทำกับก็อโหสิกรรมให้เขาเสียและสักวันหนึ่งจะไม่นานเขาจะมากราบตีนท่านเองขอให้ตั้งความหวังรักษาตนอย่าได้เจ็บได้ใข้พอท่านจะต้องช่วยใครคนหนึ่งท่านจะตายไม่ได้ข้าเจ้ายังรอมาเป็นสิบกว่าปีแล้วท่านจะรอแค่สองปีไม่ได้หรือบ้างทีก็จะไม่ถึงท่านคือตัวช่วยแม่นางนารีขี่ม้าขาวไม่ใช่คนในตระกูลท่านแม่นางขี่ม้าขาวแม่นางนี้กายสะอาดใจสะอาดสู้ๆๆห้ามป๋วยห้ามตายท่านทักษิณขอเป็นกำลังใจให้ท่านเมือสามร้อยปีและชาตินี้
มีนาคม 10, 2009 ที่ 3:03 pm
sonthi
วันที่ 10/03/52 สนธิ ลิ้มทองกุล
http://www.managerradio.com/radio/DetailRadio.asp?program_no=1002&mmsID=1002/1002-8696.wma+&program_ID=22712
มีนาคม 10, 2009 ที่ 3:07 pm
sonthi
มีนาคม 10, 2009 ที่ 3:09 pm
sonthi
ประมวลความผิดของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรมาสรุปเป็นกลุ่ม ๆ ได้เป็น 11 กลุ่ม 11 ข้อหา ดังต่อไปนี้
1. ทำลายระบอบประชาธิปไตยฯ, ละเมิดเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญ 2540
2. ทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ (ละเมิดพระราชอำนาจ)
3. ทำลายสถาบันศาสนา
4. ฉ้อราษฎร์บังหลวง
5. ขายสมบัติชาติ
6. แบ่งแยกดินแดน
7. ทำลายทำนบกั้นกระแสไหลบ่าของโลกาภิวัตน์
8. ทำลายวินัยทางการคลัง
9. ใช้นโยบายการต่างประเทศเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง
10. ทำลายกระบวนการยุติธรรม
11. ทำลายจิตวิญญาณของชาติ
ขอขยายความแต่โดยสังเขปให้เหมาะกับเนื้อที่ ดังต่อไปนี้
ทำลายระบอบประชาธิปไตยฯ, ละเมิดเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญ
หัวใจของระบอบประชาธิปไตยฯ คือการตรวจสอบ ถ่วงดุล เป็นระบบที่มีเหตุมีผล สังคมเปิดกว้าง ไม่ปิดกั้น ให้ความสำคัญกับเรื่องสิทธิและเสรีภาพ เพราะประชาธิปไตยเชื่อว่า สังคมเปิดที่ไม่มีการปิดกั้นข้อมูลข่าวสาร และมีกลไกการตรวจสอบถ่วงดุลที่ดี จะเป็นเครื่องกำกับการใช้อำนาจของผู้ปกครอง แต่ระบอบทักษิณได้ทำลายกลไกทั้งหมด
* ทำลายและครอบงำกลไกการตรวจสอบถ่วงดุล — คือ ส.ส. (ใช้กุศโลบายยุบรวมพรรค) ส.ว. (ซื้อ, แทรกแซง) และองค์กรอิสระ (ซื้อ, แทรกแซง และเข้ากำกับตั้งแต่ขั้นสรรหาและขั้นเลือกในวุฒิสภา)
* ทำลายหลักสิทธิเสรีภาพพื้นฐาน ครอบงำสื่อ ปิดกั้นข้อมูลข่าวสารทั้งทางตรงและทางอ้อม
นอกจากนั้น ระบอบทักษิณยังทำลาย “วัฒนธรรมทางการเมืองประชาธิปไตย” อย่างถึงราก
รูปแบบการเมืองแบบประชาธิปไตยสากลจะใช้ได้ผล ต้องควบคู่ไปกับวัฒนธรรมทางการเมืองแบ[ประชาธิปไตย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรปากอ้างกติกา ๆ แบบนกแก้วนกขุนทอง แต่ไม่รู้ว่ากติกาประชาธิปไตยสากลนั้นไม่ใช่แค่เรื่องเลือกตั้งและเสียงข้างมาก เขาไม่เคยรู้ว่าวัฒนธรรมทางการเมืองแบบประชาธิปไตย ก็คือ การเคารพสิทธิ การเคารพเสรีภาพ และการมีมาตรฐานทางจริยธรรม
นายกรัฐมนตรี และฝ่ายบริหาร ต้องมีมาตรฐานของความรับผิดชอบมากำกับ ยกตัวอย่างเช่น
* กฎหมายไม่ผ่านขั้นตอน – ต้องลาออก
* มีข้อครหาเรื่องคนใกล้ชิดและโคตรเหง้าคอรัปชั่น — ก็ต้องออก
* หรือแม้แต่ประชาชนจับได้ว่าโกหก — ก็ต้องออก
แต่นี่ – พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรท่องแต่คาถา “กูไม่ออก”, “กูไม่สน” และ “กูไม่ผิด” พระราชกฤษฎีกาแปรรูปกฟผ.ถูกศาลปกครองพิพากษาว่าเป็นโมฆะ 2 ฉบับ ตัวเองในฐานะผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโอกงการก็ไม่ยอมลาออก, คอร์รัปชั่นกันโครม ๆ ก็ไม่ออก, โกหกครั้งแล้วครั้งเล่า ก็หน้าด้านอยู่ได้เรื่อย ๆ
ทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์
มีพฤติกรรมจาบจ้วง ใช้วาจาไม่เหมาะสม ละเมิดพระราชอำนาจ ซ้ำซ้อน หลายเรื่อง
ล่าสุดก็คือกรณีเปิดยุทธการชนฟ้าระยะที่ 1 เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2549 กล่าวถึงผู้เสมือนมีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ
ทำลายสถาบันศาสนา
ทำลายธรรมเนียมปฏิบัติของศาสนาพุทธ แบ่งแยกคณะสงฆ์ และสร้างความแตกแยกให้พี่น้องมุสลิม
การแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราชทุกพระองค์ในสมัยรัตนโกสินทร์ แยกไม่ออกจากราชประเพณี โดยธรรมเนียมการแต่งตั้ง ต้องมีความเห็นชอบส่วนพระองค์ลงมาด้วย แต่บังอาจสร้างกติกาใหม่ เรื่องการแต่งตั้งคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ทำให้เกิดสภาวะสมเด็จพระสังฆราชซ้อน 2 พระองค์ โดยไม่กราบทูลขอพระราชทานคำชี้แนะ
ทะเลาะกับองค์กรมุสลิมโลก — แนะให้เลขาธิการโอไอซี กลับไปอ่านอัลกุรอานใหม่
ศาสตราจารย์อิกเมเล็ดดิน อิซาโนกลู เลขาธิการองค์การการประชุมอิสลาม (OIC) ออกแถลงการณ์ที่นครเจดดาห์ ซาอุดีอาระเบีย ลงวันที่ 18 ตุลาคม 2548 แสดงความเป็นห่วงสถานการณ์ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย โดยระบุว่า กังวลกับข่าวความรุนแรงต่อชาวมุสลิมในภาคใต้ของไทย เน้นถึงความสำคัญของการเคารพในสิทธิมนุษยชนในทุกสถานการณ์ และการใช้มาตรการทางกฎหมายดำเนินการกับบุคคลที่พิสูจน์ได้ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำดังกล่าว
โลกมุสลิมมองว่าไทยเกี่ยวข้องกับการทำร้าย และไม่ให้สิทธิที่เท่าเทียมกับชาวมุสลิม เป็นปัจจัยเสริมให้ความรุนแรงในภาคใต้มากขึ้น
ล่าสุดสนับสนุนให้คนของตัวเองเข้าไปเป็นเลขาธิการคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย และตั้งพรรคการเมืองใหม่
อภิมหาฉ้อราษฎร์บังหลวง
สมัยก่อน “โคตรโกง” แต่สมัยนี้ “โกงกันทั้งโคตร” หนักไม่หนักคิดดูก็แล้วกันว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ต้องมีพระราชดำรัสเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2546 ทรงแช่ง
เป็นการโกงแบบใหม่ที่เนียนกว่าเก่า ใช้อำนาจหาผลประโยชน์มิชอบแก่ตนและพวกพ้อง ผ่านนโยบายสาธารณะที่มีวาระซ่อนเร้นทับซ้อนอยู่
สร้างมาตรฐานค่าคอมมิชชั่นใหม่ จากเดิม 10 % มาเป็น 30 %
ขายสมบัติของชาติ
เป็นการขายโดยผ่านนโยบายแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ยึดสมบัติชาติเป็นสมบัติตัวและพวกพ้อง ผ่านทางการกระจายหุ้นในตลาด และให้ Nominee ทั้งไทยและฝรั่งเข้ามาถือครอง
ดึงต่างชาติเข้ามาร่วมถือครองรัฐวิสาหกิจที่เป็นสมบัติชาติ
ขายสถานีโทรทัศน์ และดาวเทียม ซึ่งมีความละเอียดอ่อนเรื่องความมั่นคง ให้ต่างชาติ
แบ่งแยกดินแดน
กระบวนทัศน์แบบพ่อค้าทำให้ปัญหาภาคใต้ถึงวิกฤต และแบ่งแยกคนในชาติเป็นฝ่ายไทยรักไทย กับฝ่ายไม่ใช่ไทยรักไทย ตอนแรกคิดว่าโจรกระจอก เด็ดแต่ตัวหัว ๆ สัก 200 กว่าคนก็พอ
ประกาศสาเหตุว่าเพราะภาคใต้ไม่ได้รับการพัฒนา จึงทุ่มเงินลงทุน ซึ่งก็คือกระบวนท่าเงินฟาดหัวแบบเดิม ๆ ทำไปโดยขาดความรู้ความเข้าใจ เชื่อขันทีใกล้ชิด รื้อโครงสร้างการจัดการใหม่ จนเหตุเลวร้ายถึงที่สุด
ทะเลาะกับมาเลเซีย และโลกมุสลิม
ไม่กล้าลงไปภาคใต้ ไม่เน้นพัฒนาภาคใต้จริง ๆ จัง ๆ เพราะภาคใต้ไม่เลือกไทยรักไทย
ประกาศว่าพื้นที่ไหนเลือกส.ส.พรรคไทยรักไทยยกจังหวัด จะมาช่วยก่อนเป็นอันดับแรก
ทำลายทำนบกั้นกระแสไหลบ่าของโลกาภิวัตน์
ละเลยการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับสังคมก่อนการเผชิญหน้ากับกระแสทุนโลกาภิวัตน์
ภูมิคุ้มกัน = ปรัชญาแห่งความพอเพียง รู้เท่าทัน
เดินตามกระแสทุนนิยมโลกาภิวัตน์แบบรู้เท่าไม่ทัน เร่งรัดเอฟทีเอ. อย่างมีเงื่อนไขผลประโยชน์ตัวเองทับซ้อน (เจรจาดาวเทียม – สื่อสาร – ยานยนต์)
ความรู้เท่าทันและพอเพียง ต้องเริ่มจากระดับจิตใจ – กระบวนทัศน์ – โลกทัศน์ – คุณธรรม
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรไม่ได้ส่งเสริมให้ประชาชนเริ่มจากจุดนี้
นโยบายเศรษฐกิจแบบสุ่มเสี่ยงบ้าระห่ำ แทนที่จะ “ลดด้านทุกข์” กลับ “เพิ่มแต่ด้านสุข” โดยไม่บันยะบันยัง
ความสุขที่พอดี ๆ พอเพียงมีองค์ 4
1. สุขจาการหาทรัพย์
2. สุขจากการใช้ทรัพย์
3. สุขจากการไม่มีหนี้สิน
4. สุขจากการทำประโยชน์ให้สังคม
แต่รักษาการนายกรัฐมนตรีเถื่อนคนนี้ส่งเสริมแต่ “สุขด้านที่ 2” ซึ่งก็คือ ส่งเสริมด้านมืดของมนุษย์ ส่งเสริมกิเลศ มอมเมาว่าการเป็นหนี้คือการสร้างตัวเอง วางนโยบายแต่ส่งเสริมการใช้จ่าย การบริโภค
มองอย่างตื้น ๆ – ในระยะแรกก็อาจเข้าใจว่าตัวเขาสำคัญผิด, หลงผิด
แต่เวลาผ่านมา – พิสูจน์ให้เห็นว่าเขาและโคตรเหง้าบริษัทบริวารไปทำธุรกิจรองรับ
ทำลายวินัยการคลัง
สร้างธรรมเนียมใหม่ “การคลังที่ไม่ต้องผ่านสภาฯ” คือ ใช้เงินหวย ภายใต้การบริหารของเพื่อนร่วมรุ่นนรต. 26 ที่กลายเป็นกระเป๋าเงินติดสอยห้อยตามโตงแตงไปทุกที่ ทำตัวเป็นพระโพธิสัตว์แจกเงินเป็นว่าเล่น ทั้ง ๆ ที่เป็นเงินที่ต้องแลกด้วยการตกต่ำทางด้านศีลธรรมจริยธรรมของสังคม
เศรษฐีขาดวินัย = บริหารโดยไม่ยึดวินัยทางการคลัง
โครงการที่ชี้นิ้วสั่งตรง เป็นโครงการไม่เหมาะสม เพียงต้องการหาเสียง เช่น ไนท์ซาฟารี เป็นต้น
โยกงบฯกลางมาใช้เองตามอำเภอใจ โดยไม่ผ่านระบบงบประมาณ และสภา
ใช้นโยบายการต่างประเทศเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง
เป็นนายกรัฐมนตรีที่ทำให้เสื่อมเสียเกียรติภูมิประเทศอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน
กรณีโด่งดังที่นิติภูมิ นวรัตน์นำมาแฉ คือ ดอด (แจ๋น) ไปพบประธานาธิบดีเม็กซิโก ตื๊อขอนั่งเครื่องบินไปด้วยกัน เพื่อจะของานโทรศัพท์ให้บริษัทที่มีลูกเป็น Nominee ถือหุ้นแทน
ทะเลาะกับมาเลเซียทำปัญหาใต้ลุกลาม
เอาใจสิงคโปร์ให้มามีอธิปไตยเหนือดินแดนไทยบางส่วน เพราะเป็นหุ้นส่วนธุรกิจกัน ทำให้มาเลเซียยิ่งไม่พอใจ
ทำลายกระบวนการยุติธรรม
สร้างรัฐตำรวจ, ละเมิดสิทธิมนุษยชน จนถูกจับตามองจากโลกทั้งโลก ติดบัญชีรัฐที่ปล่อยให้มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนมากที่สุด
ส่งสัญญาณอุ้มฆ่า, ฆ่าตัดตอน
ส่งเสริมกลไกรัฐตำรวจ และสร้างกองกำลังติดอาวุธของตนเอง เช่น กรณีชรบ.(ตำรวจบ้าน)เชียงราย มาบุกรายการเมืองไทยรายสัปดาห์
มาตรฐานการยุติธรรมตกต่ำอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน ใช้กลไกยุติธรรมเป็นเครื่องมือทางการเมือง
คดีอื่น ๆ คืบหน้า แต่คดีชาวเชียงใหม่เถื่อนบุกชกต่อยขว้างน้ำปัสสาวะใส่อดีตนายกฯชวน หลีกภัยและคณะไม่คืบหน้า ส่งผลให้เกิดการแบ่งแยกและเกลียดชังระหว่างชาวใต้กับชาวเหนือ
คดีแจ้งความทักษิณ ชินวัตรไม่คืบหน้า แต่คดีแจ้งความนายสนธิ ลิ้มทองกุลและพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย คืบหน้าเร็วเหลือเกิน
ทำลายรากเหง้า-จิตวิญญาณของชาติ
เป็นการทำลายชาติอย่างสมบูรณ์แบบในขั้นสุดท้าย จนไม่เหลือสิ้นกระทั่งจิตวิญญาณ นั่นคือละเมิดขนบธรรมเนียม ประเพณี ซึ่งเป็นสายใยยึดโยงชาติ ที่สืบเนื่องกันมาแต่โบราณ แล้วสร้างแบบแผน-ธรรมเนียมใหม่ ให้คนในชาติหลงมัวเมาในวัตถุ หนี้สิน กระแสบริโภคนิยม
มอมเมาให้คนในชาติหลงยึดกับตัวบุคคล ผู้เป็นผู้นำหลักหนึ่งเดียว แล้ว ปลุกปั่นให้เกิดความแตกแยก
รื้อทิ้งระบบคุณธรรม และมาตรฐานจริยธรรม
ตอกย้ำค่านิยมใหม่ให้แพร่หลาย จากเดิมนับถือคนดี มาเป็นนับถือความรวย
นายกรัฐมนตรีเดินแต่ห้างเอมโพเรียม สยามพารากอน กินกาแฟร้านแบรนด์เนมนอก ซื้อสบู่ราคาก้อนละ 2,000 บาท วันว่างก็ออกรอบตีกอล์ฟกับเพื่อนเศรษฐี หยุดลองวีคเอนด์ก็ไปต่างประเทศ (ลอนดอน, นิวซีแลนด์, ฮ่องกง, สิงคโปร์)
เคยบ้างไหมที่จะไปวัดฟังธรรม
เคยบ้างไหมที่จะไปเดินเที่ยวตลาดนัดจตุจักร และตลาดอื่น ๆ
มีนาคม 10, 2009 ที่ 3:16 pm
sonthi
http://www.managerradio.com/
มีนาคม 10, 2009 ที่ 3:34 pm
sonthi
http://pics.manager.co.th/ShowImage.html?Image=%2fImages%2f552000002962402.JPEG&Width=750&Height=723
มีนาคม 12, 2009 ที่ 9:11 pm
pantip
“แม้ว”กำเริบขออภัยโทษ ถวายฎีกา ดิ้นหนีผิดอาญาแผ่นดิน
เหิมตั้งเงื่อนไขไม่ต้องสู้กันอีก โวดดลงเลือกตั้งเมื่อไรชนะแน่
นายกฯขึ้นเวทีพูดม.อ็อกฟอร์ด เชิญ”เหลือง-แดง”แลกเปลี่ยน
วันที่ 12 มีนาคม พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นักโทษหนีคดีอาญาแผ่นดิน ได้ใช้เวลาเกือบ 50 นาที ในการเชื่อมสัญญาณจากสาธารณรัฐอาหรับเอมิเรสต์ ไปพูดคุยกับสื่อมวลชนต่างประเทศที่เกาะฮ่องกงในหัวข้อ “วิกฤตเศรษฐกิจโลกทำไมจึงไม่ใช่เป็นเพียงแค่วิกฤตการเงิน แต่เป็นวิกฤตทางปัญญา” ซึ่งการพูดของ พ.ต.ท.ทักษิณ หนนี้ ได้อ้างตำแหน่งว่า เป็นประธานมูลนิธิสร้างอนาคตที่ดีกว่า (The Building a Better Future Foundation) และอดีตนายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยที่ดำรงตำแหน่งยาวนานที่สุดของประเทศไทย
แม้วฟุ้งทางรอดวิกฤติ”เอเชีย”
โดยพ.ต.ท.ทักษิณ ได้พูดเชิงวิชาการถึงวิกฤติเศรษฐกิจโลกในปัจจุบันว่า เกิดจากนักการเงินใช้เงินเกินตัว การโยกย้ายเงินทุนเร็วอย่างไรเหตุผล รวมทั้งการกำกับดูแลสถาบันการเงินที่ไร้ประสิทธิ์ภาพ ถือว่าเป็นวิกฤติทางปัญญาของโลกแถบอเมริกา ที่ส่งผลกระทบต่อเอเซียด้วย
พ.ต.ท.ทักษิณ ยังเสนอทางรอดของเอเซีย ว่าจะต้องเร่งสร้างประสิทธิภาพ ในการใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่ทุกด้าน ต้องช่วยรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่ที่กำลังจะล่มสลาย ต้องซื่อสัตย์ทางปัญญา และปฎิเสธความไม่ถูกต้อง ทั้งหลายทั้งปวง ทั้งยังสรุปในตอนท้าย โดยยกผลการศึกษาของ “อมาตยา เซน” (Amartya Sen) ที่แสดงให้เห็นว่า “ระบอบประชาธิปไตย เป็นหนทางเดียวที่จะช่วยป้องกันปัญหาความอดอยาก”
ยืนยันความจงรักภักดี
นอกจากนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวยืนยันด้วยว่า ตนเองนั้นมีความจงรักภักดีต่อสถาบันเบื้องสูงมาตลอด ไม่ว่าจะเป็นในขณะนี้ หรือในสมัยที่ตนเองยังดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอยู่ก็ตาม
ทั้งนี้ เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ประเทศไทยมีสภาวะเศรษฐกิจที่อยู่ในช่วงขาลง พ.ต.ท.ทักษิณ จะแก้ไขอย่างไร พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า ยินดีและพร้อมที่จะทำทุกอย่างเพื่อประเทศอันเป็นที่รัก แต่ประเทศไทยต้องมีความเป็นประชาธิปไตยและความถูกต้องชอบธรรมกลับมาก่อน
ออกลายอ้างถวายฎีกาอภัยโทษ
วันเดียวกัน สำนักข่าวเอเอฟพี รายงานว่าหนังสือพิมพ์เจแปน ไทมส์ของญี่ปุ่น ฉบับภาษาอังกฤษ ได้ตีแผ่คำให้สัมภาษณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่กล่าวว่า “ผมเคยเขียนหนังสือถึงพระองค์ 3 ฉบับแล้ว เพราะเชื่อในพระมหากรุณาธิคุณและพระปรีชาญาณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว”
สำนักข่าวเอเอฟพียังรายงานคำพูดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ระบุว่า “หากผมได้รับการอภัยโทษ ผมรู้ว่าผู้สนับสนุนผมจะมีความสุข และเราก็ไม่จำเป็นต้องต่อสู้ เพื่อพิสูจน์อะไรอีกต่อไป” พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวอีกว่า พร้อมจะกลับมาเลือกตั้งและมั่นใจจะได้รับชัยชนะ เนื่องจากกลุ่มผู้สนับสนุนของเขายังมีอีกมากในประเทศไทย
“ลิ่วล้อ”โผล่ปูดข่าวดิสเครดิตมาร์ค
วันเดียวกันที่พรรคเพื่อไทย นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรค ได้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์กรณี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เตรียมกล่าวสุนทรพจน์เกี่ยวกับประชาธิปไตยในประเทศไทยที่มหาวิทยาลัยอ็อกฟอร์ด ประเทศอังกฤษในวันที่ 14 มีนาคม ว่า Mr.Lee Jones นักวิจัยและอาจารย์สอนวิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยอ็อกฟอร์ด ได้ส่งจดหมายไปที่ยัง Sir Michael Scholar ผู้บริหารของ St.John College มหาวิทยาลัยอ็อกฟอร์ด ซึ่งเนื้อหาในจดหมายระบุว่า การเชิญ นายอภิสิทธิ์ ไปกล่าวสุนทรพจน์ดังกล่าวเป็นเรื่องไม่เหมาะสม แม้ นายอภิสิทธิ์ จะจบการศึกษาที่มหาวิทยาลัยอ็อกฟอร์ดก็ตาม เพราะที่มาของรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ ไม่ได้มาจากวิถีของประชาธิปไตยแต่ได้มาจากการปฎิวัติรัฐประหาร จึงเป็นเรื่องน่าละอายหากเชิญ นายอภิสิทธิ์ ไปพูด
โฆษกรัฐบาลออกโรงโต้ทันควัน
ด้าน นายปณิธาณ วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า รัฐบาลอังกฤษเป็นผู้เชิญ นายอภิสิทธิ์ ไปเยือน ระหว่างวันที่ 13 – 15 มีนาคม และการไปปาฐกถาพิเศษให้กับนักศึกษา ก็เป็นไปตามคำเชิญของมหาวิทยาลัย ในวันเสาร์ที่ 14 มีนาคม เวลา 10.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น
และกล่าวว่า นายกรัฐมนตรีจะพูดเกี่ยวกับการบริหารความท้าทายของประชาธิปไตยไทย ซึ่งจะพูดตั้งแต่แรงบันดาลใจจากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ที่ทำให้เกิดความสนใจ และก้าวเข้าสู่แวดวงการเมือง
เชิญเหลือง-แดงเข้ารับฟังด้วย
“นายกรัฐมนตรียังจะทำหนังสือเชิญคนไทยในอังกฤษ ทั้งฝ่ายที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ผ่านทาง e-mail ให้มาร่วมรับฟัง และพบปะพูดคุย และยังจะหาโอกาสไปเยือนสถานศึกษาต่างๆ ในอังกฤษ เพื่อรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับประชาธิปไตย” นายปณิธาณ กล่าว
นายปณิธาณ กล่าวว่า นายกรัฐมนตรียังจะถือโอกาสชี้แจง ในฐานะไทยเป็นประธานอาเซียน ซึ่งจะมีบทบาทสำคัญในการร่วมมือกับอังกฤษ และประชาคมโลก เพื่อแก้วิกฤติต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น และอาจจะชี้แจงถึงปัญหาชาวโรฮิงญาด้วย
ต่อข้อถามว่า หากมีกลุ่มคนเสื้อแดง หรือกลุ่มคนรักทักษิณ ไปรอที่อังกฤษ จะมีมาตรการดูแลอย่างไร นายปณิธาณ กล่าวว่า เรื่องการดูแลความปลอดภัย เป็นหน้าที่ของทางการอังกฤษ ตั้งแต่การเดินทาง และการพบปะกับบุคคลต่างๆ แต่นายกรัฐมนตรียินดีพบปะกับพูดคุยกับทุกคน ที่ต้องการมาแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็น
ปชป.แฉคนป่วนที่แท้เพื่อน”ใจ”
ขณะที่ นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่าจากการตรวจสอบทราบว่า Mr.Lee Jones เป็นนักวิชาการที่เคลื่อนไหวในแถบประเทศพม่าและประเทศไทย และมีส่วนข้องกับ นายใจ อึ้งภากรณ์ แกนนำกลุ่มแดงสยาม ซึ่งตกเป็นผู้ต้องหาคดีหมิ่นสถาบัน และหลบหนีไปอยู่ในประเทศอังกฤษ
ดังนั้น เชื่อว่าเป็นความพยายามของนายใจที่ร่วมกับ Mr.Lee Jones ที่ต้องการคัดค้านการปาฐกถาของนายอภิสิทธ์ที่มหาวิทยาลัยอ๊อกฟอร์ด แต่จากการตรวจสอบปรากฏว่าทางมหาวิยาลัยฯ ยืนยันแล้วว่าให้นายกรัฐมนตรีปาฐกถาตามกำหนดการเดิม ซึ่งเป็นโอกาสหากเจอนายใจก็ได้อธิบายชี้แจงทำความเข้าใจ
“เชื่อว่า พรรคเพื่อไทยพยายามที่จะดิสเครดิตโดยอ้างข้อมูลจากต่างประเทศ เพื่อทำลายความน่าเชื่อของนายอภิสิทธ์ ซึ่งกรณีดังกล่าวเป็นไปตามแผนโลกล้อมประเทศไทย ใช้ความแตกแยกของชาติที่เคยทำสำเร็จมาแล้ว 1 ครั้ง จากกรณีความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และขยายพลมาเป็นความแตกแยกของคนในชาติ” นายเทพไท กล่าว
ด้าน นายศิริโชค โสภา ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ กล่าว ว่า ในฐานะนักเรียนเก่าอังกฤษไม่ทราบว่าพรรคเพื่อไทย อ่านภาษาอังกฤษออกหรือไม่ เพราะพรรคทราบเรื่องของอาจารย์คนดังกล่าวมานานแล้ว แต่ทางฝ่ายค้านคงเพิ่งจะเห็นจดหมายและคงไม่ถนัดเรื่องของภาษาสักเท่าไหร่จึงนำเรื่องไปโยงกับทางมหาวิทยาลัยดังกล่าว
กษิตเย้ย”ทักษิณ”เด็กขี้แย
ด้าน นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ ได้ออกมาแสดงความเห็นเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ว่า ถ้าตนเป็น พ.ต.ท.ทักษิณ ก็จะไม่ทำ และจะไม่มาด่าทอ บ่อนทำลายประเทศไทย เป็นคนขี้แพ้ชวนตี เป็นเด็กขี้แย เอาแต่ร้องไห้อย่างเดียว ไม่ทำตัวให้เป็นผู้ใหญ่
พล.ต.ท.ธีระเดช รอดโพธิ์ทอง ผู้บัญชาการตำรวจสันติบาล (ผบช.ส.) กล่าวได้ตรวจสอบการโฟนอินของพ.ต.ท.ทักษิณ ที่ฮ่องกง แล้วเบื้องต้นยังไม่พบข้อความผิดกฎหมาย แต่จะตรวจสอบในรายละเอียดอีกครั้ง
ต้อนรับมาร์คเยือนชลบุรี
วันเดียวกัน พล.ต.ต.บัณฑิต คุณจักร์ ผบก.ภ.จว.ชลบุรี กล่าวถึงมาตรการรักษาความปลอดภัย ะ นายกรัฐมนตรีจะเดินทางลงพื้นที่ จ.ชลบุรี ในวันที่ 21 มีนาคมว่าตำรวจได้เตรียมพร้อมเต็มที่ และไม่ได้ห่วงประชาชนในพื้นที่ แต่เกรงว่าจะเป็นคนนอกพื้นที่มาก่อความไม่สงบมากกว่า
“อยากให้คนชลบุรีช่วยกันตรวจสอบคนพื้นที่อื่นๆ ที่จะมาก่อความไม่สงบ ทุกคนต้องช่วยกันดูแล ชลบุรีเปรียบเสมือนอู่ข้าวอู่น้ำของคนทั้งประเทศ อย่าปล่อยให้บุคคลอื่นมาสร้างความเสียหายให้กับจังหวัดชลบุรี หากมีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้นจะดำเนินการตามกฎหมายอย่างเฉียบขาดทุกฝ่าย ผบก.ภ.จว.ชลบุรี กล่าว
ทางด้านนายประมวล เอมเปีย ส.ส.ชลบุรี พรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า ช่วงที่นายกฯไปชลบุรี ตนรู้มาว่า ผวจ.ชลบุรี จะไปต่างประเทศ ถือเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง ประกอบกับนายกรัฐมนตรีเปรียบเสมือนผู้บังคับบัญชาโดยตรงจะเดินทางมาชลบุรี ยังไม่มีการประชุมเตรียมความพร้อม ในต่างประเทศมีการประชุมเป็นเดือนๆ เพื่อวางแผนป้องกันเหตุร้ายที่จะเกิดขึ้นกับผู้นำของตนเอง
มีนาคม 12, 2009 ที่ 9:13 pm
pantip
พสกนิกรแห่เข้าเฝ้าฯแน่นศิริราช รอผลตรวจพระวรกายในหลวง
รอเฝ้าฯรับเสด็จ : ประชาชนจากทั่วทุกสารทิศเดินทางมารอเฝ้าฯรับเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และรอฟังผลการตรวจพระวรกายที่โรงพยาบาลศิริราช อย่างเนืองแน่นตลอดทั้งวันที่ 12 มีนาคม ซึ่งแม้อากาศจะร้อนอบอ้าว แต่ทุกคนก็ไม่ยอมหนีหายไปไหน
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จฯยังอาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลศิริราช เพื่อทรงตรวจพระวรกายตามคำกราบบังคมทูลเชิญของคณะแพทย์ โดยมีพสกนิกรจำนวนมากเฝ้าฯรับเสด็จและเฝ้าติดตามพระอาการอย่างเนืองแน่น
เมื่อเวลา 20.53 น.วันที่ 11 มีนาคม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ ยังอาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลศิริราช เพื่อทรงตรวจพระวรกายตามหมายกำหนดเวลา โดยการกราบบังคมทูลเชิญของคณะแพทย์ ในการนี้
พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริภาจุฑาภรณ์ โดยเสด็จด้วย ทั้งนี้ พระองค์ทรงประทับแรม ณ โรงพยาบาลศิริราช เพื่อทรงเข้าตรวจพระวรกายในวันที่ 12 มีนาคม
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าตลอดวันที่ 12 มีนาคม มีประชาชนจำนวนมากที่รับทราบข่าวเดินทางมาจับจองพื้นที่บริเวณใต้อาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลศิริราช เพื่อเฝ้าติดตามผลตรวจพระวรกายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และเฝ้าฯรับเสด็จพระบรมวงศานุวงศ์ที่เสด็จฯมาติดตามพระอาการ
โดยหลายคนมาเฝ้ารอรับเสด็จฯตั้งแต่ช่วงค่ำวันที่ 11 มีนาคมที่ผ่านมา หลังทราบข่าวพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนิน เพื่อทรงตรวจพระวรกาย
ทั้งนี้ ในเวลา 08.45 น. ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) พร้อมคณะผู้บริหาร เดินทางมายังอาคารเฉลิมพระเกียรติ เพื่อติดตามพระอาการพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
นายอมรินทร์ ปิยะสัจจะเดช ประธานฝ่ายกิจกรรมเผยแพร่ศาสนาและวัฒนธรรม ชมรมนามธารีเดินทางมาเฝ้าติดตามพระอาการพร้อมอ่านคำกลอนถวายพระพรที่แต่งขึ้น มีเนื้อหาถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้ทรงพระเจริญ ทรงมีพระชนมพรรษายิ่งยืนนาน
นายอมรินทร์กล่าวว่า หลังทราบข่าวทางโทรทัศน์ว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเข้ารับการตรวจพระวรกายก็รู้สึกเป็นห่วง จึงเดินทางมาเฝ้าฯติดตามพระอาการ โดยตั้งใจแต่งกลอนมาถวาย แต่เนื่องจากสำนักพระราชวังไม่ได้ตั้งโต๊ะให้ประชาชนลงนามถวายพระพร จึงมาชวนประชาชนร่วมกันถวายพระพรไปพร้อมๆกัน
ต่อมาเวลา 19.18น. สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถเสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วย สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร และพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาฯยังอาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลศิริราช เพื่อทรงติดตามพระอาการพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ระหว่างเสด็จพระราชดำเนินทรงโบกพระหัตถ์ให้ประชาชนที่เฝ้ารับเสด็จฯ และพร้อมใจเปล่งเสียงทรงพระเจริญตลอดเส้นทาง
มีนาคม 13, 2009 ที่ 8:42 am
wrerar
นรกกินหัว “ทักษิณ” ให้สัมภาษณ์สื่อญี่ปุ่น แสดงท่าทีห้าวหาญบังอาจ อยากขอพระราชทานอภัยโทษจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในความผิดคดีทุจริต บอกเขียนหนังสือขอพระราชทานฯ มา 3 ครั้งแล้ว อยากกลับมาเล่นการเมือง มั่นใจจะชนะเลือกตั้ง ยอมรับอยู่ดูไบ บ้านเมืองไทยจะไม่มีทางสงบ จนกว่าจะมีการใช้ “ประชาธิปไตยที่แท้จริง” และพวก “เสื้อแดง” จะหยุดเคลื่อนไหว ต่อเมื่อได้ลงคะแนนเสียงอย่างแท้จริง ปชป.รุมสวดเหิมหนัก คิดเอามวลชนกดดันเบื้องสูงขออภัยโทษ ทั้งที่หมิ่นพระบรมฯมาตลอด ทีมที่ปรึกษานายกฯชี้ต้องมารับโทษก่อน วอร์รูมจับตาเกมใช้เวทีโลกกดดันรัฐบาลไทย “กษิต” อัด นช.แม้วทำตัวเหมือนเด็กขี้แยขี้แพ้ชวนตี “ส.ว.คำนูณ” ย้ำต้องรับโทษก่อนขอพระราชทาน
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างหลบหนีความผิดคดีทุจริตที่ถูกศาลตัดสินจำคุก 2 ปี ได้ให้สัมภาษณ์แก่หนังสือพิมพ์แจแปนไทมส์ อันเป็นหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษของญี่ปุ่น ที่นำออกเผยแพร่วานนี้ (12 มี.ค.) ว่า “ผมเคยเขียนหนังสือถึงพระองค์ 3 ฉบับแล้ว เพราะผมเชื่อในพระมหากรุณาธิคุณ และพระปรีชาญาณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว”
“หากผมได้รับการอภัยโทษ ผมรู้ว่าผู้สนับสนุนผมจะมีความสุข และเราก็ไม่จำเป็นต้องต่อสู้ตอบโต้กลับอะไรอีกต่อไป เพื่อพิสูจน์อะไรอีกต่อไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับพระองค์ และพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์”
พ.ต.ท.ทักษิณอ้างว่าตนเองบริสุทธิ์ และพูดอธิบายแบบตั้งคำถามต่อระบบศาลยุติธรรมของไทยว่า “ผมไม่สามารถแก้ต่างให้ตัวเอง และไม่ได้รับความยุติธรรม เนื่องจากขณะนี้ผมถูกตัดสินว่ามีความผิดแล้ว .. และพวกปรปักษ์ทางการเมืองของผมก็เป็นผู้หนุนหลังคณะกรรมการที่สอบสวนผม
“ประเทศไทยในขณะนี้ไร้ซึ่งหลักนิติธรรมในกรอบของประชาธิปไตยที่ถูกต้องเหมาะสม” เขากล่าว
นอกจากนี้ เขายังปฏิเสธข้อกล่าวหาต่างๆ ที่ระบุว่าเขาไม่จงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยเขายืนยันว่า “มีความจงรักภักดี และเคารพเทิดทูนต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว”
“พวกเขา (กลุ่มพันธมิตรฯ) บอกว่า ผมต้องการเป็นประธานาธิบดี และเปลี่ยนแปลงระบบกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ” เขากล่าว “มันไม่เป็นความจริง ผมไม่เคยมีความทะเยอทะยานอะไรอย่างนั้น พวกศัตรูของผมเปลี่ยนแปลงอำนาจเพื่อให้เป็นที่พอใจของพวกเขา ด้วยการบอกว่าผมไม่จงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว”
ยิ่งไปกว่านั้น ทักษิณยังออกปากว่าอยากกลับมาเล่นการเมืองในไทยด้วย
“ผมต้องกลับไป ผมมีความผูกพันกับผู้สนับสนุนผม และขวัญกำลังใจของพวกเขา” นช.ทักษิณกล่าวทิ้งท้ายอย่างมั่นใจว่า “หากมีการเลือกตั้งในวันนี้ ผมจะชนะอย่างแน่นอน”
วันเดียวกัน พ.ต.ท.ทักษิณได้แสดงปาฐกถาต่อสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศของฮ่องกง ผ่านทางระบบวิดีโอลิงก์ ในหัวข้อ “ วิกฤตเศรษฐกิจโลก ทำไมจึงไม่ใช่เป็นเพียงแค่วิกฤตการเงิน แต่เป็นวิกฤตทางปัญญา ” โดยระบุว่า เวลานี้เขาอยู่ในดูไบ แถมคุยอวดว่า หลังจากที่ประเทศไทยคุกคามที่จะระงับหนังสือเดินทางของเขา ก็มีผู้นำของประเทศจำนวนมากเสนอที่จะออกหนังสือเดินทางของประเทศนั้นๆ ให้แก่เขา แต่เขาได้แต่ขอบคุณและไม่ขอรับ เพราะยังเชื่อในความเป็นพลเมืองไทยของตนเอง
พ.ต.ท.ทักษิณยังพูดถึงสถานการณ์บ้านเมืองไทยว่าต้องการให้ยุติการต่อสู้ทางการเมืองอย่างขมขื่นที่กำลังแบ่งแยกประเทศไทย เขาบอกว่าถึงเวลาแล้วที่ทั้งสองฝ่ายจะต้อง “สงบศึก และเข้ามาร่วมมือกัน” ทว่าสิ่งนี้จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้ ถ้าหากประเทศไทยไม่ได้มีการนำเอา “ประชาธิปไตยที่แท้จริง” กลับคืนมา
“ผมปรารถนาที่จะเห็นประเทศของผมกลับคืนสู่ภาวะปกติ และไม่ต้องแบ่งแยกกันเช่นนี้” น.ช.ทักษิณบอก “ทั้งสองฝ่ายจะต้องเข้ามาทำความตกลงกัน”
อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้มองการณ์ในแง่ดีเลยว่า รัฐบาลชุดปัจจุบันจะช่วยยุติวงจรแห่งการประท้วงและต่อต้านการประท้วงที่ดูเหมือนไม่มีวันสิ้นสุดนี้ “ถ้าคุณต้องการจับมือของคุณ คุณจำเป็นต้องเอามือทั้งสองข้างเข้ามาหากัน ไม่ใช่แค่มือเดียว” และเชื่อว่าพวก “เสื้อแดง” จะยุติการชุมนุมประท้วง ถ้าพวกเขาได้รับการเสนอให้มีการลงคะแนนเสียงอย่างแท้จริง “ผมคิดว่า คน “เสื้อแดง” … ความคิดของพวกเขาคือเพื่อประชาธิปไตยและหลักนิติธรรม” เขาคุย
อนึ่ง ในการพูดผ่านวิดีโอลิงก์สู่ฮ่องกงคราวนี้ เขายังทำเป็นปล่อยมุขว่า การที่เขาถูกยึดทรัพย์ระหว่างที่ไทยเกิดรัฐประหาร ช่วงปกป้องทรัพย์สมบัติของเขาให้รอดพ้นจากวิกฤตเศรษฐกิจโลก
“ผมไม่รู้ว่าจะประณาม หรือขอบคุณรัฐบาลทหารดีที่ยึดทรัพย์สินของผมในประเทศไทย ไม่เช่นนั้น ผมอาจจะเอาเงินจำนวนมากไปลงทุนในตลาดหุ้นและก็สูญเสียมันไป” พ.ต.ท.ทักษิณระบุและว่า ขณะนี้ตัวเองกำลังขาดเงิน โดยแค่มีเพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายในการเดินทาง และใช้ในการดำเนินชีวิตตามไลฟ์สไตล์ของตน อย่างไรก็ตาม กำลังพิจารณาการลงทุนในด้านโทรคมนาคม
***ปชป.ทนไม่ไหวรุมสวด
นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวเรื่องการขอพระราชทานอภัยโทษถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง การเอาความลับเรื่องนี้มาเปิดเผยถือว่าเป็นการกดดันพระราชอำนาจ การจะอภัยโทษหรือไม่เป็นเรื่องของพระราชอำนาจโดยแท้ว่าจะมีพระมหากรุณาธิคุณต่อเรื่องดังกล่าวหรือไม่ การเคลื่อนไหวดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าพ.ต.ท.ทักษิณไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ไม่รู้ว่าอะไรควรไม่ควร หากพ.ต.ท.ทักษิณยังมีฐานะเป็นคนไทยคนหนึ่งก็ควรจะรู้ว่าสถาบันพระมหากษัตริย์ อยู่เหนือสิ่งอื่นใด ไม่มีใครล่วงละเมิดต่อสถาบันได้ การสัมภาษณ์พาดพิงโดยเอาความต้องการหรือประโยชน์ของตนเองมาต่อรองกับพระราชอำนาจเป็นเรื่องที่สังคมไทยรับไม่ได้ การที่บอกว่าหากมีการพระราชทานอภัยโทษ ก็จะยุติความเคลื่อนไหวทางการเมือง และกลุ่มคนที่สนับสนุนตนเองก็จะมีความสุขด้วยนั้น เป็นการแสดงให้เห็นชัดเจนว่า พ.ต.ท.ทักษิณ นำเอามวลชนที่สนับสนุนตนเองมาต่อรองกับการอภัยโทษ
การเคลื่อนไหวของกลุ่มเสื้อแดงที่ผ่านมาก็แสดงให้เห็นว่าพ.ต.ท.ทักษิณอยู่เบื้องหลังและมีเป้าหมายในการเคลื่อนไหวเพื่อผลประโยชน์ของพ.ต.ท.ทักษิณเพียงผู้เดียว และเงื่อนไขดังกล่าวก็ไม่มีความน่าเชื่อถือเพราะพ.ต.ท.ทักษิณได้มีแนวความคิดเรื่องการแสดงบทบาททางการเมืองกลับไปกลับมาหลายครั้งแล้ว ขาดความน่าเชื่อถือ
“พ.ต.ท.ทักษิณจะเอาความเคลื่อนไหวทางการเมืองมาต่อรองกับสถาบันเบื้องสูงได้อย่างไร ในวันที่ตัวเองได้ประโยชน์ก็บอกว่าจะยุติบทบาททางการเมืองแล้ว แต่ในวันที่ตัวเองจนตรอกก็ประกาศว่าจะเล่นการเมืองต่อ และจะต่อสู้จนถึงที่สุด ไม่ว่าในนรก หรือบทสวรรค์ ดังนั้นคำพูดใดๆของพ.ต.ท.ทักษิณไม่มีใครเชื่อถืออีกต่อไปแล้ว เพราะอยู่ในฐานะโมฆะบุรุษ” นายเทพไทกล่าวและว่าการที่ผู้ใดได้รับอภัยโทษในอดีตที่ผ่านมาบุคคลผู้นั้นต้องอยู่ในฐานะที่เป็นนักโทษที่ถูกจองจำตามคำพิพากษาของศาล ซึ่งต่างกับกรณีของพ.ต.ท.ทักษิณที่หนีคำพิพากษาไม่ยอมถูกจองจำ แต่กลับใช้สื่อโจมตีกระบวนยุติธรรมตลอดเวลา ทุกครั้งที่พ.ต.ท.ทักษิณแสดงความเห็นที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์การเมืองในประเทศไทยก็จะพาดพิงถึงกระบวนการยุติธรรมและสถาบันเบื้องสูงตลอดเวลา อย่างนี้จะมีหน้ามาขอพระราชทานอภัยโทษได้อย่างไร และเชื่อว่าการขอพระราชทานอภัยโทษครั้งนี้เป็นการดิ้นรนสุดชีวิตอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้ประกาศปิดประตูตายเรื่องการออกกฎหมายนิรโทษกรรม
ด้านนายชำนิ ศักดิ์เศรษฐ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะหัวหน้าทีมวอร์รูมพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณพยายามที่จะทำให้ตัวเองกลับมามีบทบาทในเวทีโลกอีกครั้ง เสมือนหนึ่งเป็นมิตรประเทศกับ จีน และสหรัฐอเมริกา ทั้งที่ตนเองหมดสภาพความน่าเชื่อถือในเวทีนานาชาติแล้ว และการขอพระราชทานอภัยโทษเป็นความพยายามของพ.ต.ท.ทักษิณที่ทำมาอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ไม่เคยประสบผลสำเร็จ ตนเชื่อว่าจะมีการใช้เกมแบบนี้ต่อไปในเวทีต่างๆ และขอให้จับตาการอภิปรายไม่ไว้วางใจ เพราะประเด็นในการอภิปรายไม่มีอะไรน่าสนใจ แต่พยายามที่จะสร้างความวุ่นวายให้เกิดขึ้นในสภาซึ่งเป็นเป้าหมายที่พรรคเพื่อไทยตั้งใจให้เป็น
ขณะที่นายทิวา เงินยวง ส.ส.กทม . คณะทำงานที่ปรึกษาด้านกฎหมายนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การขอพระราชทานอภัยโทษผู้ที่จะขอต้องมารับโทษก่อน ไม่ใช่หลบหนีในต่างประเทศแล้วมาขอ ซึ่งตามหลังของกฎหมายและประเพณีปฏิบัติไม่เคยมีใครขอในระหว่างที่ยังไม่ได้รับโทษ และหลบหนีคดีแบบที่พ.ต.ท.ทักษิณกลังทำอยู่ในขณะนี้ หรือแม้แต่กรณีนักเขียนชาวออสเตเลีย ที่ถูกพิพากษาจำคุก กรณีเขียนหนังสือหมิ่นเบื้องสูงก็ยังต้องรับโทษติดคุกก่อน จึงจะมีการพระราชทานอภัยโทษให้ ดังนั้นจึงไม่เชื่อว่าการออกมาพูดออกพ.ต.ท.ทักษิณจะได้รับการอภัยโทษ เพราะถือเป็นกรณีกัน
***กษิตอัดเหมือนเด็กขี้แยขี้แพ้ชวนตี
นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ กล่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นผู้ที่หนีศาล และพรรคถูกยุบไปแล้ว 5 ปี ซึ่งจะต้องไม่มีกิจกรรมทางเมืองใดๆ ทั้งสิ้น พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องถามตัวเองว่าสิ่งที่ได้ทำอยู่ตอนนี้นั้น เป็นการบ่อนทำลายประเทศไทยอยู่หรือเปล่า แต่ตัวเองกลับเป็นนักโทษหนีคุกจะทำอย่างไร เคยคิดบ้างหรือไม่ จากคนที่เคยเป็นผู้นำประเทศเป็นนักเรียนทุน เป็นนายตำรวจ แต่กลับทำอะไรที่ละเมิดกฎหมาย สิ่งที่ดีที่ควรกลับไม่ค่อยจะทำ อย่างนี้มันถูกแล้วหรือ
“พ.ต.ท.ทักษิณจะต้องถามและตอบตัวเองให้มาก ถ้าเป็นผม ผมจะไม่ด่าทออยู่อย่างนี้ เหมือนคนขี้แพ้ชวนตี เป็นเด็กขี้แย เอาแต่ร้องไห้อย่างเดียว ไม่เคยทำตัวให้เป็นผู้ใหญ่” นายกษิตกล่าว
***ส.ว.ย้ำต้องรับโทษก่อนขอพระราชทาน
นายคำนูณ สิทธิสมาน ส.ว.สรรหา ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณพูดว่าอยากขอพระราชทานอภัยโทษจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในข้อกล่าวหาทุจริตขายชาติ ว่า ถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องอย่างยิ่ง เพราะโดยปกตินั้นการขอพระราชทานอภัยโทษต้องเป็นเรื่องที่ผู้ขอพระราชทานฯ รับโทษอยู่และได้สำนึกในความผิดนั้นแล้ว เช่นกรณีของนายแฮร์รี่ นิโคไลเดส นักเขียนออสเตรเลียวัย 41 ปี ผู้ต้องโทษจำคุก 3 ปีข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพและต่อมาได้รับพระราชทานอภัยโทษ ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณต้องกลับมารับโทษตามกระบวนการยุติธรรมเสียก่อนให้ถูกขั้นตอนจึงจะขอพระราชทานอภัยโทษได้
นายคำนูณ กล่าวอีกว่าที่ผ่านแนวทางการต่อสู้ของ พ.ต.ท.ทักษิณนั้นก็ไม่ถูกต้อง เพราะถ้าต่อสู้อย่างถูกต้องต้องกลับมารับโทษตามคำสั่งของศาลก่อน เป็นการขัดกันระหว่างกับคำพูดและการกระทำของ พ.ต.ท.ทักษิณ อีกทั้งพรรคพวกของเขาบางส่วนก็ทำการเคลื่อนไหวให้ออกกฏหมายนิรโทษกรรม ซึ่งถือว่าเป็นคนละเรื่องกับการขอพระราชทานอภัยโทษ ซึ่งการขอพระราชทานอภัยโทษ ถือเป็นพระราชอำนาจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว การออกมาให้สัมภาษณเช่นนี้ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ถือเป็นการก้าวล่วงพระราชอำนาจ
นายไพศาล พืชมงคล กล่าวว่า ตามข้อกฏหมายที่บัญญัติไว้ชัดเจนถึงกระบวนการที่จะมีสิทธิ์ขอพระราชทานอภัยโทษคือ 1.ต้องโทษตามคำพิพากษาถึงที่สุด (ติดคุกอยู่) 2.ได้สำนึกในความผิดนั้นแล้ว 3. หน่วยงานคือกระทรวงยุติธรรมจะพิจารณาความเห็นและถวายฎีกาพระราชทานอภัยโทษซึ่งอยู่ในพระราชอำนาจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งถ้าไม่อยู่ในกระบวนการ 3 ข้อนี้แล้วถือว่าผิดกระบวนการขั้นตอนของการขอพระราชทานอภัยโทษ
***สันติบาลแกะคำปาฐกถาแม้วรู้ผลวันนี้
พล.ต.ท.ธีระเดช รอดโพธิ์ทอง ผู้บัญชาการตำรวจสันติบาล (ผบช.ส.) กล่าวถึงกรณี พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวปาฐกถาที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศ ที่ฮ่องกง ว่า ไดัมีการจัดทีมงานมาตรวจสอบเรื่องนี้แล้วโดยได้มีการบันทึกเทปที่มีการถ่ายทอดสดไว้ทั้งหมด นอกจากนี้ได้เชิญผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาอังกฤษ มาแปลถ้อยคำที่มีการโฟนอินว่าเข้าข่ายผิดกฎหมายหรือไม่ หรือมีข้อความหมิ่นพระบรมราชานุภาพหรือไม่ ซึ่งขณะนี้ทีมงานอยู่ระหว่างดำเนินการตรวจสอบแปลถ้อยคำอยู่ ซึ่งยังไม่พบว่ามีข้อความใดผิดกฎหมาย โดยคาดว่าในวันนี้ (13 มี.ค.) จะแล้วเสร็จ ส่วนที่สถานีโทรทัศน์ ดีทีวี นำคำปาฐกถาของพ.ต.ท.ทักษิณ มาถ่ายทอดสดนั้นไม่ถือว่าผิดกฎหมายสามารถกระทำได้ แต่หากมีความใดผิดกฎหมาย หรือหมิ่นประมาท สถานีโทรทัศน์ ดีทีวี ก็จะมีความผิดร่วมด้วยเช่นกัน.
มีนาคม 13, 2009 ที่ 10:51 am
i c u
“โฆษก ปชป.” จวก “แม้ว” ตีสองหน้าผ่านสื่อ โกหกเรื่องขออภัยโทษ
“นพ.บุรณัชย์” จวก “ทักษิณ” ตีสองหน้า พูดสองทาง บอกสื่อต่างชาติอ้างส่งจดหมายขอพระราชทานอภัยโทษ แต่กลับขยิบตาให้ “พงศ์เทพ” แก้ตัวกับสื่อไทยแทน ชี้ แค่หวังเกาะพื้นที่สื่อ ฉะฝ่ายค้านผลีผลามยกอ้างจดหมาย “ลี โจนส์” หวังโจมตี “อภิสิทธิ์” ทั้งที่เจ้าตัวประกาศผ่านเว็บบอร์ดไม่อยากถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง เผย “อภิสิทธิ์” หวังใช้โอกาสเยือนอังกฤษประกาศเจตนารมณ์เอาจริงการละเมิดสิทธิมนุษยชน
วันนี้ (13 มี.ค.) ที่พรรคประชาธิปัตย์ นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โฟนอินผ่านวิดีโอลิงก์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาล และให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อต่างประเทศ ว่า ได้ทำเรื่องขอพระราชทานอภัยโทษไปแล้ว ว่า ยืนยันว่า พรรคประชาธิปัตย์ และรัฐบาลยินดีรับฟังข้อเสนอแนะจากทุกคน ทุกฝ่าย หากผู้นั้นหรือฝ่ายนั้นๆ มีความหวังดีต่อประเทศชาติ แต่การเดินสายของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่พูดผ่านสื่อต่างประเทศอย่างหนึ่ง แต่เมื่อโฟนอินมาที่ประเทศไทย เพื่อให้ปรากฏเป็นข่าวก็จะพูดอีกอย่างหนึ่ง เช่น กรณีที่ระบุว่าได้ทำหนังสือเพื่อขอพระราชทานอภัยโทษถึง 3 ฉบับแล้ว ผ่านหนังสือเจแปนไทมส์ ของญี่ปุ่น โดยพูดในลักษณะผูกโยงเงื่อนไขการได้รับอภัยโทษกับเงื่อนไขด้านมวลชน แต่กลับให้ นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา โฆษกส่วนตัวของตนเองออกมาให้ข่าวปฏิเสธกับสื่อในประเทศไทย ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้มีการเขียนจดหมายเพื่อขอพระราชทานอภัยโทษ ซึ่งกรณีนี้ถือว่าไม่เหมาะสมตั้งแต่แรกในการออกมาเปิดเผยกับสื่อต่างประเทศ จึงเห็นได้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ยังคงทำทุกวิถีทาง เพื่อที่จะไม่ให้พื้นที่ข่าวในสื่อทั้งในและนอกประเทศของตนลดลง และสิ่งเหล่านี้ก็ทำให้รัฐบาลต้องทำงานยากขึ้นทั้งในการชี้แจงข้อมูลข้อเท็จจริงตามความเป็นจริงต่อสื่อในขณะที่ต้องเร่งแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนคนไทยไปด้วย
นพ.บุรณัชย์ กล่าวว่า ทั้งนี้ ตนไม่อยากให้พรรคฝ่ายค้านดึงเรื่องเหล่านี้มาเพื่อใช้ให้เป็นประโยชน์ทางการเมือง เช่น กรณีที่โฆษกพรรคเพื่อไทยออกมาระบุโดยเปิดเผยถึงความเห็นส่วนตัวของ นายลี โจนส์ ที่เกี่ยวกับการจะไปปาฐกถาของนายกฯ ที่ประเทศอังกฤษ โดยระบุว่า มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดไม่อนุญาตให้นายกฯ ไทยไปพูด เพราะมีที่มาไม่ถูกต้อง ซึ่งความจริงแล้ว นายลี โจนส์ ได้เคลื่อนไหวเกี่ยวกับประเทศไทย โดยการเชิญ นายใจ อึ๊งภากรณ์ ให้ไปพูดเกี่ยวกับประชาธิปไตยในประเทศไทย ซึ่งมีเนื้อหาที่หมิ่นสถาบันเมื่อปลายเดือนก.พ.ที่ผ่านมาครั้งหนึ่งแล้ว ซึ่งล่าสุด นายลี โจนส์ ได้แสดงความเห็นผ่านเว็บบล็อกของตนเองระบุว่า ไม่อยากให้ความเห็นของตนเองถูกนำมาขยายประเด็นเพื่อใช้เป็นประโยชน์เป็นเครื่องมือทางการเมือง และไม่มีเจตนาที่จะขัดขวางการเดินทางมาปาฐกถานายกฯ ของไทยแต่อย่างใด
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวต่อว่า ได้รับการยืนยันจากนายกฯ ว่า พร้อมที่จะใช้โอกาสนี้สร้างความมั่นใจในทุกด้านที่จะรักษาชื่อเสียงของประเทศชาติในสายตาของอารยะประเทศ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจ การเมือง หรือเรื่องที่อยู่ในความสนใจของสังคมและนานาชาติ เช่น การประกาศเอาจริงกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนในอดีต ในหลายกรณี อาทิ การหายตัวของ ทนายสมชาย นีละไพจิตร หรือการฆ่าตัดตอน 2,500 ศพ ของรัฐบาลในอดีตที่อ้างว่าทำสงครามกับยาบ้า จึงถือเป็นโอกาสที่ดีที่นายกฯ จะเรียกความเชื่อมั่นในทุกๆ ด้าน ในการเดินทางไปเป็นแขกของรัฐบาลอังกฤษในครั้งนี้ โดยเฉพาะการปาฐกถาเกี่ยวกับประชาธิปไตยในประเทศไทย ซึ่งจะมีสื่อมวลชนให้ความสนใจร่วมซักถาม
มีนาคม 13, 2009 ที่ 10:57 am
i c u
ธาตุแท้ “ทักษิณ” โกหกลวงโลกโดยสายเลือด!
การประชุมคณะพนักงานสอบสวนคดีฆาตกรรมนายกรเทพ วิริยะ หรือ ชิปปิ้งหมู พยานสำคัญในคดีหลบเลี่ยงภาษีศุลกากรของบริษัท ชิน แซทเทิลไลท์ จำกัด (มหาชน) ที่ถูกคนร้ายจ่อยิงสังหารอย่างโหดเหี้ยมในพื้นที่ จ.เชียงราย ซึ่งภายหลังจากที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี สั่งการให้พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ รอง ผบ.ตร.และพล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ช่วย ผบ.ตร.รื้อฟื้นคดีสำคัญรวม 4 คดีขึ้นมาอีกครั้ง
ประเด็นสำคัญ ที่ พล.ต.อ.ธานี ออกมาระบุภายหลังประชุมพนักงานสอบสวนเมื่อวันที่ 13 มี.ค.ว่า คดีฆาตกรรมชิปปิ้งหมูนั้น พนักงานสอบสวนชุดเดิมไม่ได้มุ่งประเด็นที่ นายกรเทพ เป็นพยานในคดีเลี่ยงภาษีหุ้นชินแซท แต่กลับมุ่งไปยังประเด็นยาเสพติด ซึ่งพนักงานสอบสวนชุดนี้ ไม่พบว่า การเสียชีวิตของชิปปิ้งหมู ไปเกี่ยวข้องกับคดียาเสพติดแต่อย่างใด คำถามจึงเกิดตามมาว่า เหตุไฉน พนักงานสอบสวนชุดเดิม จึงมุ่งการฆาตกรรมชิปปิ้งหมูว่าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับยาเสพติด เรื่องนี้ ทำให้เรานึกคำตอบได้อย่างทะลุปรุโปร่ง และคำตอบนั้น ไม่ได้อยู่ที่ใครที่ไหน แต่อยู่ที่ชายผู้มีนามว่า “พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร” ไม่เชื่อตามไปดูกัน
ย้อนกลับไปปี 2545 รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ ครั้งนั้นมีการแฉคดีเลี่ยงภาษีการนำเข้าอุปกรณ์สื่อสารของบริษัท ชิน แซทเทิลไลท์ จำกัด ของตระกูลชินวัตร โดยนายศิริโชค โสภา ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ได้รับข้อมูลสำคัญมาจาก นายกรเทพ นั่นเอง และหลังจากที่เรื่องดังกล่าวถูกเปิดโปงขึ้น นายกรเทพ ซึ่งถือเป็นพยานคนสำคัญ ต้องระเห็จหลบหนีไปกบดานยังสถานที่ต่างๆ แต่สุดท้ายเมื่อวันที่ 26 มี.ค.2546 นายกรเทพ หรือ ชิปปิ้งหมู ถูกคนร้ายยิงเสียชีวิตด้วยอาวุธปืน 9 มม.เข้าท้ายทอย กกหูซ้าย และลำตัวรวม 3 นัด บริเวณทางขึ้นดอยพื้นที่หมู่บ้านแสนใจ รอยต่อระหว่าง ต.ศรีค้ำ อ.แม่จัน กับ ต.แม่สลอง อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
เมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ทราบข่าวการเสียชีวิตของชิปปิ้งหมู ได้ออกมาระบุเมื่อวันที่ 27 มี.ค.2546 ว่า “หากถามว่า รู้จักประวัติของชิปปิ้งหมูมากน้อยแค่ไหน เข้าใจว่าจะรู้จัก นายสุภาพ สีแดง ผู้ค้ายาเสพติดรายใหญ่ที่ถูกจับไปเมื่อคืนนี้มากกว่า….ผมทราบเรื่องเมื่อคืน ดูข่าวแล้วก็ตกใจว่า เกิดอะไรขึ้น เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับบริษัท ชินฯเลย บริษัท ชินฯ เขาเสียภาษีหรือเสียค่าตอบแทนให้กับรัฐปีหนึ่งสองหมื่นกว่าล้านบาท ไอ้ที่พูดกันนี่มันนิดเดียว ทุกฝ่ายก็ออกมาระบุแล้วว่า มันถูกต้อง มันไม่มีอะไร ทำไมต้องไปวิตก ไม่เห็นมีอะไรน่าวิตก คนที่วิตกไปเอง คือ คนที่หาเรื่องมากกว่า”
ถัดมาวันที่ 28 มี.ค.2546 พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวถึงการเสียชีวิตของชิปปิ้งหมูอีกครั้งว่า “นายกรเทพ ไปอยู่ที่เชียงราย ก่อนเสียชีวิตตั้งแต่ปี 2543 และไปมีภรรยาเป็นชาวอีก้อ นายกรเทพ ยังไปอยู่ในหมู่บ้านที่มีกำนันหรือผู้ใหญ่บ้าน ผมก็จำไม่ได้ แต่ทราบว่า ถูกยึดทรัพย์ในคดียาเสพติด และบริเวณนั้นเป็นย่านที่มีการแพร่ระบาดของยาเสพติดมากมาย”
คำพูดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอยู่ ได้พูดถึง 2 ครั้ง ในเวลา 2 วันติดต่อกัน ย่อมเป็นคำตอบที่กระจ่างว่า เหตุไฉน พนักงานสอบสวนชุดเดิม จึงมุ่งการฆาตกรรมชิปปิ้งหมูว่าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับยาเสพติด แถมบวกประเด็นชู้สาวเข้าอีกประเด็นหนึ่งด้วย
วจีอันเสนาะโสตของ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้เป็นเงื่อนปมที่ย้อนกลับมามัดตัวเองในคดีฆาตกรรมชิปปิ้งหมูเท่านั้น เมื่อคดีถูกพนักงานสอบสวนชุดใหม่ขุดคุ้นขึ้นมา แม้แต่คดีการหายตัวไปของ นายสมชาย นีละไพจิตร อดีตนักกฏหมายสิทธิมนุษยชน ก็กลายเป็นเงื่อนกระตุกที่กลับมารัดคอ พ.ต.ท.ทักษิณ เองเช่นกัน
นายสมชาย หายตัวออกจากบ้านไปอย่างไร้ร่องรอย เมื่อวันที่ 12 มี.ค.2547 โดยมีพยานยืนยันว่า นายสมชาย ถูกอุ้มไปจากหน้าโรงแรมชาลีนาในซอยมหาดไทย ย่านลาดพร้าว เมื่อการหายตัวไปของทนายสมชายเป็นข่าวคึกโครม พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งยังดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอยู่ออกมาระบุหลังจากนั้นไม่กี่วันว่า “นายสมชาย ไม่ได้หายตัวไปไหน เพียงแต่มีปัญหาทะเลาะกับภรรยาจึงหลบมาอยู่ที่กรุงเทพฯ และตัดขาดการติดต่อจากคนอื่น”
วันเวลาผ่านไปหลายปี จนเป็นที่ค่อนข้างแน่ชัดแล้วว่า ทนายสมชาย ถูกอุ้มไปสังหาร ทว่ารัฐบาลในขณะนั้นยังไม่ยอมรับ จนในที่สุด เมื่อวันที่ 13 ม.ค.2549 พ.ต.ท.ทักษิณ ให้สัมภาษณ์ที่ทำเนียบรัฐบาลเป็นการมัดคอตัวเองอีกครั้งว่า “ที่ผ่านมา มันเป็นคดีหน่วงเหนี่ยว ไม่ใช่คดีฆ่าคนตาย เพราะปกติการจะตั้งข้อหาฆ่าคนตาย ต้องพบหลักฐานพิสูจน์ได้ว่าคนนั้นตายแล้ว ถึงจะบอกได้ว่าเป็นคดีฆ่าคนตาย ขณะนี้กรมสอบสวนคดีพิเศษกำลังทำสำนวนเรื่องนี้เพื่อนำไปสู่คดีฆ่าคนตาย”
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า การติดตามตัวทนายสมชายจะดำเนินการอย่างไร พ.ต.ท.ทักษิณ ตอบว่า “เขาพบร่องรอยบางอย่าง” เมื่อถามอีกว่า ขณะนี้ระบุได้หรือยังว่า ทนายสมชาย เสียชีวิตแล้ว พ.ต.ท.ทักษิณ ตอบว่า “ทราบว่า เสียชีวิตแล้ว แต่ยังพูดอะไรไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องทางคดี ให้ดีเอสไอเขาสรุปสำนวน ประมาณเดือน ก.พ. จะสรุปสำนวนเสร็จ”
ลมปากของ พ.ต.ท.ทักษิณ มิได้เพิ่งมาโกหกพกลมในช่วงที่หมดอำนาจวาสนา ไร้ถิ่นที่อยู่อาศัยอย่างในปัจจุบันเท่านั้น แม้แต่ในอดีต เมื่อครั้งยังเรืองอำนาจ มากล้นด้วยบารมี และเหล่าบริวาร ก็ได้แสดงให้เห็นธาตุแท้แล้วว่า แม้อยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ก็สามารถพูดจาโกหกพกลมได้ โดยไม่ได้ให้เกียรติและคำนึงถึงร่างที่ไร้วิญญาณของนายกรเทพ วิริยะ หรือชิปปื้งหมู รวมทั้งวิญญาณที่ไร้ร่างของนายสมชาย นีละไพจิตร แม้แต่น้อย เขาล่ะ…“นช.พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร” ผู้ไม่ต่างจาก “นนทุก” ที่ถึงกาลวิบัติเพราะจิตอาฆาต และต้องมาดับชีวิตด้วยนิ้วเพชรพิฆาตของตัวเอง!!!
http://www.manager.co.th/Crime/ViewNews.aspx?NewsID=9520000029126
มีนาคม 13, 2009 ที่ 9:30 pm
banchee
แหล่งข่าวทำเนียบองคมนตรีไม่เชื่อ “ทักษิณ”ต้องการอภัยโทษจริง เหตุยังไม่หยุดโฟนอินโจมตีรัฐบาล-ศาล-สถาบันต่างๆ ด้าน “บิ๊กทหาร”ซัด“นช.แม้ว”กำลังกดดันในหลวง ไม่สมควรขอพระราชทานอภัยโทษ ตราบใดที่ยังไม่หยุดป่วนชาติ เอาแต่ประโยชน์เข้าตัว แถมยังไม่ยอมรับผิดด้วยซ้ำ
แหล่งข่าวทำเนียบองคมนตรี เปิดเผยถึงกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีที่อยู่ระหว่างหลบหนีคดีอยู่ต่างประเทศให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์เจแปนไทม์สว่า เคยส่งหนังสือเพื่อขอพระราชทานอภัยโทษถึง 3 ฉบับว่า ขณะนี้ยังไม่เห็นเรื่องเกี่ยวกับหนังสือขออภัยโทษดังกล่าว เข้ามายังทำเนียบองคมนตรี อีกทั้งไม่คิดว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะยื่นหนังสือเพื่อขออภัยโทษ เพราะถ้า พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องการขออภัยโทษจริงๆ ควรจะหยุดการเคลื่อนไหวทางการเมืองไปนานแล้ว และคงไม่มีการโฟนอินเข้ามาว่ากล่าวโจมตีรัฐบาล ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และสถาบันต่างๆ ดังนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ น่าจะเดินทางกลับเข้าประเทศเพื่อรับโทษตามคำตัดสินของศาลฎีกาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมากกว่า ก่อนที่จะมาขออภัยโทษ
แหล่งข่าวทำเนียบองคมนตรี บอกว่า สำหรับขั้นตอนในการยื่นหนังสือขออภัยโทษสามารถทำได้หลายทาง โดยยื่นหนังสือที่กระทรวงยุติธรรม หรือ ที่สำนักราชเลขาธิการพระราชวัง ทั้งนี้หากยื่นหนังสือผ่านทางสำนักราชเลขาธิการพระราชวัง ทางสำนักเลขาธิการพระราชวังก็จะต้องนำเรื่องส่งให้กับทางกระทรวงยุติธรรม ก่อนที่จะส่งให้นายกรัฐมนตรีเป็นผู้พิจารณา หลังจากนั้นเมื่อขั้นตอนการพิจารณาจากนายกรัฐมนตรีเรียบร้อยแล้ว ก็จะส่งมายังสำนักราชเลขาธิการพระราชวัง เพื่อนำเสนอให้กับคณะองคมนตรีเพื่อพิจารณาก่อนนำขึ้นกราบบังคมทูลต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวต่อไป
แหล่งข่าวจากนายทหารระดับสูง กล่าวว่า ไม่เห็นด้วยในการขอนิรโทษกรรม หรืออภัยโทษของ พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะไม่เหมาะสมที่จะขอพระราชทานอภัยโทษ พ.ต.ท.ทักษิณ ควรเข้ามารับโทษในประเทศไทยก่อนถึงจะขออภัยพระราชทานอภัยโทษอีกที แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ หนีไปโดยไม่ได้ให้ความเชื่อมั่นกลับสถาบันศาลที่มีการพิจารณาคดีความ ทั้งนี้หลักการนิรโทษกรรมส่วนใหญ่เราก็เห็นด้วยที่อยากให้เกิดความปรองดองสมานฉันท์ แต่ตราบใดที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่เลิกและไม่หยุดที่จะป่วนก็เหมือนเอาประโยชน์ใส่ตัวเองเป็นหลัก จะทำทุกวิถีทางที่จะเอาประโยชน์เข้าตัว ไม่ได้ทำเพื่อส่วนรวมก่อน เสียสละเพื่อประเทศชาติ ยอมรับโทษทัณฑ์แล้วถึงมาสู่ขั้นตอนการขอนิรโทษกรรม แต่กลับไม่ได้ทำอะไรเลย ไม่ยอมรับผิดด้วยซ้ำ ทั้งนี้การนิรโทษกรรมขึ้นอยู่กับพระองค์ท่านที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
“ภาพที่ออกมาเหมือนเป็นการกดดันพระองค์ท่าน เพราะเท่าที่ผ่านมาปกติพระองค์ท่านจะให้พระราชทานอภัยโทษอยู่แล้ว แต่บนพื้นฐาน พ.ต.ท.ทักษิณ จะต้องเข้ามารับผิดในคดีความก่อน แต่ขณะนี้ยังไม่ยอมรับผิดเลยและคิดว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิดด้วยซ้ำ หากมองในหลักข้อเท็จจริงคิดว่าควรจะรอเวลาสักนิด และเมื่อกลับเข้ามาในประเทศก็รับโทษสักระยะ แล้วถึงทำเรื่องขอพระราชทานอภัยโทษถึงจะเหมาะสมกว่า แต่ตอนนี้เหมือนเป็นการกดดันมากกว่า ทั้งนี้การกระทำ พ.ต.ท.ทักษิณ เหมือนเป็นการโยนหินถามทางเพื่อดูทิศทางมากกว่า และพยายามเคลื่อนไหวเดินเกมเพื่อกดดัน รัฐบาล และกองทัพ” แหล่งข่าวระบุ
มีนาคม 17, 2009 ที่ 12:36 am
mahachao
ก่อสงครามกลางเมือง เพื่อ”ทักษิณ ชินวัตร”???? (ประชาไท ธนณรงค์)
ผมได้อ่านเอกสาร”ลับ”ที่เพื่อนฝูงส่งมาให้กองบก.แนวหน้า พร้อมกับนำมาตีพิมพ์ลงในคอลัมน์ขวามือ อ่านจบทั้ง4หน้าตัวเต็มๆไม่ได้เว้นจุดไข่ปลาเอาไว้ แล้วรู้สึกไม่สบายใจอย่างยิ่ง
ผมจะยังไม่สรุปว่า “แผนตากสิน”ในเอกสารลับดังกล่าว เป็นการวางแผนของกลุ่มที่สูญเสียผลประโยชน์ทางการเมืองจริงหรือไม่จริง แต่เมื่อพินิจพิเคราะห์จากเอกสาร อ่านหลายรอบแล้วย้อนกลับไปเริ่มต้นเรียงลำดับเหตุการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นในบ้านเรา นับแต่การรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 จนถึงปัจจุบัน
เหตุการณ์ทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันเดินตาม”แผนตากสิน”ทุกขั้นตอน
ตอนท้ายของ “แผนตากสิน”ซึ่งหากเป็นภาษาอังกฤษ จะเขียนว่า “Thaksin Plan”หรือเปล่าผมไม่ทราบ แต่ระบุไว้ว่า”รวมการวางแผน แยกการปฏิบัติ”
ผมจะรู้สึกเฉยๆหากแผนดังกล่าวเป็นแผนการณ์ของนักการเมืองที่รวมกันเพื่อแย่งอำนาจรัฐ อำนาจการปกครองประเทศ เพราะทุกยุคทุกสมัย ฝ่ายที่เป็นรัฐบาลก็มักจะกล่าวหาฝ่ายค้านว่าจ้องล้มรัฐบาล ซึ่งเป็นเรื่องปกติ ที่ฝ่ายค้านต้องล้มรัฐบาลเพื่อตัวเองจะมาเป็นรัฐบาลแทน อันนี้ไม่ว่ากัน เนื่องจากในสังคมประชาธิปไตย ภายใต้บทบัญญัตของรัฐธรรมนูญ มีหลากหลายวิธีในการเข้าสู่อำนาจรัฐ
ถ้ารัฐบาลไม่ลาออก ก็ยุบสภาเลือกตั้งใหม่ ใครชนะก็มาเป็นรัฐบาลได้อำนาจรัฐไป ใครที่เป็นรัฐบาลแล้วไปเป็นฝ่ายค้านก็ต้องทำเช่นเดียวกันเพื่อให้ได้กลับมาเป็นรัฐบาลอีก
แต่ว่าใน “แผนตากสิน”มันไม่ปกติ ไม่ใช่วิธีการเอาชนะคะคานกันในทางการเมืองตามกติกาที่วางเอาไว้ คือไล่รัฐบาล ลาออกหรือยุบสภาก็ไปเลือกตั้งใหม่ เท่านั้น แต่มีกระบวนการในการปลุกปั่นและสร้างความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง
โดยพุ่งเป้าไปที่สถาบันเบื้องสูง กองทัพ รัฐบาล พรรคการเมือง นักวิชาการ องค์กรประชาธิปไตยต่างๆ สื่อมวลชน และคนรากหญ้า หรือแม้กระทั่งนักการทูตที่พำนักอยู่ในประเทศไทย ก็ไม่เว้น
การปลุกระดมให้เกิดความเกลียดชัง การเคลื่อนไหว การจัดตั้งม็อบการเมือง โดยเน้นไปที่การใช้ความรุนแรง กระจายจากในเมือง(กทม.)ไปตามหัวเมืองใหญ่ๆและต่างจังหวัด ถึงขั้นใช้กำลังให้เกิดการจลาจล เกิดสถานการณ์ที่ยากแก่การควบคุมดูแล และในที่สุดจะนำไปสู่สงครามกลางเมือง ระหว่างประชาชนที่ถูกจัดตั้งมาทั้งสองฝ่าย
แน่นอนย่อมไม่พ้น เหลืองและแดง
ผมอยากถามว่าคนที่คิดทำเช่นนี้ เป็นคนไทยหรือไม่ ผมอยากถามว่าคนที่วางแผนการอย่างนี้ มีความรักชาติบ้านเมืองหรือไม่ ผมอยากถามว่าคนที่ต้องการให้เกิดสงครามกลางเมืองขึ้นในประเทศไทย เขาปรารถนาดีต่อประเทศไทยหรือไม่
ตาม”แผนตากสิน”ที่วางเอาไว้ เป็นแผนการณ์ที่แตกต่างจากเหตุการณ์ 14 ตุลา 2516 และ 6 ตุลา 2519 หรือแม้กระทั่ง พฤษภาปี2535
เพราะ 3 เหตุการณ์ก่อนหน้านี้ เป็นเหตุการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ เป็นการต่อสู้และเรียกร้องประชาธิปไตยเพื่อประเทศชาติโดยรวม ไม่ใช่เป็นการต่อสู้เพื่อใครคนใดคนหนึ่ง เหมือนในแผนตากสินเลย
ใครจะก่อสงครามกลางเมืองเพื่อ คุณทักษิณ ชินวัตร?????
มีนาคม 17, 2009 ที่ 5:49 am
hitaksin
December 25
หมอดู “ทักษิณชะตาขาดปี 2552”
หมอดูฟันธง’ทักษิณ’ชะตาขาด!’อภิสิทธิ์’ เผชิญศึกใน-นอก- สิงหาฯ.มีสิทธิ์ปิ๋ว
จับตาศึกใน-ศึกนอกรุมเร้า “อภิสิทธิ์1” อ่วม ! ทั้งศก.-ความมั่นคง-ยุติขัดแย้ง “ม็อบเสื้อแดง-เหลือง” ภาคธุรกิจเตือน “มาร์ค”บริหาร “ผลประโยชน์”ของชาติก่อนกลุ่มการเมือง ชี้เสียงพรรครัฐบาล “ปริ่มน้ำ”-พรรคร่วมตีรวน ส่อทำเกมในสภาฯวุ่น หมอดูเผย “มาร์ค”ต้องใช้ความหนักแน่น อดทนบริหารประเทศ เตือนเดือนส.ค.มีสิทธิ์ตกเก้าอี้ ส่วน “เนวิน”สิ้นบารมีปี52 ด้าน “ทักษิณ”ดวงชะตาถึงฆาต-ระวังถูกลอบทำร้าย
เสียงตอบรับที่สังคมมีต่อรัฐบาล ‘อภิสิทธิ์ 1’ ในเวลานี้เต็มไปด้วยกระแสด้านบวกแทบทั้งสิ้นทั้งจากภาคธุรกิจ ผู้ประกอบการ , กองทัพ รวมทั้งกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในฐานะแกนนำการเมืองภาคประชาชนที่หยุดเคลื่อนไหวรัฐบาลใหม่เป็นการชั่วคราว ยอมเปิดโอกาสให้รัฐบาลใหม่ได้แสดงฝีมือพิสูจน์ความตั้งใจจริงตามที่ได้ให้สัญญากับประชาชนเอาไว้ก็ตาม แต่ดูเหมือนว่าในความเป็นจริงแล้วสถานภาพรัฐบาลที่มีพรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนหลักนั้นอาจไม่ได้มีความมั่นคง แข็งแกร่งเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ สะดวกราบรื่นไปทั้งหมด
เนื่องจากประเด็นปัญหาที่กำลังรอท้าทายฝีมือของนายกฯคนใหม่และขุนพลทีมเศรษฐกิจจากพรรคประชาธิปัตย์ ที่ประกาศความเป็นมืออาชีพมาโดยตลอดนั้น กลับเต็มไปด้วยสารพัดวิกฤต ที่สะสมมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งปัญหาการทุจริตคอรัปชั่นที่เกิดขึ้นในรัฐบาลทักษิณ ซึ่งหลายคนต่างคาดหวังที่จะเห็นการขจัดให้หมดไปจากสังคมในรัฐบาลชุดใหม่ นั้นจะมีความเป็นจริงได้หรือไม่?
ศึกใน-นอกรุมรัฐบาล-”
ศก.-การเมือง-ความมั่นคง”
แม้ผู้นำอย่างอภิสิทธิ์ จะมีคุณสมบัติที่โดดเด่นเหนือกว่ารัฐบาลสมัคร สุนทรเวชและสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ก็ตาม แต่ในสภาพการดำรงอยู่เป็นรัฐบาลพรรคร่วมนั้น กลับมีบุคคลแวดล้อมทั้งเปิดเผยและเบื้องหลังมีชื่อเกี่ยวข้องกับคดีทุจริตไม่ต่างไปจากการเมืองยุคเก่าได้อย่างที่หลายคนคาดคิด โดยเฉพาะหน้าตาครม.ชุดใหม่นั้นมีความ “ขี้เหร่” ไม่ห่างไปกว่าสมัย “สมัคร1” เท่าใดนัก ทั้งที่หลายคนจะรู้ดีว่าการตั้งครม.รอบนี้พรรคประชาธิปัตย์จำเป็นต้องอาศัยนักการเมืองที่มีตำหนิ และอยู่ภายใต้การต่อรองผลประโยชน์ก็ตาม แต่ก็ยากต่อการหลีกเลี่ยงเสียง วิพากษ์วิจารณ์ถึงความเหมาะสมไม่ได้
โดยเฉพาะกระทรวงด้านเศรษฐกิจที่หลายคนฝากความหวังเอาไว้มากที่สุด กลับถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักถึงความรู้ ความสามารถ ไม่ว่าจะเป็น “พรทิวา นาคาสัย” ตัวแทนจากพรรคภูมิใจไทยของสมศักดิ์ เทพสุทิน ที่ถูกโจมตีอย่างหนักว่าไม่เหมาะสมกับเก้าอี้รมว.พาณิชย์ ทั้งด้วยความรู้ความสามารถและการเกี่ยวพันกับธุรกิจสถานบันเทิงชื่อดัง
ส่วน ชาญชัย ชัยรุ่งเรือง นั่งเป็นรมว.อุตสาหกรรม นั้นจะได้รับความเชื่อมั่นจากภาคธุรกิจหรือไม่ และว่าที่ร.ต.หญิงระนองรักษ์ สุวรรณฉวี กลับได้เข้ามาคุมกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร นั้นมีคุณสมบัติเพียงพอหรือไม่
ส่วนรัฐมนตรีที่กำลังกลายเป็นเป้าโจมตีของฝ่ายค้านมากที่สุด เวลานี้คือ “กษิต ภิรมย์” รมว.ต่างประเทศ เป็นเพราะได้รับการผลักดันจากกลุ่มพันธมิตรฯ ในฐานะ “ขาประจำ”ร่วมเวทีพันธมิตรฯ
ความเชื่อมั่นที่สังคมกำลังมีต่อโฉมหน้ารัฐมนตรีกระทรวงหลักๆของรัฐบาลชุดนี้ ได้กลายเป็นเรื่องร้อนที่นายกฯอภิสิทธิ์ พยายามที่จะเร่งทำความเข้าใจมากที่สุด ล่าสุดในการประชุมครม.
ครั้งแรกเมื่อวันที่ 23 ธค2551 ที่ผ่านมา ด้มีการวางกฎเหล็กให้รัฐมนตรีในครม.ทุกคนต้องปฏิบัติตนให้เหมาะสม ไม่มีการทุจริต รวมทั้งยังขู่ว่าพร้อมเปลี่ยนตัวรัฐมนตรีทันทีหากพบว่าใครไร้ฝีมือและไม่ทำงานอย่างจริงจัง นั้นเป็นเพราะเขารู้ดีว่าหากไม่เร่งจัดการปัญหาภายในพรรคร่วมรัฐบาลโดยเร็วแล้ว การแก้ไขปัญหาใหญ่ๆคงเดินหน้าต่อไม่ได้
ยุติขัดแย้ง
“ม็อบเสื้อแดง-เสื้อเหลือง”
ขณะเดียวกันประเทศไทย กำลังประสบกับปัญหาด้านเศรษฐกิจที่รอการแก้ไขจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งกรณีอัตราคนว่างงานที่มีแนวโน้มพุ่งสูงขึ้นในปีหน้าถึงหลักล้าน , การหาทางเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ ,การช่วยเหลือผู้ประกอบการเพื่อลดการขาดทุน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อคนชั้นกลางและรากหญ้าอย่างหนัก
อีกทื้งการเร่งแก้ไขกรณีไฟใต้ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งกลายเป็นปัญหายืดเยื้อ ท้าทายความสามารถของรัฐบาลมาแล้วทุกยุค จะสามารถคลี่คลายลงได้หรือไม่ โดยเฉพาะในพรรคประชาธิปัตย์มีส.ส.ใต้หลายคนที่รู้และเข้าใจสถานการณ์เป็นอย่างดี ส่วนความขัดแย้งระหว่างประเทศ ระหว่างไทย-กัมพูชา ที่มีเรื่องร้อนรออยู่ถึงสองเรื่องคือกรณีปราสาทพระวิหาร ซึ่งจะมีการเจรจาของทั้งสองฝ่ายขึ้นอีกครั้งใน เดือนม.ค.2552 และการปักปันเขตแดน
นอกจากนี้การหาทางยุติความขัดแย้งระหว่างคนในสังคมภายใต้กลุ่ม “ม็อบเสื้อแดง-ม็อบเสื้อเหลือง” ยังเป็นภารกิจด่วนที่นายกฯอภิสิทธิ์ ต้องดำเนินการให้เกิดขึ้นได้จริง เพราะหากไม่สามารถบริหารจัดการความขัดแย้งระหว่างคนสองกลุ่มได้แล้ว แนวโน้มที่ความปั่นป่วนวุ่นวายจากการปะทะกัน จนเกิดจลาจลกลางเมืองเหมือนที่ผ่านมา ย่อมปะทุขึ้นได้อีก
ขณะเดียวกันจากการจัดสรรเก้าอี้ครม.ในรอบนี้ ยังส่งผลให้เกิด “ศึกใน”ภายในประชาธิปัตย์ขึ้น แกนนำในพรรคหลายคนต้องพลาดหวังจากเก้าอี้ ทั้งที่มีชื่อติดโผมาตลอด ไม่ว่าจะเป็นนิพิฎฐ์ อินทรสมบัติ ส.ส.พัทลุง ,จุติ ไกรฤกษ์ ส.ส.พิษณุโลกหรือ เฉลิมพล ศรีอ่อน ส.ส.ประจวบฯ จนในที่สุดประธานที่ปรึกษาพรรคฯ ชวน หลีกภัย ต้องออกมาเรียกร้องให้คนเหล่านั้นอดทน รอคอยไปจนหลังเลือกตั้ง แต่ความขัดแย้งในรอบนี้ ยังไม่มีสามารถบอกได้ว่าทุกอย่างจะสงบลงจริง และไม่กลายเป็นคลื่นใต้น้ำในวันหน้า
ภาคธุรกิจแนะจัดการ
ประโยชน์ “ชาติ-การเมือง”
ทางด้านว่าที่ร.ต.จิตร์ ศิรธรานนท์ กรรมการรองเลขาธิการหอการค้าไทย กล่าวว่า การเข้ามารับหน้าที่นายกฯคนใหม่ของอภิสิทธิ์ ต้องยอมรับว่าเป็นทุกข์ลาภ เนื่องจากใครก็ตามที่เข้ามาทำงานในเวลานี้ เป็นเรื่องที่หนักและเหนื่อย เพราะบ้านเมืองอยู่ในภาวะไม่ผิดปกติ เผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจทั้งในและนอกประเทศ ซึ่งถือว่ามีความรุนแรงกว่าปี2540 โดยในช่วงนั้นมีกลุ่มทุนที่ได้รับผลกระทบน้อยราย แต่มูลค่าความเสียหายมหาศาล แต่ในปี2551 แม้จะมีมูลค่าความเสียหายน้อยกว่า ในปี2540 แต่มีกลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากราย ตั้งแต่รากหญ้าจนถึงผู้ประกอบการรายใหญ่
นอกจากนี้ยังเห็นว่าปัจจัยทางด้านการเมืองภายในพรรคร่วมรัฐบาลไม่มีความเป็นเอกภาพมากพอ ก็จะยิ่งส่งผลกระทบต่อ
เสถียรภาพและความเชื่อมั่นของรัฐบาลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
” ท่าทีของรัฐมนตรีแต่ละคนในรัฐบาลชุดนี้ก็ดูเหมือนว่าจะตั้งใจจริงเพื่อแก้ไขปัญหาของประเทศชาติ แต่ทั้งนี้ต้องให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ผลงาน และความจริงใจ”
วอนทุกฝ่ายเสียสละเพื่อชาติ
เขา กล่าวอีกว่า ที่มาของการเป็นรัฐบาลนั้นไม่ใช่จุดอ่อนสำหรับพรรคประชาธิปัตย์ในการจับขั้วกับพรรคอื่นๆเพื่อจัดตั้งรัฐบาลใหม่ แต่ปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในวันข้างหน้านายกฯอภิสิทธิ์ จะสามารถบริหาร “ผลประโยชน์ชาติ”กับ “ผลประโยชน์การเมือง” ระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลให้มีความสมดุลได้อย่างไร เนื่องจากไม่ใช่เรื่องง่าย
” คุณอภิสิทธิ์ ต้องคำนวณดูว่าจะเลือกบริหารอย่างไร ให้เสียหายน้อยที่สุด ขัดแย้งกันน้อยที่สุด แม้ภาคธุรกิจจะเรียกร้องหรือเสนอแนะแนวทางในการแก้ปัญหาอย่างไร แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับฝ่ายบริหาร ซึ่งฝ่ายการเมือง จะยอมลดผลประโยชน์ของตัวเองลงบ้าง เพื่อทุ่มเททำเพื่อบ้านเมืองในยามนี้ก่อน เพราะต้องไม่ลืมว่าถ้าประเทศชาติไม่รอด ทุกคนก็เดือดร้อนกันทั้งหมด”
บริหารเงื่อนไข
“พรรคร่วม-พธม.”ให้ลงตัว
ด้านแกนนำจากพรรคเพื่อแผ่นดินระบุว่า ขณะนี้ต้องจับตา การบริหารจัดการพรรคร่วมรัฐบาล โดยเฉพาะกลุ่มเนวิน ชิดชอบ ถือเป็นกำลังสำคัญที่ทำให้ประชาธิปัตย์จัดตั้งรัฐบาลได้โดยไม่ก่อให้เกิดความขัดแย้งได้อย่างไร ทั้งในเรื่องของ “งบประมาณ”และคดีทุจริตต่างๆที่มีแกนนำจากพรรคร่วมรัฐบาลเข้าไปเกี่ยวข้อง
ทั้งคดีการบุกรุกที่ดิน ในอำเภอสตึก จ.บุรีรัมย์ ที่มีชื่อของชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนฯ พ่อของเนวิน มีชื่อพัวพัน ,กรณีการทุจริตโครงการฝายแม้ว ซึ่งมีอนงค์วรรณ เทพสุทิน อดีตแกนนำพรรคมัชฌิมาธิปไตย เกี่ยวข้อง ขณะเดียวกันยังมีโครงการเมกกะโปรเจคที่กลุ่มพันธมิตรฯ เฝ้าจับตาอย่าง โครงการเช่ารถเมล์เอ็นจีวี 4,000 คัน ซึ่งเคยได้รับการผลักดันจากกลุ่ม “แก็งค์ออฟโฟร์” ของเนวิน เป็นส่วนได้ส่วนเสียจะเดินหน้าต่อไปอย่างไร
รวมทั้งการมีคำสั่งดึงพล.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.)กลับคืนเก้าอี้เดิม หลังจากที่ครม.สมชาย มีคำสั่งเด้งให้ไปช่วยราชการที่สำนักนายกฯ ขณะที่กลุ่มพันธมิตรฯ วิพากษ์วิจารณ์ถึงคำสั่งอุ้มแต่งตั้งโยกย้ายครั้งนี้ว่ามีความถูกต้องชอบธรรมหรือไม่ ทั้งที่พล.อ.พัชรวาท และพรรค เคยถูกคณะกรรมการสอบสวน ระบุว่ามีความผิดจริงในการประมูลงาน ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
“ถามว่าปัญหาอย่างนี้นายกฯอภิสิทธิ์ จะทำอย่างไร ถ้ายังดึงดันอุ้มพล.อ.พัชรวาท แล้วจะถูกกลุ่มพันธมิตรฯจะต่อต้านหรือไม่”
เตือนพรรคร่วมตีรวน
ในสภาฯ-พท.ฟื้นชีพ
ดังนั้นเงื่อนไขที่รัฐบาลใหม่ต้องเผชิญหน้าระหว่างการบริหารประเทศคือการหาทางลดความขัดแย้งระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล และการตอบรับกับเงื่อนไขของกลุ่มพันธมิตรฯควบคู่กันไป อย่างไรก็ตามมีความเป็นไปได้สูงว่าปัญหาความไม่เป็นเอกภาพจากพรรคร่วมรัฐบาล อย่างพรรคเพื่อแผ่นดิน และการต่อรองผลประโยชน์ของกลุ่มเนวิน นั้นอาจกลายเป็นสาเหตุสำคัญที่จะกลายเป็นอุปสรรคการทำงานในฝ่ายนิติบัญญัติของรัฐบาลได้ เพราะจำนวนส.ส.ของรัฐบาลที่มีทั้งสิ้น 237 เสียงและพรรคฝ่ายค้านมีอยู่ 198 เสียงนั้นไม่แตกต่างกันมากนัก
“อย่างพรรคเพื่อแผ่นดินมีการแตกออกเป็นสองกลุ่ม คือฝ่ายของพล.ต.อ.ประชา และกลุ่มของคุณพินิจ จารุสมบัติ ที่ได้ตำแหน่งในรัฐบาล ก็อาจกลายเป็นช่องโหว่ ทำให้เสียงในสภาฯล่อแหลมได้โดยเฉพาะในการโหวตเรื่องสำคัญ ทั้งกฎหมายการเงิน การลงมติอภิปรายนายกฯและอาจเป็นโอกาสให้พรรคเพื่อไทยฟื้นขึ้นมาได้ ”
รัฐนาวา “อภิสิทธิ์1″ถูกจับตามองมาตั้งแต่ยังไม่ได้ลงมือทำงานว่าจะไปได้ตลอดรอดฝั่งหรือไม่ ทั้งนี้เนื่องจากการเป็นรัฐบาลผสมหลายพรรคและพรรคการเมืองที่เข้ามาผสมอยู่นั้นครั้งหนึ่งเคยเป็นรัฐบาลซึ่งมีประชาชนจำนวนไม่น้อยต่อต้าน
ทั้งนี้ทั้งนั้นในการทำงานของรัฐบาลชุดนี้จะต้องอาศัยฝีมือในการทำงานเพื่อนำพาประเทศให้รอดพ้นวิกฤตที่หนักหนาเอาการ แต่อีกส่วนหนึ่งก็ต้องใช้ “ดวง”ในการค้ำจุนบัลลังก์เช่นกัน ดังนั้น “ดวง”ของผู้นำ และ “ดวง”ของฝ่ายค้านก็มีส่วนที่จะทำให้เราได้รู้ว่าอนาคตของรัฐบาล “อภิสิทธิ์ 1″จะไปได้ตลอดรอดฝั่งหรือไม่
เดือน ส.ค. นายกฯ
มีสิทธิ์ตกเก้าอี้
อาจารย์ธนกร สินเกษม นายกสมาคมโหรแห่งประเทศไทยในพระราชินูปถัมภ์ บอกว่า มนุษย์ทุกผู้ทุกนามถูกกำหนดชีวิตด้วย “ดวงชะตา”อยู่แล้ว ดังนั้นในการดำเนินชีวิตทั้งหน้าที่การงาน การเงิน ความรัก จะสามารถวิเคราะห์อนาคตได้ก็ด้วย “ดวงชะตา”นี่เอง
สำหรับดวงของนายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เกิดเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2507 ที่ประเทศอังกฤษ เวลา 6.30 น.ตรงกับวันจันทร์ เดือน 8 ปีมะโรง ลัคนาอยู่ในราศี กรกฏ อายุย่าง 45 ปี ดาวที่ส่งให้เป็นนายกรัฐมนตรีคือดาวอาทิตย์เป็นศรีกุมลัคน์ (ดาวอาทิตย์คือดาวการเมือง)อยู่ในตำแหน่งมหาจักร สิ่งที่น่าเป็นห่วงก็คือ ดาวเสาร์กาลีจรมาทับดาวพุธเอกสาร จะทำให้มีปัญหาเกี่ยวกับเอกสารการเกณฑ์ทหารได้ และมีปัญหาหนักอกในการกุมเสียงในสภากับพรรคร่วมรัฐบาล(ดาวเสาร์ปัตนิเป็นกาลี) ทำให้นายกฯบริหารประเทศด้วยความยากลำบาก ประกอบกับดวงเมืองหลังวันที่ 21 เมษายน 2552 ดาวอาทิตย์จะเป็นกาลี ส่งผลทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งใหญ่และเมื่อเลยวันที่ 3 สิงหาคม 2552 แล้วดาวอาทิตย์จะเป็นกาลีกุมลัคน์ และดาวพุธเดชอยู่เรือนกาลี ซึ่งไม่น่าจะเกินเดือนสิงหาคม 2552 จะทำให้นายกฯอภิสิทธิ์ไม่สามารถบริหารประเทศต่อไปได้
ขณะที่อาจารย์สิน มีสัตย์ ผู้เชี่ยวชาญโหราศาสตร์หลายแขนงบอกว่า การที่นายกอภิสิทธิ์ มีโอกาสก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้บริหารประเทศในครั้งนี้เนื่องจากดาวอาทิตย์ซึ่งเป็นดาวการเมืองเป็นศรี แต่ในช่วง 8 เดือนแรกการบริหารงานไม่ง่ายนักเพราะดาวเสาร์ปัตนิและ กัมมะเป็นกาลี เพราะพรรคการเมืองผสมร่วมรัฐบาลจะมีความขัดแย้งในการทำงาน และตั้งแต่วันที่ 4 สิงหาคม 2552 เป็นต้นไปจะทำงานลำบาก ในช่วงนี้จะมีการปรับ ครม.หลายครั้งถ้าไม่เช่นนั้นอาจอยู่ไม่ได้(ดาวอาทิตย์เป็นกาลี)แต่ก็จะได้รับการช่วยเหลือจากทหาร ขณะเดียวกันตัวนายกรัฐมนตรีเองจะต้องระวังสุขภาพให้มากเช่นเดียวกันเพราะช่วงดังกล่าวนั้นอาจจะมีเกณฑ์ผ่าตัด หรือเกิดอุบัติเหตุได้(ดาวอังคารตกหินะ)
หมอดูพม่าเผย
“มาร์ค”คนรอบข้างทำพิษ
ด้านอาจารย์เหลี่ยงเจริญสุข ผู้เชียวชาญโหราศาสตร์พม่า บอกว่า ดวงนายกฯอภิสิทธิ์ตกปูมพฤหัสบดี มีดวงดาว 3 ดวงทำงานในระยะนี้คือ 5 – 3 – 1 หมายถึงสิ่งแวดล้อมรอบตัวนายกฯอยู่เรือนลำบาก ทำให้ทำงานทุกอย่างเป็นไปอย่างยากลำบากเพราะพฤหัสบดีธาตุดินแข็ง วิธีแก้คือต้องรู้จักทำจิตใจให้มั่นคง หนักแน่น รู้จักผ่อนสั้นผ่อนยาว ต้องวางใจให้เป็นกลาง
นอกจากนี้ดาวอังคารอยู่หัวเสาพฤกษาชาตา ได้รับเกียรติเป็นนายกรัฐมนตรีก็สามารถทำงานได้ดี แต่ต้องทำจิตใจให้เข้มแข็ง มั่นคง อังคารมาสถิตราศีธนูเรือนพฤหัสบดีได้ตำแหน่งอริขิงลัคนา หมายถึงปัญหาจะเกิดจากคนรอบข้างโดยเฉพาะผู้ใหญ่
ดาวสุดท้ายที่ทำงานคือดาวอาทิตย์ อาทิตย์เป็นศรีในรอบอายุ 45 ปี และเป็นราชาด้วยผลักดันให้เจ้าชะตามีเกียรติ มีชื่อเสียงได้รับการยกย่องจากคนรอบข้าง แต่ดาวอาทิตย์ธาตุไฟเดินเข้ามสู่ราศีธนูเหมือนกันได้เรือนมิตรแต่ตำแหน่งเรือนเป็นอริจะทำให้ “มิตรกลายเป็นศัตรู” ทำให้เกิดความขัดแย้งเกิดขึ้น
อย่างไรก็ตามหลังจากเดือนมีนาคม ไปจนถึงเดือนมิถุนายน 2552 จะเกิดปัญหาด้านการงาน การเงิน เพราะดาวเสาร์เดินอยู่ในเรือนกดุมภะเรือนของอาทิตย์ นายกฯจะทำงานอย่างยากลำบากมากขึ้นและต้องใช้ความอดทน อดกลั้นอย่างมาก และหากสามารถประคองตัวเองผ่านเดือนมิถุนายนไปได้นายกฯจะสามารถอยู่ในตำแหน่งนี้ไปอีกถึง 3 ปีทีเดียว
ตุลา 52 “เนวิน”หมดบารมี
นอกจากนี้ยังได้ตรวจ ดวงชะตาของผู้มีบทบาทในการจัดตั้งรัฐบาลสำเร็จ ซึ่งหมายถึง “ผู้ชักใย”อยู่เบื้องหลังอย่างเนวิน ชิดชอบ ถือว่ามีความสำคัญเพราะหากไม่มีเขาในวันนั้นก็จะไม่เกิดรัฐบาลในวันนี้
อาจารย์ธนกร บอกว่า ดวงชะตาของเนวิน ถือเป็นคนที่มีอำนาจทางการเมืองเนื่องจากดาวอาททิตย์เป็นศรีกุมดาวศุกร์เดช เขาเกิดวันที่ 4 ตุลาคม 2501 ตรงกับวันเสาร์ เดือน 10 ปีจอ อายุย่าง 51 ปี ในการตั้งรัฐบาล “อภิสิทธิ์ 1 “นั้นถือว่าเนวิน เป็นตัวแปรสำคัญ แต่ตั้งแต่วันที่ 5 ตุลาคม 2552 เนวินจะมีอายุย่าง 52 ปี ช่วงนี้จะเกิดการพลิกผันกับชีวิตเพราะดาวอาทิตย์ที่เป็นดาวการเมืองจะเป็นกาลีและดาวพุธเดชถูกกาลีกุม จะทำให้เนวิน หมดสิ้นอำนาจทางการเมือง
ขณะที่อาจารย์ สิน บอกว่า เนวิน เกิดเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2501 ปีนี้อายุย่าง 51 ปี ในครั้งนี้เขามีบทบาทเด่นเพราะเป็นผู้วิ่งเต้นอยู่เบื้องหลังการผลักดันส่งเสริมให้เพื่อนในกลุ่มเข้าดำรงตำแหน่งสำคัญสำเร็จ(ดาวอาทิตย์เป็นศรี )ในกระทรวงมหาดไทย และกระทรวงคมนาคม(ดาวพุธเป็นมนตรี) แต่ใน 10 เดือนแรกอาจจะต้องเครียดกับกระแสต่อต้านของประชาชนบางกลุ่มเนื่องจากการแปรพักตร์ของตัวเขาเอง(ดาวเสาร์ปุตตะเป็นกาลี) ทำให้กระเทือนต่อตำแหน่งที่ปรึกษาในกลุ่มเพื่อนเนวิน แต่อุปสรรคนี้คงไม่ทำให้หวั่นไหวเพราะในกลุ่มเขายังมีความเหนียวแน่น
แต่หลังจาก 4 ตุลาคม 2552 เส้นทางการเมืองของเขาคงไม่ราบรื่นเพราะจะเกิดปัญหา (ดาวอาทิตย์เป็นกาลี) กับความยุ่งยากในคำติฉินนินทา (ดาวราหูเป็นอุตส่าห์)และมีแนวโน้มว่านายหญิงเก่าที่เคยให้ความเคารพจะแข็งไม่ยอมและมีความต้องการเข้ามาสะสางและกอบกู้ชื่อเสียงเครดิตของตนให้กลับคืนมา (ดาวอังคารมาตาเป็นเดชสัมพันธ์มรณะ)แต่โดยส่วนตัวแล้วคงไม่รู้ร้อนรู้หนาวอะไรเพราะมีผู้ใหญ่หรือเพื่อนๆให้ความมั่นคงแก่ตน
ในช่วงอายุย่าง 52 ปีอาจจะมีบุญหล่นทับโดยไม่รู้ตัว(ดาวเสาร์ปุตตะเป็นศรี) แต่ทั้งนี้จะต้องระวังในการบาดเจ็บชนิดถูกยัดเยียด(ดาวอังคารเป็นอายุ)และอย่างดันทุรังมากนักเพราะอาจจะทำให้เกิดการเจ็บป่วยด้วยโรคหัวใจและความดัน
ส่วนอาจารย์เหลี่ยง ทำนายดวงของเนวิน ชิดชอบตามหลักโหราศาสตร์พม่าว่า พฤกษาชาตาดวงของเนวิน ชิดชอบนั้น ตกปูมราหู ได้ 7 – 8 ได้ดาวคู่มิตรตั้งแต่เดือนตุลาคม 2551 ชีวิตได้ผ่านพ้นวิกฤตมาได้พอสมควร ทำให้ได้ที่ทำการใหม่ เสาร์อยู่ในอยู่ตำแหน่งเดินทางจะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น เสาร์เป็นตัวทำงานในรอบอายุนี้ เนวินจะได้ที่ทำการใหม่ แต่ต้องเดินทางอยู่บ่อยๆ 7 เป็นปิตาในแผนธาตุดวงชะตา มีอำนาจสั่งการดีขึ้น
ดาวเสาร์เป็นมหัศจรรย์จึงทำให้เจ้าชาตามีอะไรแปลกใหม่เกิดขึ้นเสมอหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ลางสังหรณ์”ทำให้เจ้าชาตานั้นสามารถคาดการณ์ต่างๆล่วงหน้าได้ถูกต้องแม่นยำ ดาวเสาร์เป็นดวงจรเดินมาในภพกัมมะของชาตานี้กัมมะแปลว่าความฝันความปรารถนา ทำให้เจ้าชาตากล้าตัดสินใจทำโดยรับอาสาเพื่อน ทำให้เกิดปมเด่นขึ้นมาแบบอัศจรรย์โดยที่ใครๆก็ไม่คาดคิดมาก่อน
ตั้งแต่อายุ 51 ปีขึ้นไปดวงชาตานี้จะเฟื่องฟูไปอีกหลายปี เพราะดาวจันทร์เด่นมาก จันทร์เป็นราชาในระบบโหราศาสตร์พม่าพฤกษาชาตาประกอบกับดวงชาตา 12 ราศีเป็นมหาอุจจ์ยิ่งผลักดันให้เจ้าชาตามีชื่อเสียงเกียรติยศรุ่งเรือง ดาวจันทร์แปลว่าเงิน การเงินของเจ้าชาตาก็ดีขึ้นเรื่อยๆ
แต่เนื่องจากดาวอังคารอยู่ในตำแหน่งนาวัง ซึ่งเป็นตำแหน่งแห่งการเปลี่ยนแปลงจึงเกิดการเปลี่ยนแปลงอยู่บ่อยครั้งโดยเฉพาะการเปลี่ยนใจ ดังนั้นจึงควรระมัดระวังทำตัวเองให้มีความหนักแน่นมั่นคงจึงจะแก้ไขได้
ดวง “ทักษิณ” ยังตกอับ
นอกเหนือตัวนายกรัฐมนตรีและผู้อยู่เบื้องหลังของการตั้งรัฐบาลชุดนี้แล้ว บุคคลที่ไม่อาจประมาทและมองข้ามได้ เนื่องจากยังปรากฏว่ามีอิทธิพลครอบงำ ด้านการเมืองไม่เสื่อมคลาย อย่าง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็มีความสำคัญยิ่งต่อการบริหารประเทศของรัฐบาล “อภิสิทธิ์ 1”
อาจารย์ธนกร บอกว่า ทักษิณ ชินวัตร เกิดวันที่ 26 กรกฎาคม 2492 อายุย่าง 60 ปี ดาวราหูเป็นกาลีเล็งลัคน์ทำให้เขายังมีปัญหาเรื่องคดีความอยู่ต่อไป ดาวศุกร์บริวารอยู่เรือนวินาศทำให้ลูกน้องบริวารกล้าแปรพักตร์ แต่หลังวันเกิด 26 กรกฎาคม 2552 ดาวราหูมูละอยู่เรือนวินาศทำให้ยังต้องโยกย้ายที่อยู่ไปเรื่อยๆและต้องระวังตั้งแต่วันที่ 30 กันยายน 2552 ต้องระวังการถูกลอบทำร้ายเพราะดาวเสาร์ทับลัคน์เป็นฆาตอายุ (อายุถึงวิบัติ)
ส่วนอาจารย์สิน ชี้ว่า ในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2552 พ.ต.ท.ทักษิณจะมีปัญหาในเรื่องคดีความและถูกใส่ร้ายป้ายสี(ดาวราหูเป็นกาลี)และต้องยุ่งยากกับอุปสรรคในเรื่องอสังหาริมทรัพย์(ดาวเสาร์อริเป็นอุตสาหะ) การติดต่อการขอวีซ่าเพื่อขออยู่ในประเทศอังกฤษมีปัญหาไม่ผ่าน(ดาวพุธตกหินะ)
ตั้งแต่วันที่ 26 กรกฏาคม 2552 มีเกณฑ์ที่จะพยายามเข้ามาประเทศไทยเพื่อต่อสู้ในทางศาล(ดาวพฤหัสเป็นอุตสาหะ) คดีความอาจมีความ อลุ้มอะหล่วย (ดาวราหูเป็นมนตรี) เอกสาร การเจรจา ติดต่อต่างๆเป็นผลดี (ดาวพุธเป็นศรี)
ขณะที่อาจารย์เหลี่ยง บอกว่า ในช่วงอายุปีที่ 60 ตามทัศนะโหราศาสตร์พม่าดวงชาตาตกปูมพฤหัสบดี และเป็นตัวทำงานในตำแหน่งทุกขังด้วย ทำให้เจ้าชะตาตกอยู่ในมุมอับ คนรอบข้างหมางเมิน และยังได้รับความเดือดร้อนเรื่องที่อยู่อาศัยเป็นทวีคุณ 5 เป็นปิตา ทุกขังอุปถัมภ์ ผู้ใหญ่ไม่สนับสนุน กัมมะเป็นทุกขังด้วยยิ่งทำให้แย่ไปใหญ่สิ่งที่เจ้าชาตาหวังก็ไม่ได้กลับเป็นแค่หวังลมๆแล้งๆ ในระยะนี้พฤหัสทุกขังตกอยู่ในตำแหน่งแก่นไม้ จึงมองไม่เห็นช่องทางที่จะดิ้นออกจากจากวงล้อมแห่งกรรมได้เลย แต่ถ้าเจ้าชาตารู้ว่าดิ้นไม่ออกก็ควรจะอยู่เฉยๆเพราะจะทำให้ไม่เหนื่อยจนเกินไป
อย่างไรก็ตามในช่วงชาตาชีวิตก้าวเข้าสู่อายุ 61 ปี ชาตาชีวิตจะเริ่มสว่างสดใสกลับมาอีกครั้งหนึ่งช่วงนี้ควรจะระวังสุขภาพไว้จะดีกว่าหวังลมๆแล้งๆเพราะดิ้นไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้น ซ้ำอาจจะก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพที่อาจจะกลายเป็นอุปสรรคใหญ่ได้ แต่หลังเดือน กรกฏาคม 2552 ไปแล้วความคิดความอ่านจะโลดแล่นถึงขนาดวางแผนกลับมาผงาดได้อีกครั้งทีเดียว
จากนี้ไป การบริหารงานของรัฐบาลอภิสิทธิ์ 1 จะสามารถฝ่าฟันปัญหารอบด้านที่รุมเร้าไปได้ด้วยความสามารถ ฝีมือหรือดวงดาวที่เกื้อหนุน จนต่ออายุรัฐบาลให้ยืดยาวออกไปนานเกินกว่า 3 เดือน ยาวนานต่อไปเป็นเวลาขวบปีตามที่ตั้งเป้าเอาไว้ได้หรือไม่ แม้จะต้องแลกกับความเหนื่อยล้าทั้งกายและใจอย่างหนักหนาสาหัสก็ตาม ….
มีนาคม 21, 2009 ที่ 11:51 pm
yinglak
คงไม่คุยเข้าไปในรายละเอียดการอภิปรายแต่ละคนเมื่อวานนี้ (๒๐ มี.ค.) นะครับ พูดกันตรงๆ คือระบบรัฐสภาเดี๋ยวนี้ ไม่มีเสน่ห์ดึงดูดให้สนใจมากนัก เพราะการแสดงออกที่ส่อถึงชั้น-วรรณะของคน โดยเฉพาะท่านผู้อภิปรายบางท่าน น่าตรวจเช็กระบบจิตประสาทก่อนมาทำหน้าที่ ก็ไม่ทราบว่าไปบน “ศาลเจ้าพ่อเสือ” หรือเพราะสภาอยู่ใกล้ “สวนสัตว์” ก็ไม่รู้นะ จึงดูจะเกรี้ยวกราดตวาดด่า สำรากอารมณ์มากกว่าจะเป็นการอภิปรายของท่านผู้ทรงเกียรติ ระบบรัฐสภาน่ะ พวกท่านไม่รักษาก็ได้ แต่คุณสมบัติคนของตัวเองน่ะ..ควรรักษา!
จะให้สรุปตามประเพณีนิยมที่ทำกันหลังอภิปรายว่า “ใครแพ้-ใครชนะ” ครั้งนี้คงไม่สรุปครับ เพราะคำว่าแพ้-ชนะนั้น น่าจะเป็นการตัดสินในเกมที่ยอมรับได้ตามกฎกติกา ส่วนครั้งนี้ นับตั้งแต่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจขึ้นมาในระบบรัฐสภา เท่าที่ผมเห็นมา ก็นี่แหละที่เป็นการอภิปรายค่อนข้าง “ต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน” เอามากๆ
ถ้าจะเปลี่ยนชื่อญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯ กับคณะไปเป็น “ญัตติสำรากระบายแค้นบูชาคุณทักษิณ” อย่างนี้น่าจะตรงกับเหตุการณ์ในสภา ๒ วันที่ผ่านมามากกว่า เหตุนี้แหละ คำว่า แพ้-ชนะ อันเป็นกติกาในระบบมาตรฐาน จึงไม่มีความหมายที่จะใช้สำหรับกิจกรรม..ต่ำมาตรฐาน
มีอยู่กรณีเดียว คือเรื่องที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง นำเส้นทางการเดินของเงิน ๒๕๘ ล้าน และเงินอุดหนุนพรรคประชาธิปัตย์จาก กกต. ๒๙ ล้าน มาไล่เรียง-แจกแจงให้เห็นถึงความไม่ชอบมาพากล ถึงแม้ไม่เกี่ยวกับตัวนายกฯ อภิสิทธิ์ และไม่เกี่ยวกับงานบริหารราชการแผ่นดินในปัจจุบัน แต่นับว่าเป็นประเด็นข้างเคียง ที่ทางประชาธิปัตย์ควรต้องมีคำตอบประกอบด้วยน้ำหนักเชื่อถือได้มาชี้แจงต่อสังคม ซึ่งเรื่องนั้นเกิดในปี พ.ศ.๒๕๔๗-๒๕๔๘ ในยุคที่นายบัญญัติ บรรทัดฐาน เป็นหัวหน้าพรรค และนายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ เป็นเลขาธิการพรรค
ก็มีเท่านี้แหละครับที่น่าสนใจ ที่บางเสียงบอกว่าไม่ให้ราคา ไม่มีน้ำหนัก เรื่องแต่ปีมะโว้ ไม่เกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของนายกฯ ตามที่ไปยื่นถอดถอนไว้เลยนั้น นั่นก็จริงอยู่ แต่สาระประเด็นนี้ก็ไม่น่าละเลยไปเสียทีเดียวมิใช่หรือ เหตุที่สังคมบางส่วนไม่ให้น้ำหนัก นั่นเห็นจะมาจากศรัทธา-ความเชื่อในตัว ร.ต.อ.เฉลิมเองเป็นหลักใหญ่
เมื่อวานผมก็คุยประเด็นนี้ และบอกว่ายังไม่ได้ฟังเจ้าตัว คือนายบัญญัติ กับนายประดิษฐ์ชี้แจง จึงสรุปไม่ได้ว่า เรื่องนี้น่าจะมีความเป็นไปได้ หรือเป็นไปไม่ได้ ยัง ๕๐-๕๐ อยู่ ก็พอดีทั้ง ๒ ท่านและ ส.ส.ประชาธิปัตย์ที่ถูกพาดพิงหลายท่านได้ชี้แจง-ตอบโต้ข้อกล่าวหาของ ร.ต.อ.เฉลิมเรียบร้อยไปแล้ว
เสียดายอยู่นิด ช่วงท่านชี้แจง เป็นช่วงผมนอนพอดี ก็เลยอดฟัง แต่ก็เอาข่าวจากคำชี้แจงท่านมาอ่านดูแล้วทราบว่า ทุกท่านชี้แจงสรุปได้ว่า ร.ต.อ.เฉลิมมั่ว ใช้ข้อมูลมาอภิปรายในลักษณะ “จับแพะชนแกะ” แล้วใช้ลีลา-สำนวนโวหารให้คนเชื่อว่ามีการไซฟอนเงิน ซึ่งไม่มีมูลความจริงตามนั้นเลย
นายประดิษฐ์บอกว่าในฐานะเลขาฯ พรรค เข้าไปมีส่วนร่วมในการบริหารเงินพรรค ๓ ส่วนเท่านั้น คือ ๑.เงินสนับสนุนพรรคจาก กกต. ๒.เงินบริจาคจากผู้สนับสนุนพรรค และ ๓.เงินจากการจัดกิจกรรมระดมทุนพรรค จากช่วงปี ๒๕๔๖ จนถึง กุมภาพันธ์ ๒๕๔๘ ส่วนเงินนอกจากนี้ ที่ว่ามาจากทีพีไอ ๒๕๘ ล้านอย่างที่ ร.ต.อ.เฉลิมนำมาอภิปราย ไม่เคยมีเข้ามาในพรรค ทั้งตัวท่าน ไม่รู้-ไม่เห็น-ไม่เกี่ยวข้อง ใดๆ ด้วยทั้งสิ้น
สรุปก็คือ ทั้งนายบัญญัติ นายประดิษฐ์ ส.ส.นิพนธ์ บุญญามณี ปฏิเสธว่า ไม่มีเงินส่วนนั้นเข้าพรรค ซ้ำบัญชีงบดุลของพรรคก็ได้รับการตรวจสอบความถูกต้องทั้งจากผู้ตรวจสอบบัญชี และจาก กกต.เรียบร้อยแล้ว ส่วนบริษัทเมซไซอะก็เป็นเรื่องของบริษัทนั้น ไม่เกี่ยวกับพรรค เพียงแต่ว่า “ตัวบุคคล-ตัวเงิน” ของบริษัทโยงใยไปสู่ญาติโกโหติกาของคนในพรรคตามระบบธุรกิจของเขาบ้างเท่านั้น
ครับ..ฟังและดูหลักฐานที่แต่ละฝ่ายนำมาแสดงแล้ว ใครพูดจริง-พูดเท็จ และใครจะเชื่อฝ่ายไหน อยู่ที่ดุลยพินิจครับ และเรื่องนี้ดูเหมือนว่า ทาง DSI และทาง กกต.กำลังตรวจสอบอยู่ ฉะนั้น คำตอบของเรื่องนี้มีแน่ แต่..ต้องรอตามกาลเวลาเท่านั้น!
ความจริงก็อยากรอฟังตอน ร.ต.อ.เฉลิมอภิปรายสรุปอยู่เหมือนกัน คืออยากรู้ว่า ร.ต.อ.เฉลิมจะจนแต้มจากหลักฐานและคำแก้ข้อกล่าวหาของนายบัญญัติ-ประดิษฐ์-นิพนธ์ หรือว่า หลักฐานและคำแก้ข้อกล่าวหาจะถูก ร.ต.อ.เฉลิมตอกให้หงายกลับไปอีก?
แต่คนที่ต้องชมในฐานะผู้เคารพต่อระบบรัฐสภา และเคารพต่อสมาชิกผู้แทนราษฎรโดดเด่นมากที่สุดก็คือ “นายกฯ อภิสิทธิ์” เพราะผมสังเกตว่า ท่านจะอยู่ร่วมประชุมตลอดทั้ง ๒ วัน มีความพร้อมรับฟังคำอภิปรายจากแต่ละสมาชิกที่อภิปราย และมีความกระตือรือร้นด้วยยินดีที่จะตอบในทุกกาลอันควร
วันแรกก็ยังเห็นหน้าตากระชุ่มกระชวยอยู่ แต่วันที่ ๒ ท่าจะอดหลับ-อดนอน และต้องกรำอยู่ให้รุมสับในสภา ดูท่านจะซีดลงไปมาก แต่ก็ยังกระฉับกระเฉง และมีความอดทน รักษาบุคลิกภาวะผู้นำไว้ได้ตลอด
แต่เสร็จจากศึกอภิปรายนี้แล้ว คงยังกลับไปนอนเต็มตาไม่ได้หรอกครับ เพราะสัปดาห์หน้า พรรคเพื่อไทยเขาก็จะระดมคนเสื้อแดงเปิดศึกอภิปรายนอกสภาขึ้นอีก เท่าที่ฟัง คราวนี้จะระดมมากันเต็มที่ ไปล้อมทำเนียบฯ เหมือนเดิม ส่วนจะล้อมกันกี่วัน เป็นสัปดาห์ เป็นเดือน ก็ยังไม่ทราบเหมือนกัน
แต่ที่แน่ๆ นายใหญ่จะโฟนอินมาบัญชาการรบด้วยตัวเองเลยทีเดียว!
อ้อ..ลืมพูดถึงไปนิด คือการอภิปรายนัดนี้ ท่านสมาชิกสภาฝ่ายหญิง สร้างพฤติกรรมในการอภิปรายได้เป็นสีสัน น่ารักดีออกจะตายไป ใครก็อย่าเพิ่งไปตำหนิติติงอะไรให้พวกเธอเสียกำลังใจเสียแต่แรกเลย ผมว่าต่อๆ ไป ส.ส.หญิงคงได้ทำหน้าที่ในสภากัน “เข้าที่-เข้าทาง” โดดเด่นขึ้นเรื่อยๆ การประท้วงนิด-ประท้วงหน่อยถือเป็นเรื่องธรรมชาติ
ใครจะไปรู้ใด้ ในอนาคต ส.ส.หญิงของเราซักคนอาจขึ้นเป็น “นายกฯ หญิง” คนแรกของประเทศบ้างก็ได้..ทำเป็นเล่นไป เพราะต้องเข้าใจว่า ตำแหน่งนายกฯ ของไทย ไม่มีข้อห้าม และไม่ได้ผูกขาดไว้เฉพาะ ส.ส.ชายเท่านั้น!
เอาละครับ ตอนคุยอยู่กับท่านนี่ก็ไม่ทราบว่า เมื่อคืน (๒๐ มี.ค.) การอภิปรายจะจบตามที่ตกลงกันไว้ว่า ๒ วันหรือไม่ ถ้าจบ วันเสารนี้จะเป็นการโหวตว่าใครสอบได้-สอบตก จากการยกมือไว้วางใจ หรือไม่ไว้วางใจจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หลายคนบอกว่าห่วงท่านรัฐมนตรีกษิต ภิรมย์ เพราะพรรคร่วมหลายคน “ออกอาการ” อยู่
ผมก็ไม่อยากคาดเดาอะไรก่อนหวยออกชั่วโมง-ครึ่งชั่วโมง สำหรับท่านรัฐมนตรีกษิตนั้น ส่วนตัวผมบอกได้ว่า นี่ละ…ใช่เลย นักการเมืองที่ไม่ถนิมสร้อย ผ่านด่านอภิปรายนี้ไปแล้ว ท่านจะแกร่งทางระบบการเมืองยิ่งขึ้น
ในทางการเมืองนั้น ความสามารถ ความซื่อสัตย์ เป็นเรื่องที่ต้องมีอยู่แล้ว แต่ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือ “หัวใจที่แกร่ง”
ผมว่า “รัฐมนตรีกษิต” ใจเต็มร้อย!
มีนาคม 22, 2009 ที่ 10:03 pm
jaib
“แม้ว”เหิม-แค้น”สุรยุทธ์”
รับงานปฎิวัติ
โยง”จรัญ-อัขราทร-ชาญชัย”
โฟนอินเชียงใหม่ดุ
อ้างพัลลภสารภาพ
ตอนดอดไปพบที่จีน
เมื่อค่ำวันที่ 22 มีนาคม พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นักโทษหนีคดีอาญาแผ่นดินได้โฟนอินมายังเวทีชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดง แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ ที่สนามสมโภชเชียงใหม่700 ปี จ.เชียงใหม่
โดย พ.ต.ท.ทักษิณได้เรียกร้องให้กลุ่มเสื้อแดงรวมตัวกันอย่างเหนียวแน่นเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยและความเป็นธรรมกลับคืนมาให้ได้ ไม่อยากเห็นการต้มตุ๋นประชาธิปไตยเหมือนที่ได้รัฐบาลราบ 11
พร้อมกันนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังได้โจมตีลูกพรรคเพื่อไทยหลายคนที่สวมบทงูเห่าไปสนับสนุนรัฐบาลในญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ “ความจริงประชาธิปัตย์ชนะอยู่แล้ว ยังต้องไปเสียเงินอีก ชี้เป้าให้สส.บางคน ได้2 แสน งบท้องถิ่นอีก 20 ล้าน ซึ่งสส.ไม่อยากอยู่อย่างเสือก็ไม่เป็นไร แต่คนในพรรคประชาธิปัตย์มาบอกผมว่า ยินดีด้วยนะทักษิณ ที่ของเสียออกไปแล้ว
ปรามาส ปชป.ไม่มีฝีมือ
พ.ต.ท.ทักษิณ ยังปรามาสว่าที่พรรคประชาธิปัตย์(ปชป.)เป็นรัฐบาลในขณะนี้ยังหาทางออกไม่ได้ อยากให้ฟังตนพูดแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจในการชุมนุมใหญ่ของกลุ่มเสื้อแดงในวันที่ 26 มีนาคมนี้ แต่เชื่อว่าพรรคประชาธิปัตย์คงลอกการบ้านส่งครูไม่ถูก สำหรับตนพร้อมจะกลับไปทำหน้าที่ช่วยประชาชนอีก เพราะเคยทำมาแล้ว และอับอายที่รัฐบาลชุดนี้ไปกู้เงินต่างประเทศ
เหิมพาดพิงองคมนตรี
นักโทษหนีคดีอาญาแผ่นดินผู้นี้ ยังย้อนอดีตว่าเมื่อปี 2548 พรรคไทยรักไทยชนะเลือกตั้งได้สส.377 ที่นั่ง แต่รมว.กลาโหมของรัฐบาลตนมาบอกว่าเราเหนือยแล้ว เนื่องจากประชาธิปัตย์ได้สส.น้อย และสื่อมวลชนจะไปช่วยพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งตนรู้จากลูกของเจ้าของหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งมาเล่าให้ฟังมาว่า “มีองคมนตรีมากินข้าวกับพ่อ อ้างว่าทางวังไม่เอาผม ต้องการให้ผมพ้นตำแหน่ง” จากนั้นจึงตามด้วยการลอบสังหาร คาร์บอม
อ้าง”พัลลพ”ให้ข้อมูลที่จีน
พ.ต.ท.ทักษิณ ยังอ้างว่า กรณีที่ พล.อ.พัลลพ ปิ่นมณี รอง ผอ.กอ.รมน.เดินทางไปพบตนที่จีนนั้น พล.อ.พัลลพได้บอกกับตนหลายอย่าง คือ ต้นปี 49 พล.อ.พัลลพบอกว่า เขาถูกเรียกไปพบ พล.อ.สุรยุทธ จุลานนท์ ที่บ้านพักสุขุมวิท และมีองคมนตรีนั่งอยู่อีก 2 ท่าน แล้วอ้างว่าจะทูล…..ทำงานถวายว่าผมไม่จงรักภักดี ผมเชื่อว่าเป็นการแอบอ้างเพราะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท่านทรงอยู่เหนือการเมือง
พ.ต.ท.ทักษิณ ยังอ้างคำพูด พล.อ.พัลลพ อีกว่าเขาถูกลอบสังหาร 2 หนแต่แคล้วคลาดมาตลอด โดยเฉพาะเรื่องคาร์บอม ก็ฝีมือชุดปฎิบัติชุดนี้ เพราะจ่ายักษ์ ให้การว่า ถ้าตนไม่ตายก็จะปฎิวัติแล้วให้ พล.อ.สุรยุทธ เป็นนายกฯ
ย้อนเหตุต้องปลดสุรยุทธ
พ.ต.ท.ทักษิณ ยังอ้างสาเหตุถึงการปลด พล.อ.สุรยุทธ พ้นผู้บัญชาการทหารบก ว่าเมื่อเมษายน 2545 หม่องเอ ผู้นำทหารพม่า เดินทางมาประเทศไทย เข้าเฝ้าในหลวง แต่กองทัพไทยได้เคลื่อนพลชิดชายแดนพม่ายิงปืนใหญ่ใส่พม่าตายไป 300 คน ทั้งๆ ที่ตนกำลังเจรจาแก้ไขปัญหายาเสพติด
นักโทษหนีคดีอาญาแผ่นดินผู้นี้ ยังแขวพรรคประชาธิปัตย์ ด้วยว่า นายอภิสิทธิ์ ใช้นโยบายประชาชนต้องมาก่อน ซึ่งข้อเท็จจริงประชาชนต้องรอก่อน เพราะต้องทำงานให้ทหาร พันธมิตร และกลุ่มเพื่อนเนวิน
“ผมถูกปฎิวัติ ก็ไม่เป็นไร กลับมาเป็นคนธรรมดา แต่ยังโดนยัดโน่นยัดนี่ พรรคไทยรักไทยที่ถูกยุบ เพราะเขาตั้งใจให้ยุบ บางคนถูกจ้างให้เป็นพยาน
บอกมี4คนร่วมรับงาน
พ.ต.ท.ทักษิณ ยังอ้างว่า พล.อ.พัลลพ ปิ่นมณี ได้สารภาพกับเขาหมด และว่ามี4คน คือนายปราโมท นาครทรรพ ผู้แต่งนิยายปฎิญญาฟินแลนด์,นายอัครทร จุฬารัตน์,นายจรัญ ภักดีธนากุล,นายชาญชัย ลิขิตจิตถะ ที่รับงานมาเล่นงานตน ว่าไม่จงรักภักดี ซึ่งเป็นข้อสันนิฐานที่ผิด”จากนั้นดาบทุกเล่มก็ทิ่มมาที่ผม”
พ.ต.ท.ทักษิณ ยังได้อธิบายเรื่องถูกปล่อยข่าวอีกมากมายรวมทั้งเรื่องการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจอีกด้วย
เสื้อแดงเชียงใหม่กระหึ่ม
ก่อนหน้านี้ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกฯน้องเขตพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ร่วมปราศรัยต้อนรับเสื้อแดงทุกคนที่มาชุมนุมในหนนี้ โดยเน้นขอบคุณนายวีระ มุสิกพงษ์,นายจตุพร พรหมพันธ์,นายณัฐวุฒิ ไสยเกือ 3 หนุ่มใต้ที่รัก พ.ต.ท.ทักษิณ
นายสมชาย ซึ่งเป็นชาว อ.ฉวาง จ.นครศรีธรรมราช ประกาศยืนยันว่าตนเองเป็นชาวเหนือและอู้คำเมือง พร้อมยืนยันว่าเขากับพ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งเคยเป็นนายกฯมาก่อน ไม่ได้ง่าว พร้อมเล่าประสบการณ์ตอนเป็นนายกรัฐมนตรี
มาร์ยอมรับเห็นแผนตากสิน
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ในรายการเชื่อมั่นประเทศไทยไทยนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ ตอนหนึ่ง โดยแบ่งรับแบ่งสู้ ถึงกระแสข่าวการเคลื่อนไหวของกลุ่มเสื้อแดงแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) มีเป้าหมายที่จะล้มรัฐบาลโดยเร็ว
“ก็เคยเห็นว่ามีเอกสาร(แผนตากสิน)กัน แต่ไม่รู้ว่ามันกว้างแค่ไหน แต่ไม่เป็นไร แตกต่างกันทางการเมืองไม่เป็นไร แต่ต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย “นายอภิสิทธิ์ย้ำ
พร้อมกับยืนยันว่า จะไม่ทะเลาะกับใคร ไม่เป็นคู่กรณีกับใคร แต่จะเคารพและฟังทุกเสียง แม้แต่กลุ่มที่เคลื่อนไหวก็ต้องรับฟัง ส่วนเรื่องคดีของกลุ่มเคลื่อนไหวกลุ่มต่างๆ ก็ได้กำชับเจ้าหน้าที่อยู่ตลอดเวลา และรายงานความคืบหน้ามาอย่างต่อเนื่อง
ย้ำทุกฝ่ายต้องเคารพต่อกัน
นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวด้วยว่า ตนเองพร้อมจะพบทุกกลุ่ม และไม่เคยรังเกตุแม้จะถูกต่อว่าต่อขาน เพราะเป็นหน้าที่ของตน
“ผมคงไม่สามารถทำให้ทุกคนเห็นตรงกันทางการเมืองได้ แต่ทุกฝ่ายต้องเคารพต่อกัน
ผมถือว่าผมมาทำหน้าที่ในการชดใช้บุญคุณที่แผ่นดินนี้มีให้กับผม เพราะฉะนั้น ไม่เป็นไรครับ ท่านยังอยากที่จะแสดงออกคัดค้าน ผมเปิดโอกาส แต่ขออย่าขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ ขออย่าทำให้นโยบายหลายอย่าง แทนที่จะไปถึงไม้ถึงมือประชาชน ทำให้เศรษฐกิจฟื้นมาได้ ๆ รับผลกระทบเท่านั้นเอง”นายกฯ กล่าว
อัดแม้วโฟนอินพร่ำเพรื่อ
น.พ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า การชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดง26มีนาคมนี้ เห็นได้ชัดว่า ไม่ได้กดดันเพื่อให้นิรโทษกรรมกับ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่เป็นการยกระดับทำให้พ.ต.ท.ทักษิณหวนคืนกลับสู่อำนาจทางการเมืองเพื่อกลับมาทวงผลประโยชน์ของตัวเองกลับคืน
ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ คงไม่ไปตอบโต้ แต่ทำงานตามนโยบายของรัฐบาลในการช่วยเหลือประชาชน กระนั้นก็ตามอยากให้ พ.ต.ท.ทักษิณ กลับเข้ามาต่อสู้ทางกฎหมาย อย่าใช้กระบวนการเพื่อให้กลับมามีอำนาจเหนือกฎหมายในประเทศไทย
ด้านนายสรวุฒิ เนื่องจำนงค์ รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ โฟนอินเหมือนเดิมทุกวัน ถือเป็นการบ่อนทำลาย บอกแต่เรื่องเท็จ โดยจะนำเงินเข้าประเทศ โดยไม่ต้องกู้ยืมนั้น การที่ประเทศไทยต้องเป็นหนี้ เกิดจากสมัยรัฐบาลพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ์ และพ.ต.ท.ทักษิณเป็นรองนายกฯ ด้านเศรษฐกิจ ไปทำเรื่องกู้ยืมเงิน พอรัฐบาลประชาธิปัตย์เข้าไปก็ต้อวไปกู้ และรัฐบาลประชาธิปัตย์ก็เป็นฝ่ายที่หาเงิน เก็บเงิน จนรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณสามารถมีเงินไปใช้หนี้ไอเอ็มเอฟได้
เร่งร่างสัญญาผู้ร้ายข้ามแดน
วันเดียวกัน นายศิริศักดิ์ ติยะพรรณ อธิบดีอัยการฝ่ายคดีต่างประเทศ สำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวภายหลังเดินทางกลับจากการไปเจรจาร่างสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนระหว่างไทยกับฮ่องกง เพื่อติดตามตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มาดำเนินคดีในประเทศไทย ตามคำพิพากษาศาลฎีกาฯ คดีทุจริตที่ดินรัชดาฯ ให้จำคุก 2 ปี
โดยนายศิริศักดิ์ กล่าวว่าจะนำประเด็นที่หารือกับทางฮ่องกงไปให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องพิจารณาก่อนร่างสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนต่อไป เบื้องต้นประเด็นการส่งผู้ร้ายข้ามแดน มี 46 ข้อหา อาทิ ลักทรัพย์ ฉ้อโกงทรัพย์ เสี่ยงภาษี เป็นต้น
นครบาลเตรียม22กองร้อย
พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.)ยืนยันว่า ขณะนี้มีความพร้อมอย่างเต็มที่ในการดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยช่วงที่จะมีการชุมนุมใหญ่ของกลุ่มคนเสื้อแดง ในวันที่ 26 มีนาคมนี้ โดยเตรียมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ ประมาณ 22 กองร้อย
สำหรับแผนปฏิบัติการนั้น ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล กล่าวว่า ยังคงใช้แผนปฏิบัติการเหมือนการชุมนุมครั้งที่ผ่านมา เนื่องจากเป็นแผนที่ใช้แล้วได้ผลดี แต่อาจปรับเปลี่ยนรายละเอียดบ้างบางส่วน เพื่อให้เข้ากับสถานการณ์การชมุนุม
พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา กล่าวอีกว่า กองบัญชาการตำรวจนครบาลได้ประชุมเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเพื่อติดตามสถานการณ์ความเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้ชุมนุมอย่างต่อเนื่องในรอบ 24 ชั่วโมงของทุกวัน
วันที่ 23/3/2009
http://www.naewna.com/news.asp?ID=153958
มีนาคม 24, 2009 ที่ 3:47 am
ccand
“สมัคร” ให้สัมภาษณ์หนังสือดอกเบี้ย ระบุ “ทักษิณ” ตายเพราะคนรอบตัว ชี้นักการเมือง-กุนซือฝ่ายทักษิณมักให้คำแนะนำที่ผิดพลาด และคิดถึงประโยชน์ส่วนตัวมากกว่าประเทศชาติ ชี้สมัยตัวเองเป็นนายกฯ คนพวกนี้ก็เสนอหน้าบ่อยๆ
วันนี้ (24 มี.ค.) หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ในคอลัมน์คนปลายซอย โดย เปลว สีเงิน ได้กล่าวอ้างอิงถึงคำให้สัมภาษณ์ของนายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี ในหนังสือพิมพ์ดอกเบี้ย โดยระบุว่าปัจจุบันนายสมัครที่ป่วยเป็นโรคมะเร็งตับอาการดีขึ้นแล้ว แต่ยืนยันว่าเลิกเล่นการเมืองแล้วเด็ดขาด แต่เตรียมจะเขียนหนังสือบันทึกเกี่ยวกับเหตุการณ์ทางการเมือง 2 เล่ม
ทั้งนี้ นายสมัครได้ให้สัมภาษณ์พาดพิงถึง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และนักโทษหลบหนีคำพิพากษาศาลฎีกาเป็นเวลา 2 ปี โดยนายสมัครกล่าวว่า “พอมาเป็นนายกรัฐมนตรี รู้เลยว่านักการเมืองที่อยู่รายรอบตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นั้นส่วนใหญ่มักไม่ค่อยดี ให้คำแนะนำในทางที่ไม่ถูกต้อง และมักจะหาผลประโยชน์ใส่ตนเองมากกว่าที่จะคำนึงถึงประเทศชาติ”
นอกจากนี้ หนังสือพิมพ์ดอกเบี้ยยังระบุด้วยว่า “นายสมัครพูดบ่อยๆ ว่า นักการเมืองหรือกุนซือที่อยู่รอบตัวคุณทักษิณนั้นแย่มาก มีแต่คนเสนอหน้าเพราะคิดถึงแต่ประโยชน์ของตัวเองมากกว่าของพรรค หรือการเตือนสติคุณทักษิณในช่วงที่สถานการณ์กำลังเพลี่ยงพล้ำ อย่างช่วงที่มีกลุ่มม็อบพันธมิตรฯ ชุมนุมประท้วง คนมาหนึ่งหมื่นก็รายงานว่ามาหนึ่งพันคน อย่างนี้ทำให้ประเมินสถานการณ์ผิด การชี้ขาดสถานการณ์ก็เลยผิดและกลายเป็นความประมาทในที่สุดหรือตอนที่นายสมัครเป็นนายกรัฐมนตรีก็มีคนพวกนี้แหละที่มาให้คำแนะนำปรึกษา แต่แฝงผลประโยชน์ทั้งสิ้นจนคนเป็นนายกรัฐมนตรีไม่เป็นตัวของตัวเอง”
อนึ่ง หลังจากนายสมัครพ้นตำแหน่งจากคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญในวันที่ 9 กันยายน มีรายงานข่าวว่านายสมัครป่วยเป็นโรคมะเร็งตับและเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง ก่อนที่จะใช้ข้ออ้างดังกล่าวเพื่อฎีกาต่อศาลในกรณีหมิ่นประมาทนายสามารถ ราชพลสิทธิ์ อดีตรองผู้ว่าฯ กทม. เพื่อเดินทางไปรักษาตัวต่อยังประเทศสหรัฐอเมริกา โดยระหว่างที่นายสมัครอยู่ในประเทศสหรัฐฯ แม้จะไม่มีข่าวคราวออกมามากนัก แต่นายสมัครได้เขียนบทความลงนิตยสารต่วย’ตูน อย่างสม่ำเสมอ จนกระทั่งเดินทางกลับประเทศไทยในเดือนมกราคม 2552 ที่ผ่านมา
http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9520000033310
มีนาคม 24, 2009 ที่ 3:49 am
ccand
ผบ.ตร. กำชับตำรวจตามติดโฟนอิน “ทักษิณ” สั่งถอดเทปจ้อผ่านเสื้อแดงคืน 22 มี.ค. ตรวจทุกคำพาดพิงใครบ้าง เข้าข่ายผิดกฎหมายหรือไม่ พร้อมประเมินการข่าวความเคลื่อนไหวชุมนุมใหญ่ 26 มี.ค. อย่างใกล้ชิด ชี้ “สุริยะใส” ยื่นหนังสือถึง “เทพเทือก” ขอความเป็นธรรมในคดีพันธมิตรฯ เพื่อขอเปลี่ยนพนักงานสอบสวน ถือเป็นสิทธิทำได้
วันนี้ (24 มี.ค.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) กล่าวถึงมาตรการดูแลความเรียบร้อยการชุมนุมใหญ่ของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ในวันที่ 26 มี.ค.นี้ ว่า กองบัญชาการตำรวจนครบาล ได้ประชุมประเมินสถานการณ์การชุมนุม ซึ่งจากข้อมูลทางการข่าว คาดว่าการชุมนุมก็คงจะเหมือนเดิม เพื่อแสดงออกทางการเมืองของกลุ่มผู้ชุมนุม ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติ ในส่วนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติมีการจัดกำลังเหมือนการชุมนุมครั้งที่ผ่านมา โดยมีการประสานขอกำลังทหารมาเป็นผู้ช่วยเจ้าพนักงาน เชื่อว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เพราะเป็นการแสดงออกทางการเมืองตามปกติ
ส่วนการโฟนอินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่เนื้อหามีความรุนแรงมากขึ้น เพราะมีการพาดพิงบุคคลสำคัญ พล.ต.อ.พัชรวาท กล่าวว่า ตำรวจมีการเฝ้าติดตามการโฟนอินของพ.ต.ท.ทักษิณโดยตลอด โดยเมื่อวันที่ 22 มี.ค.ที่ผ่านมา ที่โฟนลิงค์ต่อกลุ่มเสื้อแดงเชียงใหม่ พ.ต.ท.ทักษิณ มีการกล่าวพาดพิงถึงบุคคลอื่นพอสมควร ซึ่งครั้งนี้มีทั้งภาพและเสียง ค่อนข้างชัดเจนพอสมควร ซึ่งผลกระทบตรงนี้ได้ให้ผู้ที่เกี่ยวข้อง ถอดเทปว่ามีการพาดพิงถึงใคร อย่างไร ขณะเดียวกันให้ฝ่ายกฎหมายของตร.ไปพิจารณาว่าเข้าข่ายความผิด หรือไม่
ผู้สื่อข่าวถามว่าถ้าม็อบรุนแรงขึ้นจะดำเนินการอย่างไร ตำรวจอาจไม่กล้าดำเนินการ เพราะเกรงจะถูกป.ป.ช.ชี้มูล พล.ต.อ.พัชรวาท กล่าวว่า ยืนยันจะใช้มาตรการเดิม ซึ่งเน้นการเจรจาเป็นหลัก ตำรวจทำเหมือนเดิม ยืนยันว่าไม่เสียกำลังใจแน่นอน เพราะหน้าที่ตำรวจต้องดูแลกฎหมาย ขณะที่ป.ป.ช.ก็มีหน้าที่ตรวจสอบ หน้าที่ใครก็หน้าที่มัน ตำรวจไม่มีวันเสียกำลังใจ เพราะหากตำรวจเสียกำลังใจประชาชนก็จะเดือดร้อน
นอกจากนี้ พล.ต.อ.พัชรวาท กล่าวถึงกรณี นายสุริยใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ยื่นหนังสือกับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง เพื่อขอเปลี่ยนตัวพนักงานสอบสวนในคดีที่กลุ่มพันธมิตรฯ ว่า เรื่องดังกล่าว ถือเป็นสิทธิของผู้ถูกกล่าวหา ซึ่งหากไม่ได้รับความเป็นธรรมก็สามารถร้องมาได้ ซึ่งหลังรับเรื่อง นายสุเทพ ก็จะส่งเรื่องมายัง ตร. โดยจะให้ฝ่ายกฎหมายเข้าพิจารณาดู ว่า กรณีดังกล่าวเข้าหลักเกณฑ์ และไม่ได้รับความเป็นธรรมจริงๆ หรือไม่ ซึ่งหากเข้าหลักเกณฑ์และไม่ได้รับความเป็นธรรมจริงก็จะพิจารณาให้
ผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีนี้เป็นการยื้อเวลาหรือไม่ เพราะขณะนี้คณะพนักงานสอบสวนของบช.ภ.1 ดำเนินการสอบสวนใกล้เสร็จ กำลังจะส่งให้ พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ รองผบ.ตร.พิจารณา พล.ต.อ.พัชรวาท กล่าวว่า คงไม่ใช่ เพราะพยานหลักฐานในคดีนี้มีจำนวนมาก พยานบุคคลก็มีหลายร้อยปาก จะสอบสวนคร่าว ๆ แล้วไปสรุปคงไม่ได้ เราต้องให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย
http://www.manager.co.th/Crime/ViewNews.aspx?NewsID=9520000033386
มีนาคม 24, 2009 ที่ 3:54 am
ccand
“ทักษิณ” ยังเย้ยฟ้าท้าดินโฟนอินปลุกคนหนองคายร่วมชุมนุมใหญ่ที่กรุงเทพฯ อัดรัฐบาลและศาลรัฐธรรมนูญอยุติธรรม เผย 26 มี.ค.เตรียมแฉอีกชุดใหญ่ พูดได้เพียง 5 นาที เจอลมฝนกระหน่ำ พลังเสื้อแดงหนองคายแตกหนีกระเจิงเหลือไม่ถึงร้อยคน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อค่ำคืนที่ผ่านมา(23 มี.ค.)ที่บริเวณที่ทำการพรรคเพื่อไทย สำนักงานของนายพงศ์พันธ์ สุนทรชัย ส.ส.หนองคายเขต 1 ถนนเสด็จ ต.มีชัย อ.เมืองหนองคาย กลุ่มเสื้อแดงหนองคาย นำโดย ว่าที่ร้อยตรีพงศ์พันธ์ สุนทรชัย, นางชมพู จันทาทอง, นายสมคิด บาลไธสง ส.ส.หนองคาย ได้จัดงานชุมนุมโต๊ะจีน ระดมทุนเพื่อเข้าร่วมการชุมนุมใหญ่ ณ สนามหลวง ในวันที่ 26 มี.ค.นี้ โดยได้จัดโต๊ะจีน 300 โต๊ะ จัดขายเสื้อแดงความจริงวันนี้ โดยมีชาวหนองคายและสมาชิกคนรักอุดร เข้าร่วมงานประมาณ 2,000 คน ซึ่งได้มีผู้ปราศรัยผลัดเปลี่ยนกันขึ้นเวที เช่น นพ.เหวง โตจิราการ, นายก่อแก้ว พิกุลทอง, นายขวัญชัย ไพรพนา, นายสุทิน คลังแสง และนางดารณี กฤตบุญญาลัย
ทั้งนี้ นพ.เหวง โตจิราการ ได้กล่าวปราศรัยโจมตีรัฐบาล และอมาตยาธิปไตย พร้อมทั้งนำประชาชนเสื้อแดงกล่าวคำปฏิญาณว่า เราทุกคนให้สัตย์ปฏิญาณกันว่าเราจะร่วมกันต่อสู้จนกว่าประเทศไทยจะได้ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ แข็งแรง ถูกต้อง ยั่งยืนสถาพร แม้ว่าชีวิตจะหาไม่ก็ตาม
ต่อมาเวลา 20.30 น. พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นักโทษอาญาแผ่นดินที่หนีคดีได้โทรศัพท์เข้าเครื่องโทรศัพท์มือถือของนายพงศ์พันธ์ สุนทรชัย แล้วต่อสัญญาณเข้าเครื่องขยายเสียงให้ชาวเสื้อแดงได้ฟังเสียงกันอย่างทั่วถึง
โดย พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า ขอบคุณทุกคนที่มาช่วยกันมาพูดคุยถึงปัญหาที่เกิดจากการขาดประชาธิปไตยที่แท้จริงทำให้ประชาชนลำบากอย่างไร พี่น้องเห็นหรือไม่ว่าตั้งแต่เขาไล่ผมออกมาเมื่อ 19 ก.ย.49 ชีวิตพี่น้องแย่ลงใช่ไหม เขาบอกว่าผมออกมาแล้วประเทศจะดีขึ้น จนป่านนี้ยังไม่เห็นดีเลย อุตส่าห์ตั้งรัฐบาล เอาทหารมาช่วยตั้ง เอาศาลรัฐธรรมนูญมาช่วยยุบพรรค และเอางูเห่าออกไป ที่หนองคายก็มีงูเห่าตัวหนึ่งใช่ไหม ทุกวันนี้บ้านเมืองวุ่นวายสับสน ความอยุติธรรมเต็มไปหมด การขาดความสามารถในการบริหารจัดการประเทศ หลายองค์กรถูกย้ายเตะโด่งไปมา สุดท้ายไม่มีใครทำงานให้ประชาชน ประชาชนลำบาก เศรษฐกิจตกต่ำ
พี่น้องจะปล่อยให้เป็นแบบนี้ทำไม เมื่อวานนี้ตนพูดที่เชียงใหม่ ได้ฟังกันหรือไม่ ตนจะพูดต่ออีก จะพูดให้ชัด ให้ลึก เพราะตนสุภาพมานาน เกรงใจมานาน แต่ปัญหาก็เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก
ดังนั้น คนไทยควรได้รู้ว่าปัญหาเกิดขึ้นจากอะไร ตนต้องการพูดเพื่อให้การปฏิวัติครั้งที่แล้ว เป็นการปฏิวัติครั้งสุดท้ายของประเทศไทย ถ้าใครกล้าปฏิวัติอีกมันต้องเจอการปะทะจากประชาชนทั้งประเทศแน่นอน ถ้าตนอยู่ในประเทศก็จะพาประชาชนออกต่อต้าน ถ้าตนอยู่นอกประเทศตนก็จะโทรเข้าไปเรียกร้องให้ประชาชนออกมาต่อต้าน ตนจะไม่ยอมให้มีการปฏิวัติอีกแล้ว เพราะการปฏิวัติ นับตั้งแต่มีการปฏิวัติมาพี่น้องลำบาก แม้ว่ามีรัฐบาลประชาธิปไตยครั้งแรกพรรคพลังประชาชนเป็นรัฐบาล เขาก็ไม่ให้ทำงาน เพราะไม่ใช่พวกเขา
ต่างพากันสร้างความวุ่นวายโดยเฉพาะศาลรัฐธรรมนูญ เอาองค์กรอิสระที่ไม่อิสระจริงเข้ามาทำงานให้วุ่นไปหมด ผลสุดท้ายรัฐบาลก็ทำงานไม่ได้ ก็มายกอำนาจให้ประชาธิปัตย์ เอาทหารมาช่วยตั้งรัฐบาล เอาพันธมิตรไปปิดสนามบินประเทศเสียหายไม่ว่ากันขอให้ข้าได้ย้ายข้างอย่างเดียว แล้วผลสุดท้ายประชาชนต้องมารับกรรมตามเคย
รายงานข่าวแจ้งว่า ระหว่างที่ พ.ต.ท.ทักษิณ พูดอยู่นั้นได้เกิดลมพายุพัดกระหน่ำอย่างแรงทั้งที่ไม่มีวี่แววมาก่อน ลมกระโชกแรงจนทำให้จอโปรเจกเตอร์ปลิว หลอดไฟที่ผูกติดตามต้นไม้หวิดตกลงมาหลายครั้ง ประชาชนที่มาร่วมงานต่างพากันลุกหนี บ้างเดินบ้างวิ่งออกจากบริเวณดังกล่าวพากันขึ้นรถกลับบ้าน พอเห็นดังกล่าว นายพงศ์พันธ์ รีบพูดใส่โทรศัพท์หา พ.ต.ท.ทักษิณ แจ้งว่าขณะนี้เกิดพายุพัดที่หนองคายจะให้พี่น้องทำอย่างไรทักษิณจึงจะได้กลับมา
ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ตอบทันทีว่าให้ทุกคนเข้าไปรวมตัวกันที่กรุงเทพฯ ตนไม่ได้มีโอกาสไปเคารพศพพี่สาว แต่ก็ขอบคุณทุกน้ำใจที่ประชาชนแสดงความเสียใจต่อการจากไปของสมาชิกในครอบครัว และตัดสายโทรศัพท์ไปทันที จากนั้นผู้จัดงานได้ขอให้ประชาชนยืนสงบนิ่งไว้อาลัยให้พี่สาวของ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นเวลา 1 นาที โดยมีทั้งผู้ที่ทำตามและผู้ที่เดินออกจากงานหนีฝนกลับบ้าน
หลังจากนั้นยังมีการผลัดเปลี่ยนกันขึ้นเวทีปราศรัย แม้ว่าจะมีคนฟังเหลืออยู่เพียงไม่ถึงร้อยคน และได้ปิดเวทีในเวลาประมาณ 22.00 น.
http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9520000033236
มีนาคม 24, 2009 ที่ 3:57 am
ccand
รายการ “Good Morning Thailand” ดำเนินรายการโดย นายสนธิ ลิ้มทองกุล ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี-ทีวีของประชาชน เวลา 06.00-07.00 น.วันจันทร์ถึงศุกร์ สำหรับวันอังคารที่ 24 มีนาคม 2552 ได้นำข่าวคราวต่างๆ มาวิเคราะห์ และนำเสนออย่างหลากหลายเช่นเคย โดยนายสนธิ กล่าวถึงกรณีที่คนเสื้อแดงประกาศที่จะรวมพลในอีก 2 วันข้างหน้าเพื่อปิดล้อมรัฐบาลว่า เชื่อว่าการที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โฟนอินนั้น โดยส่วนตัวแล้วเชื่อว่าน่าจะอัดรายการแถวๆ จ.เชียงราย โดยจะเห็นได้จากการทำลิปซิงค์ซึ่งเสียงไม่ตรงกับปาก และมีลักษณะอัดรายการจากในสตูดิโอ
“ประกอบกับเวลา พ.ต.ท.ทักษิณ โฟนอิน มีเสียงโทรศัพท์ดังเป็นเสียงริงโทน ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ น่าจะอยู่แถวๆ ประเทศพม่า หรือฮ่องกง ซึ่งผมมั่นใจว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ขณะนี้อยู่แถวๆ สามเหลี่ยมทองคำ จ.เชียงราย ซึ่งเป็นพื้นที่ของนายยงยุทธ ติยะไพรัช อดีตกรรมการพรรคไทยรักไทย จึงอยากจะเตือนสติ ส.ส.เชียงราย ที่เทตัวเองให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ อย่างไม่ลืมหูลืมตา” นายสนธิ กล่าว
นายสนธิยังกล่าวถึงนายผรณเดช พูนศิริวงศ์ กรรมการผู้จัดการบริษัท หนังสือพิมพ์แนวหน้า จำกัด บุตรชายของนายวารินทร์ พูนศิริวงศ์ ประธานหนังสือพิมพ์แนวหน้า ได้ให้สัมภาษณ์ ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ทางรายการ “รู้ทันประเทศไทย” ของเอเอสทีวี ถึงกรณีที่มีกระแสข่าวว่าไปรับประทานอาหารกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ว่า นายผรณเดชออกมาปฏิเสธว่ายืนยันไม่เคยพบกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ตามที่เป็นข่าว และไม่อยากคุยกับคนที่ทำไม่บริสุทธิ์ต่อประเทศชาติ
“ในสมัยที่ พ.ต.ท.ทักษิณ มีอำนาจนั้น หนังสือพิมพ์แนวหน้าถูกกลั่นแกล้งเป็นอย่างมาก โดยนายวารินทร์ถูกตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินเป็นครั้งแรกตั้งแต่เคยทำธุรกิจมา รวมทั้งหนังสือพิมพ์แนวหน้าถูกฟ้องร้องหลายคดี โดยแต่ละคดีจะถูกฟ้องในจังหวัดที่ไม่มีเครื่องบินลง อีกทั้งยังกลั่นแกล้งธุรกิจอื่นๆ ที่นายวารินทร์ทำอยู่” นายสนธิ ระบุ
ส่วนกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ มุ่งทำลายล้างประเทศไทย โดยกล่าวหา พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. และ พล.อ.สุรยุทธ จุลานนท์ ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการยึดอำนาจล้มล้างรัฐบาลทักษิณนั้น นายสนธิ กล่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะพูดอะไรก็พูดได้ เพราะตัวเองไม่ต้องรับผิดชอบ เหมือนกับกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เที่ยวไปมอบอำนาจฟ้องร้องตน ซึ่งผู้พิพากษาบางท่านบ้าจี้ เพราะยอมให้นักโทษชายมอบอำนาจได้ แสดงให้เห็นว่าตนถูกลิดลอนสิทธิในการซักค้านโจทก์ ซึ่งนี่คือปัญหาของกระบวนการยุติธรรม
นายสนธิ กล่าวอีกว่า ที่น่าสังเกตคือ พ.ต.ท.ทักษิณ พูดอะไรแล้วเข้าตัวเอง โดยเฉพาะคำพูดที่ระบุว่า “ไม่เป็นไร ผมพูดความจริง ใครกล้าทำก็ต้องกล้ายอมรับ อยากจะบอกว่ากรรมของคนบางคนก็ออนไลน์ บางคนชดใช้กรรมในชาตินี้ไม่ได้ ก็ต้องใช้ในชาติหน้า หรือบางคนอาจจะชดใช้กรรมมาจากชาติที่แล้ว เพราะกรรมข้ามชาติได้” ตรงนี้น่าสนใจมาก เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้พูดถึงกรรมของตัวเองเลยแม้แต่นิดเดียว ฉะนั้นนัยของ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็คือทำมือ มากกว่า ไม่ใช่ธรรมะ
“ส่วนกรณีที่หลายคนสะดุ้ง เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ ระบุว่า “ไม่เคยกลัว ผมพร้อมที่จะเปิดเผยความจริงทุกอย่าง ความจริงไม่พูดไม่ได้ ถ้าไม่ให้พูดยอมตายเสียดีกว่า” นั้น พ.ต.ท.ทักษิณ คงลืมไปแล้วว่า สนธิ ลิ้มทองกุล ผู้จัดการรายสัปดาห์ เอเอสทีวี ก็พร้อมที่จะเปิดเผยความจริง จนโดน พ.ต.ท.ทักษิณ ไล่บี้มาโดยตลอดระยะเวลาที่ พ.ต.ท.ทักษิณ มีอำนาจ จนต่อเนื่องมาถึงรัฐบาลนอมินี ซึ่งสิ้นสุดเมื่อปลายปี พ.ศ.2551 ฉะนั้นเวลาจะกล่าวหาใคร ขอให้ดูตัวเองด้วย” แกนนำพันธมิตรฯ กล่าว
นายสนธิยังกล่าวถึงกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ โฟนอิน ที่ จ.น่าน เมื่อเวลา 15.00 น.ของวันที่ 23 มี.ค.ที่ผ่านมาว่า ต้องระบุชัดลงไปว่ามีทั้ง นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว นางศิริพร รามสูตร ดร.วัลลภ สุกริยสินธุ์ นายนนนรินทร์ เหล่าอารยะ นายก อบจ.น่าน ซึ่งถือว่า จ.น่าน แดงทั้งจังหวัด จนกระทั่งเวลา 20.00 น. พ.ต.ท.ทักษิณ ได้โฟนอิน เข้าไปอีกครั้ง โดยระบุว่า “ประการสำคัญ อย่าไปหลงเชื่อกับสิ่งที่รัฐบาลชุดนี้จัดหาให้ในเรื่องเงินทองต่างๆ รับได้ แต่อย่าไปเชื่อ เพราะเป็นการหาเสียงของพวกเขา” ต้องขอเตือนความจำ พ.ต.ท.ทักษิณ ว่าเราเป็นคนพูดตลอดเวลาว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เอาเงินภาษีของประชาชน ไปใช้ในโครงการเอื้ออาทรต่างๆ โดยเฉพาะการเงินหวยบนดินไปใช้ แต่วันนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ กลับมาใช้มุขของพวกเรา ดังนั้นถ้าใครอยากอาเจียน ก็ขอให้อาเจียนไปเลย ส่วนกรณีที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำกลุ่มเสื้อแดง ออกมาข่มขู่บุคคลที่จะเปิดเผยชื่อนั้น การพูดเช่นนี้ทำให้ลายคนได้รับความเดือนร้อน
ส่วนกรณีที่หนังสือพิมพ์มติชนหน้า 3 ตำหนินายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศนั้น นายสนธิกล่าวว่า ทั้งหนังสือพิมพ์มติชน และหนังสือพิมพ์ข่าวสด ทำผิดจรรยาบรรณสื่อมวลชนอย่างหน้าด้านที่สุด โดยเฉพาะกรณีที่ระบุว่า “นายกษิตได้คะแนนไว้วางใจผ่านเกณฑ์ แต่การมีเสียงไม่ไว้วางใจจากร่วมรัฐบาล และพรรคประชาธิปัตย์เอง โดยยกกรณีนายเกียรติกร ภาคเพียรสิน ส.ส.ปราจีนบุรี พรรคประชาธิปัตย์ ว่าเป็นดุลพินิจของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ และนายกษิตว่าจะพิจารณาตัวเองอย่างไร” นั้น ข้อเท็จจริงคือ คะแนนเสียงที่ไม่เอานายกษิตเป็นเสียงของ ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลที่เคยอยู่ร่วมกับรัฐบาลของนายสมัคร สุนทรเวช ที่สำคัญนายเกียรติกรนั้นย้ายมาจากพรรคมัชฌิมาธิปไตยที่ถูกยุบไปก่อนที่จะมาอยู่พรรคประชาธิปัตย์
“หน้า 3 ของหนังสือพิมพ์มติชน พูดหลายเรื่องที่โกหก โดยระบุถึงโพลประชาชน 18 จังหวัด โพลหนุนให้ปรับนายกษิตออกจากตำแหน่ง แต่ในเนื้อหาข่าวจริงๆ พบว่าผลสำรวจชี้ว่านายกษิตไม่สมควรที่จะถูกปรับออกถึงร้อยละ 58.4 ซึ่งเป็นสัดส่วนที่มากกว่า แต่หนังสือพิมพ์มติชนกลับพาดหัวข่าวบิดเบือน นอกจากนี้ยังมีข่าวทุเรศอีกหนึ่งข่าว คือ การพาดหัวข่าวย่อยว่า “มาร์คไม่แรงเท่าแม้ว” ซึ่งทำให้เข้าใจผิดว่าความนิยมของนายอภิสิทธิ์มีไม่เท่า พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งเป็นนักโทษหลบหนีคดีอยู่ต่างประเทศ แต่ถ้าอ่านรายละเอียดในเนื้อข่าว กลับพบว่าความนิยมศรัทธาของประชาชนที่ถูกศึกษาต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ อยู่ที่ร้อยละ 23.6 ส่วนนายอภิสิทธิ์ อยู่ที่ 50.6 ซึ่งถ้าคิดเทียบระดับกันแล้ว ถือว่า พ.ต.ท.ทักษิณ สอบตก และนายอภิสิทธิ์ ได้เกรดบีบวก” นายสนธิ กล่าว
แกนนำพันธมิตรฯ กล่าวอีกว่า ตนสงสารคนดีๆ ในหนังสือพิมพ์มติชน เพราะมีคอลัมนิสต์ดีๆ อยู่ 2-3 คน นอกนั้นใช้ไม่ได้เลย โดยเฉพาะเนื้อข่าว เพราะรับใช้ระบอบทักษิณอย่างเต็มตัว ตนจึงสงสารเพื่อนพ้องพี่น้องนักข่าวด้วยกันที่อยู่ในสภาพน้ำท่วมปาก ฉะนั้น ระบอบทักษิณจึงสร้างความแตกแยกทุกๆ และสร้างปัญหาทุกอย่างในสังคมไทย
http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9520000033211
มีนาคม 24, 2009 ที่ 6:24 am
wrrtyty
ตำรวจออกหมายเรียกกลุ่มรักเชียงใหม่ 51 คดี “ถ่อยเสื้อแดงรุมกระทืบคนพิษณุโลก” ให้มารายงานตัวภายใน 27 มี.ค.นี้ ย้ำ หากกระทำผิดซ้ำซึ่งหน้า เจอจับแน่ ขณะที่มีกลุ่มเสื้อแดงระดมพลที่คาดว่ากลุ่มเชียงใหม่ 51 บางคนเข้าสบทบการชุมนุมเสื้อแดงที่พิษณุโลก คืนนี้ (24 มี.ค.)
พ.ต.ท.สมบูรณ์ สีแดง พงส.(สบ2) สภ.เมืองพิษณุโลก เจ้าของคดีกลุ่มเสื้อแดง หรือ กลุ่มรักเชียงใหม่ 51ทำร้ายคนพิษณุโลก จนได้รับบาดเจ็บเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2551 เปิดเผยความคืบหน้าของคดี ว่า ล่าสุด ได้ออกหมายเรียก 4 คน ที่มีภาพปรากฏหลักฐานเสื้อแดง ขณะทำร้ายประชาชนชัดเจน และได้ดำเนินการส่งหมายเรียกให้มารายงานตัวที่ สภ.เมืองพิษณุโลก ภายในวันที่ 27 มีนาคม 2552
ทั้งนี้ หากไม่มาตามหมายเรียก ก็ดำเนินการออกหมายจับต่อไป เพราะคดีนี้มีพยานและหลักฐานตามภาพผู้กระทำกระทืบ, ชก, ต่อย ชัดเจน และหาก 4 ผู้ต้องหากระทำความผิดซ้ำ หรือ กระทำความผิดซึ่งหน้า ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.พิษณุโลก ก็สามารถจับได้ทันที
ขณะที่กลุ่มเสื้อแดงพิษณุโลก ในนามกลุ่มรักษ์ประชาธิปไตยสองแคว (รปส.) ได้ออกรถแห่ประกาศเชิญชวนให้ไปร่วมชุมชุม ที่สนามกีฬากลางจังหวัดพิษณุโลกวันนี้ โดยจัดร่วมกับนายบุญเลิศ เรืองทิม หรือ เลิศ ไม้เก่า แกนนำเครือข่ายเครือข่ายประชาชนปกป้องประชาธิปไตยแห่งชาติ คาดว่า จะมีกลุ่มเสื้อแดงหลายจังหวัดโดยเฉพาะกลุ่มรักเชียงใหม่ 51 ที่เคยสร้างวีรกรรมรุมทำร้ายร่างกาย หาญน้ำใจคนพิษณุโลกมาแล้ว เดินทางมาร่วมด้วย
http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9520000033464
มีนาคม 24, 2009 ที่ 7:14 am
bannaros
เสื้อแดง ย้อนเกล็ด ยึดสุวรรณภูมิ ?
คนที่ติดตามการเคลื่อนไหวของพรรคทักษิณ ที่แยกทัพเป็นพรรคเพื่อไทยในสภาและกลุ่มเสื้อแดงบนท้องถนนตลอด 1 เดือนมานี้คงจะเห็นความเปลี่ยนแปลงของพวกเขา
การเตรียมความพร้อมรอบใหม่ก่อนเข้ากรุงฯ 26 มีนาคมน่าสนใจขึ้นมาทุกขณะและขออย่าแปลกใจที่จะเห็น ขวัญชัย ไพรพนา กอดคอจูบปากอย่างดูดดื่มกับ จตุพร พรหมพันธ์ (กรุณาอย่านึกภาพตามเด็ดขาดโดยเฉพาะเด็กและสตรีมีครรภ์)
ทักษิณ ชินวัตรระยะ 1 เดือนมานี้ไม่ต้องทำอะไรเพราะมีคิวโฟนอินทุกวัน หลัง ๆ ทำงานหนักขึ้นเพราะต้องมาเช็คชื่อ ส.ส.ในสภาเรียงตัว ใครเป็นงูเห่า ใครที่เอาใจออกห่าง ทักษิณรู้หมด
คนที่น่าสงสารที่สุดคือ ยงยุทธ วิชัยดิษฐ์ มีชื่อเป็นหัวหน้าพรรคแต่ในนามเพราะงานและอำนาจทุกอย่างหัวหน้าพรรคตัวจริงยึดไปทำเองหมดแล้ว ไม่รู้ทู่ซี้นั่งบนเก้าอี้นี้ไปทำพระแสงอันใด
ทัพหลวงเสื้อแดงที่มี ทักษิณ ชินวัตร ไสช้างออกหน้าทัพผ่านคอนเฟอเรนซ์ ประกาศตนเป็นเจ้าของกิจการมวลชนเสื้อแดงตัวจริงในรอบนี้ … พร้อมหรือไม่ขนาดไหนดูได้จากงานซอฟท์โอเพ่นนิ่งที่เชียงใหม่ เพราะทั้งเจ๊แดงและน้องเขยเปิดบ้านบัญชาการด้วยตนเอง ระดมชาวบ้านจากทั้งปาย เชียงราย ลำพูน แพร่ พะเยา ลำปางมาโดยพร้อมเพรียงในอัตราค่าใช้จ่ายที่ยอมทุ่มให้
แกนนำกลุ่มเสื้อแดงที่เคยกระเง้ากระงอด ทำงานไม่ได้ตังค์ เคยบากหน้าไปหาก็ไม่พบมารอบนี้แอ่นอกอยู่ด้านหน้าแถวอย่างภาคภูมิใจสามารถแก้ปัญหาเรื่องเอกภาพและการทะเลาะเบาะแว้งเรื่องเงินทองระหว่างคนเสื้อแดงได้เบ็ดเสร็จไปแล้ว
ศึกฤดูแล้งรอบนี้น่าจะยาวนานกว่าที่ผ่านมาน่าลบภาพ ม็อบแดดเดียว – แดงประจำเดือนได้
พร้อมแล้วทั้งเงิน พร้อมแล้วทั้งคน !
แต่เป้าหมายของการทำศึกใหญ่ของทักษิณหาใช่การลบภาพแดงประจำเดือน เป้าหมายของเขาในขั้นต้นคือการล้างคดีและขอเงินคืนเป็นสำคัญ ส่วนระดับต่อไปคือถ้าเป็นไปได้จะชิงอำนาจรัฐกลับคืน
แท้จริงแล้วคนอยู่ในวงการเมืองย่อมรู้ดีว่าลำพังการชุมนุมของประชาชนอย่างสงบ สันติ ปราศจากอาวุธ นั้นยากที่จะล้มอำนาจรัฐได้หากปราศจากความมุ่งมั่น อุดมการณ์ และความทุ่มเทเสียสละ
สรุปสั้น ๆ ประโยคเดียว ทัพทักษิณนั้นดูเหมือนพร้อมแต่ไม่พร้อม !!!!
ภายใต้ความพร้อมของเงินและคน กลับยังไม่พร้อมเรื่องใจและเงื่อนเวลา
คนอยู่เบื้องหลังม็อบเสื้อแดงย่อมประเมินรู้ว่ามวลชนของตนมีความมุ่งมั่น อุดมการณ์ และความทุ่มเทเสียสละในระดับมากน้อยเพียงใด
นี่เป็นข้อจำกัดที่แกนนำมวลชนที่ยังพอมีสมองอยู่บ้างควรรู้ !
สิ่งที่น่าสนใจได้เกิดมีร่องรอยความเคลื่อนไหวเพื่อจะยกระดับการขับเคลื่อนมวลชนให้หนักหน่วงรุนแรงเพิ่มน้ำหนักกดดันมากขึ้น เช่น การยึดทำเนียบ หรือที่สุดคือไปยึดสนามบินสุวรรณภูมิย้อนเกล็ดพันธมิตรทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้าแกนนำเคยประกาศประณามและยืนยันไม่ทำตามเด็ดขาด
ร่องรอยดังกล่าวเริ่มจากวันที่ 22 มีนาคม ก่อนที่กลุ่มรักเชียงใหม่ 51 กับมวลชนหลายจังหวัดโดยเฉพาะจากลำปางได้เดินทางไปยื่นหนังสือเรียกร้องให้ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 เร่งดำเนินคดีกับแกนนำพันธมิตรที่ไปยึดสนามบินสุวรรณภูมิ
คนที่รู้จักกลุ่มรักเชียงใหม่ 51 ดีย่อมรู้ว่านี่ไม่ใช่ความคิดของแกนนำในท้องถิ่นแต่อย่างใดเพราะงานแต่ละอย่างของพวกเขาไม่เคยได้เรื่องราวมีแต่หาเหาใส่หัวเช่นเรื่องพระเจ้ามูลเมืองเป็นต้น แท้จริงแล้วกิจกรรมดังกล่าวไม่ได้กำหนดไว้ตั้งแต่ต้นจนเมื่อแกนนำ นปช. โดยเฉพาะสายสหายอกหักเช่น หมอเหวง ฯลฯ โผล่มาเชียงใหม่จึงเริ่มคิดมีกิจกรรมนี้ขึ้น
วันรุ่งขึ้น 23 มีนาคม – สหายอกหักอีกคนหนึ่ง สมยศ พฤกษาเกษมสุข แกนนำกลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตยพร้อมแนวร่วมคนเสื้อแดงกว่า 50 คน เดินทางเข้ายื่นหนังสือถึงพล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ เพื่อเร่งรัดการดำเนินคดีกับกลุ่มพันธมิตรที่ก่อเหตุปิดล้อมรัฐสภาบุกยึดทำเนียบรัฐบาลสนามบินดอนเมืองและสนามบินสุวรรณภูมิ
มองในเชิงยุทธวิธี นี่คือการปูทางเพื่ออ้างเหตุกลืนน้ำลายสิ่งที่คนเสื้อแดงเคยประกาศไว้ว่าจะไม่ยึดทำเนียบ ไม่ยึดสนามบิน ดำเนินการย้อนเกล็ดพันธมิตรอ้างว่ารัฐบาลปล่อยให้คนอื่นทำได้ทางเราก็ทำได้เช่นกัน
เนื่องจากว่า ลำพังการชุมนุมโดยปราศจากอาวุธอย่างทรหดอดทนนั้นเป็นเรื่องที่ยากมาก หากสังคมโดยรวมไม่ร่วมกดดันและสังคมยังไม่มีมาตรฐานจริยธรรมทางการเมืองมากเพียงพอ แรงกดดันก็จะยังไม่เกิด
ขนาดพันธมิตรชุมนุมภายใต้กรอบมาเกิน 6 เดือนยังไม่เกิดอะไรขึ้นจนกระทั่งถูกตำรวจล้อมฆ่า แล้วก็มีการปล่อยให้มีคนยิงระเบิดเข้าไปฆ่าคนเล่นรายวันนั่นแหละจึงต้องยกระดับมาตรการที่เด็ดขาดดังที่เห็น
ทัพเสื้อแดงรอบนี้มีความพร้อมกว่าทุกครั้งที่ผ่านมาก็จริง แต่ก็ติดข้อจำกัดหลายอย่างโดยเฉพาะความมุ่งมั่นของมวลชน และติดกรอบวันหยุดยาวสงกรานต์
ถ้าจะเผด็จศึกก็ต้องเร่งทำภายในเวลาที่มีให้ประมาณครึ่งเดือน !!
ขอชี้ให้เห็นอีกครั้งว่าเป้าหมายของพวกเขามี 2 เป้าที่เป็นคนละเรื่องเดียวกัน
เป้าหนึ่ง – ปลดปล่อยทักษิณ สร้างสถานการณ์กดดันให้เกิดการออกกฎหมายนิรโทษกรรม หากไม่ยอมจะเกิดกรณีความแตกแยกครั้งใหญ่ในประเทศ จำลอง 3 จังหวัดภาคใต้ขึ้นมาภาคเหนือ –อีสาน
แนวทางนี้คือปล่อยมวลชนกลับไปก่อเหตุแบบ 3 จังหวัดใต้บ้านใครบ้านมันหลังสงกรานต์
อีกเป้าหนึ่ง – ประกาศเจตนารมณ์ประชาธิปไตย ให้ประชาธิปัตย์ยุบสภาเลือกตั้งใหม่โดยความเชื่อว่าถ้าเลือกตั้งใหม่พรรคเพื่อไทยจะเป็นรัฐบาล
ภายใต้ข้อจำกัดที่กล่าวไปแล้วถ้าจะบรรลุผลก็ต้องจลาจลเท่านั้นแหละครับ
หรือถ้าไม่ก่อจลาจลก็ต้องยกระดับการกดดันดำเนินการย้อนเกล็ดพันธมิตรแบบที่สหายเก่าสีแดงปูทางเอาไว้ ไปยึดสุวรรณภูมิให้แดงเถือกไปทั้งรันเวย์
สรุปอีกครั้ง ในความไม่พร้อมของพวกเขา มีร่องรอยการเตรียมพร้อมจะกลืนน้ำลายในสิ่งที่ตัวเองเคยปฏิเสธไว้ก่อนแล้ว – คอยจับตาดูให้ดี !
http://www.manager.co.th/Columnist/ViewNews.aspx?NewsID=9520000033021
มีนาคม 26, 2009 ที่ 6:08 am
premma
“ป๋าเปรม” เมิน “แม้ว”พล่ามรายวัน -ย้ำ องคมนตรีไม่เกี่ยวข้องการเมือง
http://www.managerradio.com/radio/DetailRadio.asp?program_no=1026&mmsID=1026/1026-2592.wma&program_ID=23000
มีนาคม 28, 2009 ที่ 12:45 pm
addyut
“บิ๊กแอ้ด”สวน”แม้ว”ไปบ้าน”ปีย์”ถกปัญหาชาติ ปัดหารือแผนปฏิวัติ
“พล.อ.สุรยุทธ์” แถลงโต้ “ทักษิณ” ยอมรับไปบ้านปีย์ แถวสุขุมวิทจริง แต่แค่กินข้าวรับฟังปัญหาบ้านเมือง ร่วมกับประธานศาลปกครองสูงสุด ไม่ใช่หารือวางแผนปฏิวัติอย่างที่ถูกกล่าวหา เหน็บ คงไม่เหมาะหากจะคุยเรื่องแบบนี้กับตุลาการ พร้อมปฏิเสธไม่มีนิสัยเพ็จทูลกล่าวหาไม่จงรักภักดี ชี้พระองค์มีสายพระเนตรที่ยาวไกล ย้ำไม่ฟ้องกลับ
วันนี้(28 มี.ค.) ที่ห้องรับรองพิเศษ สนามบินสุวรรณภูมิ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี แถลงข่าวภายหลังเป็นประธานปลูกต้นไม้ 9 ล้านต้นกล้ามหามงคล ในจังหวัดเชียงใหม่ ถึงกรณีที่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและ พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี อดีตรองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (รอง ผอ.รมน.) ระบุว่ามีส่วนเกี่ยวข้องในการร่วมวางแผนล้มรัฐบาล ว่า ตนไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะวางแผนทำรัฐประหาร ซึ่งการพบปะกันในครั้งนั้น เมื่อปี 2549 นายปีย์ มาลากุล ได้เชิญไปร่วมรับประทานอาหารด้วยกันที่บ้านย่านสุขุมวิท โดยในวันนั้นรู้จักเพียงท่านอักขราทร (อักขราทร จุฬารัตน์ ประธานศาลปกครองสูงสุด) เพียงคนเดียวเท่านั้น ทั้งนี้ในวันนั้นก็พบกับ พล.อ.พัลลภ ด้วย ทั้งนี้ยืนยันว่าไม่ได้มีการหารือวางแผนเพื่อก่อรัฐประหาร แต่พูดคุยถึงสถานการณ์บ้านเมืองในขณะนั้นเท่านั้น ซึ่งคงไม่สมเหตุสมผลที่จะไปพูดเรื่องรัฐประหารกับผู้พิพากษา ต้องไปคุยกับเหล่าทัพดีกว่า ซึ่งโดยส่วนตัวต้องการไปฟังข้อคิดเห็นของผู้พิพากษาเกี่ยวกับสถานการณ์บ้านเมืองที่เกิดขึ้น ซึ่งหากอยากรู้ข้อมูลที่แท้จริงต้องไปถามนายปีย์เอง
“การดำรงตำแหน่งองคมนตรีและจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเมืองไม่ได้นั้น ในฐานองคมนตรีมีหน้าที่ให้คำปรึกษา ที่ปรึกษาไม่จำเป็นต้องนั่งเฉย ๆ แต่ต้องมีการหาข้อมูลและรับฟังข้อคิดเห็นต่าง ๆ ซึ่งยอมรับว่าทุกคนต้องมีอิสระทางความคิดได้ทั้งนั้น” พล.อ.สุรยุทธ์ กล่าว
พล.อ.สุรยุทธ์ ยังกล่าวชี้แจงถึงกรณีพ.ต.ท.ทักษิณ ระบุสาเหตุที่สั่งย้ายจากตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกเพราะมีการไปสั่งฆ่าคนพม่านั้น ยืนยันว่าการเคลื่อนกำลังไปยังพื้นที่ชายแดนส่วนหลังนั้นเป็นการนำกำลังไปฝึกตามปกติ เป็นไปตามขั้นตอน ผ่านการเห็นชอบจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในขณะนั้นคือ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ทั้งภายหลังเหตุการณ์นั้นก็มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวนและผลการสอบสวนก็ยืนยันว่าไม่มีความผิด การพูดว่ามีชาวพม่าเกี่ยวข้องนั้นก็ไม่ใช่เลย ดังนั้นสิ่งที่พ.ต.ท.ทักษิณนำมาพูดนั้นก็เป็นข้อมูลที่คลาดเคลื่อน อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้คงไม่มีการฟ้องร้องดำเนินคดีกับพ.ต.ท.ทักษิณ หรือพล.อ.พัลลภ เพราะเชื่อในวิจารณญาณของประชาชนในการที่จะรับฟังข้อมูลที่ตนได้ชี้แจงไปในวันนี้
ทั้งนี้ พล.อ.สุรยุทธ์ ยอมรับว่าได้พูดคุยทางโทรศัพท์กับ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรฯ ที่บอกให้คุยกับพล.อ.จารุภัทร เรืองสุวรรณ อดีตกกต. ในขณะนั้น ซึ่งก็ได้มีการพูดคุยกับพล.อ.จารุภัทร แต่เป็นการให้ข้อคิดเห็นเท่านั้น ส่วนที่พล.อ.จารุภัทร ตัดสินใจลาออกนั้น เป็นการตัดสินใจของพล.อ.จารุภัทรเอง อีกทั้งยังยอมรับว่าได้โทรศัพท์พูดคุยกับนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตร แต่ไม่ได้พูดคุยเรื่องการขอให้เอเอสทีวีเป็นฟรีทีวีอย่างที่หลายฝ่ายระบุ แต่เป็นการโทรศัพท์คุยกันเพื่อให้กำลังใจในต่อสู้ในครั้งนั้น
ส่วนที่มีการเรียกร้องให้ลาออกจากตำแหน่งองคมนตรีนั้น พล.อ.สุรยุทธ์ กล่าวว่า จะรับไว้พิจารณา ถือว่าเป็นข้อคิดเห็นอีกอย่างหนึ่ง แต่ต้องใช้เวลาในการตัดสินใจ และคงไม่มีปัญหาอะไร ที่พ.ต.ท.ทักษิณระบุว่าเตรียมแฉคลิปการทำรัฐประหาร เพราะถือว่าตนได้ชี้แจงไปแล้ว เชื่อว่าทุกคนจะเข้าใจ ก็ไม่มีปัญหาอะไร
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าพ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวโจมตีพาดพิงทั้งพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี กับท่านเองได้หารือกันหรือไม่ พล.อ.สุรยุทธ์ กล่าวว่า ยังไม่ได้คุยกันเลย เพียงแต่บอกว่าจะแถลงข่าววันนี้
ส่วนข้อกล่าวหาที่พ.ต.ท.ทักษิณออกมาระบุว่าตนไปกราบทูลว่าจะล้มรัฐบาลทักษิณ เพราะว่าไม่จงรักภักดีนั้น ก็ยืนยันว่าไม่เคยทำเรื่องนี้เลย เรื่องนี้ไม่เป็นความจริง ซึ่งส่วนตัวคงไม่บังอาจกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในสิ่งนั้น และไม่เคยปลักปรำพ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งเชื่อว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีสายพระเนตรที่ยาวไกล
http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9520000035420
มีนาคม 28, 2009 ที่ 12:48 pm
addyut
อยากให้ “ทักษิณ” เปิดโปง “ผู้มีบารมี” ตัวจริง
พ.ต.ท. ทักษิณ มีการพูดจา มีเป้าหมายของการเรียกร้องชัดเจน ประกอบกับพรรคเพื่อไทย และการนำการขับเคลื่อนกลุ่มเสื้อแดงโดยตรง แบบ “รีโมตคอนโทรล” จากต่างประเทศ
ท่านประกาศว่าจะเปิดโปง “ผู้มีบารมี” ได้น่าสนใจฟังมาก น่าจะเปิดออกมาเลยว่าเป็นใคร
1. ให้สินบนช่วยนักการเมือง จนได้สัมปทานโทรศัพท์มือถือ ดาวเทียม แก้ไขสัญญาเอื้อประโยชน์กิจการตัวเอง โดยรัฐต้องเสียประโยชน์
2. เมื่อเป็นนายกฯ เพียง 4 เดือน แก้ไขสัญญาสัมปทาน เพื่อลดส่วนแบ่งรายได้ภาครัฐสำหรับมือถือระบบพรีเพด จากร้อยละ 25-30 เป็นร้อยละ 20 แก้เงื่อนไขให้มีการเก็บภาษีสรรพสามิตกิจการโทรคมนาคม แต่ผลักภาระให้ ทศท. รับทั้งหมด
3. หลักการสัญญาเดิมคือ ทศท. ให้สิทธิบริหารแบบ Build-Transfer-Operate (BTO) คือให้เอกชนลงทุนโดยให้สิทธิใช้ประโยชน์ 30 ปี จบแล้วก็ควรคืน ทศท. เหมือนที่เช่ามาบุญครองของจุฬาฯ หรือ เซ็นทรัลลาดพร้าวของการรถไฟฯ จบสัญญาแล้วก็ควรกลับมาเป็นของราชการเหมือนเดิม แต่ด้วยการใช้อำนาจของท่าน จะไม่ต้องโอนกลับแล้วใช่ไหม ?
4. มีการเอื้อประโยชน์บีโอไอดาวเทียม ทั้งๆที่เป็นการซื้อของจากต่างประเทศ ให้บริการในต่างประเทศ บังคับหน่วยงานไทยให้กลับมาเป็นลูกค้า และบริการพม่า โดยให้ ธนาคารเพื่อการส่งออกฯ ออกเงินให้ แต่แล้วก็จ่ายตรงเข้ากระเป๋ากิจการของตน
5. รัฐธรรมนูญห้ามถือครองหุ้นเกิน 5% โดยเฉพาะ กฎหมาย ปปช. ห้ามถือหุ้นกิจการสัมปทานผู้ขาด ก็โอนหุ้นไปให้ลูก คนใกล้ชิด และกองทุนแอมเพิลริช วินมาร์ค ฯลฯ
6. ใช้อำนาจกดดันหน่วยงานรัฐ ไม่ให้หาข้อมูล และความจริง ทั้ง ดีเอสไอ ปปง. กลต. สำนักงานอัยการฯ
7. โอนหุ้นให้ลูกวันที่ 1 กันยายน 2543 เพื่อเตรียมตัวรับตำแหน่ง แต่วันที่ 1 สิงหาคม 2543 เพียง 1 วันก่อนหน้านั้น กลับต้องให้ลูกทำหนังสือตั๋วสัญญาใช้เงิน 4.5 ล้านบาทให้แม่ไว้ เพื่อเป็นช่องทางคืนประโยชน์ทั้งหมด คือปันผลกลับมาให้แม่ 4.5 ล้านบาท คือหนี้ค่าอะไร หนี้บุญคุณหรือ ? จริงๆแล้วเป็นหลักฐานเพื่อผูกหุ้นที่มอบไปใช่หรือไม่ ?
8. เงินที่ได้ค่าขายส่วนหนึ่ง ส่งผ่านประไหมสุหรีไปซื้อสโมสรฟุตบอล แมนเชสเตอร์ซิตี้ แต่เห็นแต่ข่าวที่ท่านเป็นเจ้าของ เป็นหลักฐานว่าท่านเป็นเจ้าของตัวจริงหรือไม่ ?
9. อ้างว่าวินมาร์คเป็นนักลงทุนต่างประเทศ ซื้อหุ้น 5-6 บริษัทของตนและภรรยาไป 1.5 พันล้านบาท อ้างว่าจะรอเข้าตลาดฯ แต่ทุกบริษัท ซื้อที่ราคาพาร์หมดเลย มีบริษัทเดียวที่เข้าตลาดได้ คือ SC ก็ขายไป 3 สัปดาห์ก่อนเข้าตลาด และกองทุนที่ซื้อไป ก็โอนต่อใน 3 สัปดาห์ ให้อีก 2 กองทุนเพื่อเปิดเผย (อย่างปกปิด) กับนักลงทุน โดยทั้ง 3 กองทุนมาเลเซีย มีที่อยู่เดียวกันหมดเลย
10. วินมาร์ค มีเลขที่บัญชี 121751 ที่ ธ. ยูบีเอส ถือหุ้นซึ่งมีสัมปทานรัฐอยู่ด้วย
11. สภาผู้แทนราษฎรจะซักฟอก จะตั้งกระทู้ถาม ก็ยุบสภาฯทิ้งเสีย
12. ศาลสั่งเรียกสอบ และเรียกอ่านผลพิพากษาก็หนีศาล
13. ถูกพิพากษาให้มีโทษจำคุก ก็หนีคุก
14. คดีเดินหน้าไป แทนที่จะมาต่อสู้คดีด้วยหลักฐาน และความจริง กลับนำม็อบมาชุมนุม เป็นอำนาจระดับที่ว่า ฉันไม่รับความผิด ฉันไม่มีหลักฐานอะไรมาโต้แย้ง แต่ฉันมีกำลังมาก (เหมือนมาเฟีย) ถ้าจะเอาผิดฉัน ฉันก็จะจ่ายเงินกวนเมือง ใครจะทำไม ?
15. กดดันศาล ขอวีดีโอคอนเฟอเรนซ์ ทั้งๆที่แสดงออกว่า ขอให้ศาลพิจารณา ถ้าได้ประโยชน์ก็รับได้ แต่ถ้าความจริงปรากฏมีโทษถึงจำคุกก็ไม่ยอมรับอยู่ดี แล้วจะให้วีดีโอคอนเฟอเรนซ์ไปทำไม ? เป็นชอบพูดคนเดียว เพราะไม่ต้องตอบข้อสงสัยอะไร โกหกก็สะดวกปาก คำถามอย่างที่ถามด้านบนก็ไม่เคยตอบ ไม่เคยแสดงหลักฐานโต้แย้ง
16. ปรักปรำผู้ขุดคุ้ยความจริงมาเปิดโปง กล่าวหา คมช. หรือ คตส. ว่าการเอาหลักฐานมาไม่ถูกต้อง ทั้งๆที่ ก็บอกไม่ได้ว่าเป็นหลักฐานปลอม ไม่มีหลักฐานใดๆมาโต้แย้งหลักฐานจริงเหล่านี้ได้
17. ทั้งๆที่รัฐธรรมนูญให้เปิดเผยทรัพย์สินทั้งหมด กลับมีเงินในต่างประเทศไปซื้อสโมสรฟุตบอล จ่ายค่าคอนเฟอร์เรนซ์คอล ดูแลบรรดาผู้รับใช้ สส. ผู้นำกลุ่มเสื้อแดง บางคนหน่วยราชการ ฯลฯ
18. อ้างว่าเป็นวีรบุรุษกู้ชาติ เพราะคืนเงินไอเอ็มเอฟได้ก่อนกำหนด ทั้งๆที่เป็นเงินที่รัฐบาลก่อนหน้า (ปชป) ได้สะสมไว้ หลังจากตอนเข้ามานั้น เงินสำรองระหว่างประเทศสุทธิเหลือเพียง 7 พันล้านเหรียญ จากปรกติที่เคยมีประมาณ 4 หมื่นล้านเหรียญ ทั้งๆ ที่ LOI ฉบับที่ 1 ลงนามวันที่ 14 สิงหาคม และท่านเข้ารับตำแหน่งรองนายกฯเองในวันที่ 15 สิงหาคม วันถัดมา ดูอย่างไรก็ไม่เนียน จะอ้างว่ามากู้ชาติก็ยากเพราะคนแรกที่ส่งมาคือ นาย ทนง พิทยะ อดีตผู้ดูแลการเงินลูกน้องของตัว เข้ามาดูแลช่วงลอยตัวค่าเงินบาทตั้งแต่ 21 มิถุนายน 2540 และประกาศลอยตัวค่าเงินบาทวันที่ 2 กรกฎาคม 2540
19. บอกกับชาวโลกว่า เมืองไทยไม่มีความยุติธรรมพอเพียง แต่ไม่ชี้แจงหลักฐานโต้แย้งกรณีภรรยาซื้อที่ดินของภาครัฐซึ่งตนมีอำนาจสูงสุดได้ หรือกรณีภรรยาโอนหุ้นจากคนใช้ให้พี่ผ่านตลาดหลักทรัพย์เป็นนิติกรรมอำพรางเพื่อเลี่ยงภาษีได้
20. อ้างว่ารักชาติ แต่ในยามสงบ คงเหลือแต่คดีความของท่าน แทนที่จะหาหลักฐานมาต่อสู้ กลับโฟนอินสร้างความแตกแยก และทำให้คนปิดหูปิดตา ไม่สนใจความถูกต้อง เพียงเพื่อปกป้องตัวเอง นับว่าเป็นการเสียสละอย่างยิ่งใหญ่ คือ เสียสละชาติเพื่อตัวเองอย่างแท้จริง
นับว่าเป็นผู้พยายามจะมีบารมีจริงๆ แต่ท่านอาจจะลืมไปอย่างหนึ่งว่า การใช้อำนาจโดยไม่ชอบ การหนีสภา หนีศาล หนีคุก การโกหก การสร้างความแตกแยก การใส่ร้ายประเทศไทยแผ่นดินแม่ อาจทำให้ได้มาซึ่ง “อำนาจ” แต่ไม่ใช่บารมีครับ บารมีสะสมได้ด้วยสิ่งเดียวคือ “ความดี” ครับ
http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000035113
มีนาคม 28, 2009 ที่ 12:51 pm
addyut
มองทักษิณ ผ่านคำวินิจฉัยของตุลาการ (1)
คำวินิจฉัยคดีซุกหุ้นภาคแรกของตุลาการเสียงข้างน้อยอย่าง นายประเสริฐ นาสกุล ประธานศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อ 3 สิงหาคม 2544 เป็นเครื่องพิสูจน์อันดีว่า คำป้ายสีสถาบันเบื้องสูง และสถาบันตุลาการของนักโทษหนีคดี เป็นแค่เรื่องโกหกพกลม ทั้งยังเป็นหลักฐานยืนยันว่า “กรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา” และ “กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นย่อมคืนสนอง หนียังไงก็ไม่พ้น” 19 กันยาไม่ใช่จุดพลิกผันของระบอบทักษิณ แต่ระบอบเลือกจุดจบของตัวเองตั้งแต่ก้าวแรกที่ย่างเข้ามาในการเมืองไทยแล้ว
คดีดังกล่าวสืบเนื่องจากการที่คณะกรรมการปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในขณะนั้น มีมติด้วยเสียง 8 ต่อ 1 ชี้มูลความผิดพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินอันเป็นเท็จ และเอกสารประกอบอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ กรณีเข้ารับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีในรัฐบาล พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เป็นนายกรัฐมนตรี โดยจากการศึกษาคำวินิจฉัยดังกล่าว ทำให้พบความจริงที่น่าสนใจหลายประการ
ประการแรก คำวินิจฉัยดังกล่าวชี้ให้เห็นว่า พฤติกรรมละเมิดรัฐธรรมนูญของระบอบทักษิณ ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นหลัง 19 กันยายน 2549 และ การป้ายสีว่า รัฐธรรมนูญปี 2550 มีที่มาจากรัฐประหาร ก็เป็นเพียงแค่ข้ออ้างในการหลีกเลี่ยง ไม่ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญเท่านั้น เพราะข้อเท็จจริงก็คือ นักการเมืองระบอบทักษิณพร้อมจะปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญต่อเมื่อเห็นว่าตนเป็นฝ่ายได้ และดื้อแพ่งไม่ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญต่อเมื่อเห็นว่า เสียประโยชน์ โดยตอนหนึ่งคำวินิจฉัยคดีของนายประเสริฐ นาสกุล ระบุไว้เป็นตัวอย่างในคดีนี้ว่า
…ผู้ถูกร้อง (คุณทักษิณ ) โต้แย้งว่า ตนไม่มีหน้าที่ยื่นบัญชีทรัพย์สิน ตามรัฐธรรมนูญนี้ (หมายถึงรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 ที่คุณทักษิณรักนักรักหนา) โดยอ้างว่า ตนขึ้นมาเป็นรองนายกรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญฉบับก่อน และรัฐธรรมนูญนี้มิได้บัญญัติให้ผู้ถูกร้องต้องยื่นบัญชีทรัพย์สิน.. ขณะที่นายประเสริฐ ตุลาการเสียงข้างน้อย ได้ตอบข้อโต้แย้งว่า
…แม้ผู้ถูกร้องจะเป็นรองนายกรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญฉบับก่อน แต่รัฐธรรมนูญนี้ ประกาศใช้เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2540 มาตรา 317 วรรคหนึ่ง บัญญัติให้ผู้ถูกร้องซึ่งเป็นรองนายกรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญฉบับก่อน เป็นรองนายกรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญนี้ด้วย ดังนั้น ผู้ถูกร้องจึงอยู่ในบังคับตามรัฐธรรมนูญนี้ทุกประการ เพราะไม่มีบทยกเว้นไว้ คือ มีหน้าที่ตามหมวด 10 การตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ ส่วนที่ 1 การแสดงบัญชีรายการทรัพย์สินและหนี้สิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการยื่นบัญชีฯ ของตน คู่สมรส และบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะต่อผู้ร้องทุกครั้งที่เข้ารับตำแหน่ง หรือพ้นจากตำแหน่ง และพ้นจากตำแหน่งมาแล้วเป็นเวลาหนึ่งปี ตามมาตรา 291 และมาตรา 292 …
ประการที่สอง คำวินิจฉัยดังกล่าว สะท้อนให้ว่า นักการเมืองบ้านเราไม่ได้มีปัญหากับรัฐธรรมนูญ 2550 เท่านั้น แต่ก็มีปัญหา และคิดจะหาทางแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับ 2540 มาแล้ว (ที่ปัจจุบันอ้างกันนักหนาว่าเป็นฉบับที่ดีที่สุด) ดังจะเห็นได้กรณีที่คำวินิจฉัยของอาจารย์ประเสริฐได้หยิบยกเนื้อหา ในรายงานการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับปี 2540 มาอ้างอิงว่า
…พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ นายกรัฐมนตรี ในขณะนั้นเคยตั้งคำถามถามนายอานันท์ ปันยารชุน ประธานคณะกรรมาธิการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญ ผ่านนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภาว่า ในรัฐธรรมนูญฉบับ 2540 มีสาระในหลายมาตรา หลายส่วน และหลายตอน ที่ผิดไปจากปรัชญาและอุดมการณ์ของประชาธิปไตย (แปลตามภาษานักการเมืองว่ายากต่อการปฏิบัติยุ่งยากหลบหลีกยาก ฯลฯ -ความเห็นผู้เขียน) น่าที่จะนำเอาสาระสำคัญต่างๆ ที่ต้องการแก้ไขนั้นไปแก้ไขกัน การอภิปรายในรัฐสภาแห่งนี้จะนำมาซึ่งข้อยุติที่น่าจะนำเอารัฐธรรมนูญฉบับนี้ไปแก้ไข เพื่อเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมต่อไป… คำวินิจฉัยเดียวกัน ได้อ้างเหตุผลของนายอานันท์ ปัญญาชุน ประธานคณะกรรมาธิการฯ ที่มีต่อคำถามดังกล่าวว่า
…ข้อบกพร่องนั้นคงจะมีบ้าง แต่มิได้เกิดจากเจตนารมณ์ในทางที่ไม่ดี อาจจะก่อให้เกิดปัญหาบ้างเล็กน้อยในการตีความ การรับร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขเลยนั้น จะไม่นำไปสู่ความยุ่งยาก และจะไม่นำไปสู่สิ่งต่างๆ ที่หลายคนกลัวเกรง นอกจากนี้เห็นว่า ในการตีความกฎหมายนั้น นอกจากจะใช้หลักการต่างๆ แล้ว จะต้องคำนึงถึงศีลธรรมของประชาชนด้วยทุกกรณี เพราะปัญหาการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมของประเทศไทยในปัจจุบัน เกิดจากคนไทยมุ่งไปสู่ความเจริญก้าวหน้าทางวัตถุ แต่ห่างเหินศีลธรรม ยิ่งเจริญทางวัตถุจะยิ่งไม่มีความสงบสุขทางจิตใจ เพราะมี “ความเห็นแก่ตัว” มากขึ้น และความเห็นแก่ตัวนี้เป็นต้นเหตุแห่งปัญหา ทั้งหมดของคน …
ประการที่สาม ทำให้ทราบว่า ความผิดคดีหุ้นชินวัตรคอมพิวเตอร์ สำเร็จ และเป็นที่ประจักษ์มาก่อนที่จะมีรัฐประหาร 19 กันยาฯ เพียงแต่มีกระบวนการที่จะปกปิดไม่ให้มีการเอาผิดผู้เกี่ยวข้องซึ่งมีอำนาจรัฐในมือ และการดำเนินคดีกับครอบครัวชินวัตร-ดามาพงษ์ในเวลาต่อมาก็เป็นการดำเนินไปตามข้อกฎหมาย ไม่มีปัจจัยเรื่อง 19 กันยาฯ มาเกี่ยวข้องแต่อย่างใด โดยคำวินิจฉัยของอาจารย์ประเสริฐในปี 2544 ตอนหนึ่งมีการตั้งข้อสังเกตถึงทรัพย์สินในส่วนของคู่สมรสคุณทักษิณคือ นางพจมาน ชินวัตร ในขณะนั้นไว้แล้วว่า
…ผู้ถูกร้อง (คุณทักษิณ) อ้างข่าวประชาสัมพันธ์ 31/2544 เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2544 ว่า นางสาวบุญชูฯ นายชัยรัตน์ฯ นายมานัสฯ นางสาวดวงตาฯ และนายวิชัยฯ ถือหุ้นบริษัทต่างๆ แทนคู่สมรส ผู้ถูกร้องจริง สำหรับการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้รับการยกเว้นตามกฎหมาย แต่การที่คู่สมรส ผู้ถูกร้องสั่งเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2540 ให้นางสาวดวงตาฯ ขายหุ้นบริษัทชินฯ 4.5 ล้านหุ้นๆ ละ 164 บาท เป็นเงิน 738 ล้านบาท ให้แก่นายบรรณพจน์ฯ ซึ่งนายบรรณพจน์ฯ ยอมรับว่า ตนมิได้ซื้อหุ้นจำนวนนี้ หากแต่คู่สมรสผู้ถูกร้องแบ่งให้ (คำให้การต่อคณะอนุกรรมการตรวจสอบฯ เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2543 หน้า 5 หรือ 7387) อาจเป็นนิติกรรมอำพราง เพราะนายบรรณพจน์ฯ จะต้องเสียภาษีเงินได้ หากนายบรรณพจน์ฯ ไม่เสีย คู่สมรสผู้ถูกร้องซึ่งเป็นผู้ให้ต้องเป็นผู้เสีย เลขาธิการ ป.ป.ช. มีหนังสือที่ ปช. 0006/85 ลงวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2544 ส่งหลักฐานการให้การของนายบรรณพจน์ฯ ตามคำขอของอธิบดีกรมสรรพากรแล้ว แต่ไม่ทราบว่า กรมสรรพากรจะมีคำตอบการเสียภาษีเงินได้รายนี้หรือไม่ อย่างไร
8 ปีต่อมา ข้อสังเกตของอาจารย์ประเสริฐได้รับการพิสูจน์ผ่านกระบวนการตัดสินของศาลอาญา เมื่อ 31 กรกฎาคม 2551 ที่สั่งจำคุก 2 ปี นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ อดีตประธานกรรมการบริหารบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) คุณหญิงพจมาน ชินวัตร และนางกาญจนาภา หงส์เหิน เลขานุการของคุณหญิงพจมาน เป็นจำเลยที่ 1-3 ในความผิดฐานร่วมกันจงใจหลีกเลี่ยงการชำระภาษีอากรหุ้นบริษัท ชินวัตรคอมพิวเตอร์ แอนด์ คอมมิวนิเคชั่นส์ จำกัด (มหาชน) จำนวน 546 ล้านบาท จากหุ้นจำนวน 4.5 ล้านหุ้น ซึ่งมีหุ้นมูลค่ารวม 738 ล้านบาทโดยความเท็จโดยฉ้อโกงใช้กลอุบาย เป็นความผิด และสั่งจำคุกจำเลยที่ 1-2 เพิ่มอีกคนละ 1 ปี ฐานแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงานภาษีอากรตาม ป.รัษฎากร มาตรา 37 (1)(2) ป.อาญา มาตรา 83, 91
ประการที่สี่ ข้อสงสัยเรื่องหุ้น นิติกรรมอำพรางกับกรณี Ample Rich และ Winmark ก็ไม่ได้เกิดขึ้นจากการกลั่นแกล้งหลัง 19 กันยาฯ เช่นกัน แต่เรื่องนี้เป็นที่เคลือบแคลงมานานแล้วและอาจจะต้องรอการพิสูจน์บนชั้นศาลต่อไป แต่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ดีเอสไอจะขุดเรื่องนี้ขึ้นมาทำ อย่างไรก็ดี อาจารย์ประเสริฐ เคยพูดถึง Ample Rich และ Winmark ว่า
กรณีการซื้อขายหุ้นบริษัทชินฯ ที่ผู้ถูกร้องรายงานตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ ฯ มาตรา 246 เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2542 เป็นอีกตัวอย่างหนึ่ง (แม้จะเกินกำหนดเวลาที่รัฐธรรมนูญบัญญัติให้ผู้ถูกร้องยื่นบัญชีฯ แล้ว) ว่า ผู้ถูกร้องขาย 32,920,000 หุ้น ในตลาดหลักทรัพย์ฯ ให้แก่ผู้อื่น คือ Ample Rich Investments Limited, 185 A Goldhill Centre 51, Thomson Road, Singapore 307629 (Correspondent Office) ซึ่ง พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร ถือหุ้น 100% (คงเหลือ 32,920,000 หุ้น) นั้น กระทำเพื่ออะไรหากมิใช่เพื่อปกปิดข้อเท็จจริงมิให้บุคคลอื่นทราบว่าบริษัทฯ นี้คือผู้ถูกร้อง
อีกเรื่องหนึ่ง แม้เป็นเหตุการณ์ที่ผู้ถูกร้องไม่ต้องยื่นบัญชีฯ แล้ว เมื่อผู้ถูกร้องและ คู่สมรสขายหุ้นบริษัทเอส ซี เค เอสเทต จำกัด 3,549,980 หุ้น และ 2,000,000 หุ้นๆ ละ 10 บาท เป็นเงิน 55,499,800 บาท ให้กับบริษัท Win Mark Limited สัญชาติ British Virgin Island ในวันที่ 1 สิงหาคม 2543 ผู้ถูกร้องยืนยันว่า การโอนขายหุ้นนี้เป็นการขายหุ้นตามปกติ ไม่มีลักษณะการฟอกเงิน เพราะการโอนขายหุ้นนั้น แจ้งหลักฐานการเข้ามาถือหุ้นของบริษัทผู้ซื้อต่อสำนักงานทะเบียน หุ้นส่วนบริษัทแล้ว ทำให้เกิดปัญหาต้องสงสัยต่อไปว่า บริษัทผู้ซื้อใช้เงินสกุลใด มาจากที่ใด ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ น่าเสียดายที่ผู้ถูกร้องมิได้อธิบายด้วย (หนังสือของผู้ถูกร้อง ลับ ลงวันที่ 14 พฤศจิกายน 2543 หน้า 12)
ประการสุดท้าย ชัดเจนที่สุดว่า พฤติกรรมลบหลู่ดูหมิ่นไปจนกระทั่งถึงปองร้ายศาลเพียงเพื่อประโยชน์ส่วนตน ไม่ได้เพิ่งมีหลัง 19 กันยาฯ รัฐประหาร หรือตุลาการภิวัฒน์ใดๆ ทั้งสิ้น แต่เป็นความชั่วร้ายเสมอต้นเสมอปลายของระบอบทักษิณ โดยคำวินิจฉัยระบุว่า
เมื่อใกล้จะถึงวันที่ศาลลงมติ มีข่าวหนาหูขึ้นว่า ฝ่ายผู้สนับสนุนผู้ถูกร้องจะชุมนุมกันเพื่อกดดันศาล จะวางเพลิงเผาศาล ตลอดจนจะทำร้ายตุลาการบางคน จนกระทั่งมีการส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจไปให้ความคุ้มครอง ทำให้สิ้นเปลืองงบประมาณแผ่นดินไปอย่างน่าเสียดาย เป็นต้น ข่าวต่างๆ ดังกล่าวมานี้เกิดขึ้นได้อย่างไร หากมิใช่ เป็นการแสดง “ความเห็นแก่ตัว” ของคน
http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000034561
มีนาคม 28, 2009 ที่ 1:08 pm
addyut
1. นโยบาย บริโภคนิยม ส่งเสริมหนี้ภาคครัวเรือน ฟุ้งเฟ้อ มอมเมาประชาชน
และรัฐไม่เคยแถลงผลสำเร็จ
– กองทุนหมู่บ้าน
– ธนาคารประชาชน
– แปลงสินทรัพย์เป็นทุน
– หวยบนดิน
– ออกหวยซื้อหุ้น Liverpool
– เปิดบ่อนเสรี
– เปิดเสรีสุรา
– เอาเบียร์ช้างเข้าตลาดหุ้น
– กทม. เมืองแฟชั่น
– ครีมหน้าเด็ง
– บัตรสมาชิก ไทยแลนด์อีลิทการ์ด
– Complex Entertainment
– Mega Project
– ส่งเสริมเงิน+++้ทั้งในและนอกระบบ (Bank & Non-Bank)
– ใช้งบประมาณแผ่นดินหาเสียง (ทัวร์นกขมิ้น)
2. นโยบายสร้างภาพ หาเสียง ฉาบฉวย หลอกลวง และรัฐไม่เคยแถลงผลสำเร็จ
– พักหนี้เกษตรกร
– ปฏิรูปการศึกษา
– จัดระเบียบสังคม
– ผู้ว่า CEO
– ปราบปรามผู้มีอิทธิพล
– ลงทะเบียนคนจน
– ส่ง 23 รมต. แก้ปัญหาภาคใต้ (แต่ไม่มีใครไป)
– ไปนอนวัดที่นราธิวาส
– ไปนอนที่สนามบินสุวรรณภูมิ
– ทำกับข้าว
3. นโยบาย และการกระทำสิ้นคิดของ นายก และคนในรัฐบาล
– เปิดบ่อนเสรี
– ซื้อหุ้น Liverpool
– เปลี่ยนนาข้าวเป็นนากุ้ง (ทำให้น้ำและดินเน่าเสีย)
– สร้างคอนโดเป็นบ้านพักคนชรา (ให้อาศัยอยู่ห้องทึบในตึกสูง)
– ตั้งนิคมอุตสาหกรรมที่ อ.เชียงแสน (แหล่งโบราญสถาน)
– สส.รัฐบาลเสียบบัตรลงคะแนนแทนกัน
– โภคินนั่งเก้าอี้ ประธานรัฐสภา ยกมือเลือกนายก (ไม่เหมาะสม ไม่เป็นกลาง)
– ทักษิณ เป็นประธานประกอบพิธีศาสนา ในอุโบสถวัดพระแก้ว (ประธานต้องเป็นกษัตริย์
เท่านั้น)
– ประชุม ครม. บนรถไฟ (ไปเที่ยว)
– ประชุม ครม. บนประสาทพนมรุ้ง
– ยึดและฟ้องผู้ทำสติกเกอร์ “ยิ่งรวยยิ่งโกง” (อ้างหมิ่นฯ โยนผิดให้ฝ่ายค้าน)
– กำหนดแบ่ง Zone พื้นที่ 3 จังหวัดภาคใต้เป็น 3ระดับ (3 สี แดง, เขียว, เหลือง)
– ย้าย 3 ข้าราชการที่ไม่สนองนโยบายขายลำไย ไปประจำใน 3 จังหวัดภาคใต้
– ติด UBC 3 จังหวัดภาคใต้
– เปลี่ยนเพลงชาติไทยใหม่ มีให้เลือก 6 แบบ (แต่งโดยแกรมมี่)
– พานทองแท้ลอกโพยข้อสอบที่ ม.ราม
– ปิดถนนแข่งรถซิ่ง
– โครงการ อาชีวะปราบขอทาน
– นโยบายปิดปอเนาะทั่วประเทศ
– เปลี่ยนสนามบินดอนเมือง เป็นสนามเทนนิส
4. ทุจริต หรือส่อเจตนาทุจริต
– คดีซุกหุ้น (โอนให้คนรับใช้ คนขับรถ)
– ค่าโง่ทางด่วน
– ค่าโง่ ITV
– บ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่าน
– โครงการรับจำนำข้าว
– โครงการรับซื้อลำไย
– โครงการโคล้านตัว
– โครงการแจกต้นกล้ายาง
– เครื่องตรวจระเบิด CTX
– ที่จอดรถ สนามบินสุวรรณภูมิ
5. เหตุการณ์ และคดีที่มีเงื่อนงำ และเกี่ยวข้องกับคนในรัฐบาล
– ชิปปิ้งหมูถูกฆ่าตาย (เกี่ยวข้องธุรกิจอุปกรณ์ดาวเทียมไทยคม)
– อุ้มทนายสมชายฯ
– กรือเซะ, ตากใบ
– ฆ่าตัดตอนคดียาเสพติด 2000 กว่าศพ
– ตำรวจบุกทุบทำลายบ้านฉลอง เรี่ยวแรง (ก่อนวันสอบซ่อม สส. นนทบุรี)
– จับยาบ้าผิดตัว ตำรวจบุกยิงถล่มชาวบ้านอยุธยา (บ้าน/ตู้เย็น พรุ่นทั้งหลัง)
– ข้อสอบ Ent. รั่ว (ก่อนอุ้งอิ๋งติดจุฬาฯ)
– นายนิธินันท์ หรือ ลัทธพล ออกมาแฉทุจริตที่จอดรถ สนามบินสุวรรณภูมิ กลับไปกลับมา
– รันเวย์สนามบินสุวรรณภูมิแตกร้าว
6. การระเมิดสิทธิเสรีภาพ
– รัฐบาลคุกคาม แทรกแซงการเสนอข่าวของสื่อมวลชน
– ปลด 23 พนักงาน ITV (หลังจากชินคอป์เข้าบริหาร)
– บังคับให้ สส.กลุ่มวังน้ำเย็นถอนชื่อ การคัดค้านเสนอผู้ว่า สตง.
– งัดห้องทำงานผู้ว่า สตง. (คุณหญิงจารุวรรณฯ)
เรื่องสถานะคุณหญิงจารุวรรณยังหาข้อสรุปไม่ได้ ยืดเยื้อมาจนบัดนี้แล้ว
– สั่งปิดวิทยุชุมชนที่วิจารณ์รัฐบาล (อ้างคลื่นรบกวนเครื่องบิน)
– ถอดรายการ “เมืองไทยรายสัปดาห์” ด้วยเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้น
7. ด้านเศรษฐกิจ / ตลาดหุ้น
– คลังฮุบหุ้น TPI (เป็นการปล้นอย่างหน้าด้านๆ ไม่มียางอาย ไม่มีหิริโอตัปปะ)
– หลอกแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ขายสมบัติชาติ แอบแบ่งหุ้นให้พรรคพวก และต่างชาติ
แต่รัฐยังเป็นเจ้าของและแทรกแซงได้เหมือนเดิม เช่น การบินไทย, ปตท., อสมท.,
กฟผ., กสท., TOT
– รัฐพยายามหาทางเอาเงินประชาชน กบข. (ราชการ) กองทุนประกันสังคม, กบช.
(เอกชน) ไปใช้จ่ายในโครงการต่างๆอย่างฟุ่มเฟือย
– GMM แกรมมี่ และคนในรัฐบาลซื้อหุ้น นสพ. การเมือง 5 ฉบับ (มติชน, ข่าวสด,
ประชาชาติธุรกิจ, Bangkok Post, Post Today) พร้อมกัน โดยไม่สมเหตุสมผล
และฟังไม่ขึ้น ส่อเจตนาเข้ามายึดครอง)
8. ด้านกฎหมาย / อำนาจนิยม ที่ส่อเจตนาทุจริต และสร้างฐานอำนาจ
เพื่อผลประโยชน์ของตนเองและพวกพ้องเครือญาติ
– แต่งตั้ง ญาติ พี่น้อง เพื่อน พรรคพวก ดำรงตำแหน่งในหน่วยราชการ การเมือง ตำรวจ
ทหาร เพื่อรวบอำนาจบริหาร – ปกครอง
– แทรกแซงองค์กรอิสระ ด้วยวิธี ดูด, ดึง, ซื้อ, ส่งคนเข้าไปคุม เช่น ศาลรัฐธรรมนูญ,
ศาลปกครอง, กลต., ปปง., ปปช., คตง., สว.(บางส่วน)
– แทรกแซงสถาบันสงฆ์ (ออก พรก.แต่งตั้งรักษาการสมเด็จพระสังฆราชโดยพละการ)
– ศาลรัฐธรรมนูญ และประธาน สว. แทรกแซงและแต่งตั้งผู้ว่า สตง.
คนใหม่อย่างมีเงื่อนงำ และไม่มีเหตุผลสมควร
– การสรรหา กสช. และ กทช. ไม่โปรงใส
– พระราชบัญญัติ มหาวิทยาลัยราชภัฏ ถูกตีกลับ
– พระราชกฤษฎีกา บำเหน็จบำนาญ สส. และ สว.
– ออก พระราชกำหนด สรรพสามิตกิจการโทรคมนาคม เพื่อผลประโยชน์
และกีดกันคู่แข่งทางธุรกิจทั้งในและนอกประเทศ (AIS)
– ออก พระราชกำหนด การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน เพื่อสร้างฐานอำนาจเบ็ดเสร็จ
– โผทหารของนายก และ การลงนามแต่งตั้งช้ากว่าปกติ
9. ปัญหา บ้านเมืองไทยในปัจจุบันนี้
– ระเบิด และคนถูกฆ่า ใน 3 จังหวัดภาคใต้ (ที่เปลี่ยน แม่ทัพ, ผอ., ผู้กำกับ, รมต.,
รองนายก แล้วหลายคน แต่ยังไม่เปลี่ยน นายก จึงแก้ปัญหาไม่ได้)
– ราคาน้ำมันแพงเกินเหตุ (แต่ ปตท. กำไรแสนล้าน)
– เศรษฐกิจตกต่ำ ประชาชนถูกสอนให้ +++้เงิน ใช้เงิน
แต่ไม่เน้นให้ความรู้ในการประกอบอาชีพ และประหยัดในแบบ เศรษฐกิจพอเพียง)
– ไม่มีระบบตรวจสอบ และ คานอำนาจรัฐบาล (ฝ่ายค้าน, องค์กรอิสระ
เป็นง่อยทำอะไรไม่ได้
– รมต. ก่อนจะรับ หรือพ้นตำแหน่ง ไม่มีการแสดงบัญชีทรัพย์สินให้ประชาชนรู้เหมือน
เมื่อก่อน
– ปัญหาสังคม, ครอบครัว, บัตรเครดิตเต็มเมือง, ประชาชนเป็นหนี้ท่วมตัว, ตกงาน,
อาชญากรรม, จี้, ปล้น, การพนัน, โรคจิต, ทิ้งเด็ก, รถซิ่ง, นักเรียนตีกัน, ขายตัว,
ส่วยตำรวจ
10. สิ่งที่ทักษิณซื้อ
– บุคคล และองค์กร เช่น ข้าราชการ, สส., สว., พรรคการเมือง, องค์กรอิสระ,
นักวิชาการ, สื่อมวลชน, ประชาชน, วัง, ประเทศไทย
ธุรกิจ เช่น
– สัมปทานโทรคมนาคม โทรศัพท์เคลื่อนที่ (บ. AIS)
– ดาวเทียมไทยคม, IP Star (บ. ชินแซคฯ)
– อินเตอร์เนท (บ. CS Loxinfo)
– สายการบิน (AIR ASIA)
– สถานีโทรทัศน์ (ITV)
– มหาวิทยาลัย (ม.ชินวัตร)
– โรงพยาบาล (พญาไท)
– ธนาคาร (Non-Bank Capital OK)
– บริษัทโฆษณา
– ฯลฯ
11. คำพูด คำสัญญาของรัฐบาล ที่ไม่เป็นจริง
– ผมจะแก้ปัญหาจราจรให้ได้ภายใน 6 เดือน
– จะขึ้นเงินเดือนข้าราชการ 5 % ภายในตุลาคม 2548 (ภายหลังอภิปรายไม่ไว้วางใจ
สุริยะฯ)
– โครงการย้ายที่ตั้งรัฐสภาไปรังสิต (บ.ไทยเมล่อน)
– โครงการย้ายส่วนราชการ ไป จ.นครนายก
12. วีรกรรม และคำคม (ของทักษิณ)
– ด่านักวิชาการที่ให้คำแนะนำรัฐบาล
– ด่าวิชาชีพทนาย
– ด่า UNSCR กลางที่ประชุมสหประชาชาติ (ห้ามยุ่งกับปัญหาภาคใต้ไทย)
– “UN ไม่ใช่พ่อ”
– “พวกนี้มันโจรกระจอก” (ปัญหาภาคใต้)
– “ไม่ต้องตกใจ มันแค่โรคอหิวาระบาด” (ปัญหาไข้หวัดนก)
– “เป็นพระอยู่ส่วนพระ ไม่สมควรพูดเรื่องการเมือง ถ้าพูดก็ไม่สมควรเรียกว่าพระ”
– “แมง…+++พวกนักวิชาการก็เอาแต่ติ”
– “พูดเรื่องพระราชอำนาจ ระวังเหาจะกินหัว”
13. คนดีมีอุดมการณ์ แต่ถูกกลั่นแกล้ง และอยู่ในรัฐบาลไม่ได้
– ดร.เกษม วัฒนะชัย
– ดร.ปุระชัย เปรี่ยมสมบูรณ์
– นายวิโรจน์ นวลแข
ท้ายนี้หวังว่าผู้ที่มีอำนาจ หน้าที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะ นายกทักษิณ จะได้ตอบ
ได้แก้ไขปัญหาเหล่านี้ให้สำเร็จต่อไป หากตอบไม่ได้ ไม่ชัดเจน หรือไม่ตอบ ไม่แก้ไข
และเมื่อคำถามมีมากขึ้น เมื่อนั้นรัฐบาลก็จะอยู่ไม่ได้เหมือนกัน
ผู้รวบรวม อดีตนักศึกษา 3 สถาบัน (RIT, KMITL, AIT) ผ่านศึกมาแล้ว 3 สังเวียน
– 14 ตุลา 16
– 6 ตุลา 19
– พฤษภาทมิฬ 35
มีนาคม 29, 2009 ที่ 10:18 am
addy
28/03/52 “พล.อ.สุรยุทธ์” แถลงโต้ “ทักษิณ” รับไปบ้าน”ปีย์”ถกปัญหาชาติ ปัดหารือแผนปฏิวัติ
http://www.managerradio.com/Radio/DetailRadio.asp?program_no=1026&mmsID=1026%2F1026%2D2596%2Ewma&program_id=23052
มีนาคม 29, 2009 ที่ 11:22 am
bikad
“กลุ่มคนรักป๋าเปรม” ออกแถลงการณ์โต้ “ทักษิณ” พาดพิงใส่ร้ายป้ายสีสถาบันองคมนตรี เร่ง “รบ.มาร์ค” จัดการด่วน อย่านิ่งเฉย ขู่พร้อมจะเข้าไปตอบโต้ “เสื้อแดง” ในทุกรูปแบบทันที
วันนี้ (29 มี.ค.) กลุ่มคนรักป๋าเปรม และสมาคมชาวสงขลา นำโดย นายวิรัตน์ ทองใบเพชร นายกสมาคมชาวสงขลา ได้นัดชุมนุมสมาชิกสมาคม และออกแถลงการณ์ฉบับที่ 1 โดย นายวิรัตน์ กล่าวว่า กลุ่มคนรักป๋า และสมาคมชาวสงขลา ขอคัดค้านและตอบโต้การกระทำของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และกลุ่มคนเสื้อแดง ที่ปราศรัยพาดพิงสถาบันองคมนตรี ซึ่งการกระทำดังกล่าว ถือเป็นการใส่ร้ายป้ายสี เรียกร้องให้รัฐบาล เจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบ จัดการกับผู้ชุมนุมและผู้ปราศรัย และควรรีบยุติการกระทำของคนเหล่านี้ ไม่ใช่ปล่อยนิ่งเฉย มิฉะนั้น กลุ่มคนรักป๋าเปรม จะเข้าไปคัดค้านตอบโต้กลุ่มผู้ชุมนุมทุกรูปแบบในทันที
ทั้งนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวหา พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษ ผ่านระบบวิดีโอลิงก์ เมื่อวันที่ 20 มี.ค.ที่ผ่านมา โดยระบุว่า พล.อ.เปรม เป็นผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ รวมถึง พล.อ.สุรยุทธ์ จุลลานนท์ องคมนตรี เป็นผู้อยู่เบื้องหลังการก่อรัฐประหาร เมื่อวันที่ 19 ก.ย.2549
http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9520000035671
มีนาคม 31, 2009 ที่ 1:56 pm
kasitta
“กษิต” ท้า “ทักษิณ” ดีเบต ไล่ลิ่วล้อสวะเกะกะ ไม่รักชาติ ถามกลับ “แม้ว” ให้เงินทำบุญแล้วทวงคืน เป็นเปรตหรือมนุษย์
วันนี้(31 มี.ค. ) ที่กระทรวงการต่างประเทศ นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่ากระทรวงต่างประเทศ แถลงข่าวตอบโต้พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า คงจะทราบจุดประสงค์ว่าทำไมมาแสดงเองในวันนี้ สืบเนื่องมาจากคำกล่าวของพ.ต.ท.ทักษิณ จากต่างประเทศ ตั้งแต่เข้าแวดวงการเมืองมา 4-5 ปี ตั้งแต่เข้ามาเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ก็ดี หรือขึ้นมาอยู่เวทีพันธมิตรฯ ก็ดี สิ่งหนึ่งที่ตน ตั้งใจอยู่ตลอดเวลาคือจะพูดอะไรที่เป็นสาระ เนื้อหา อุดมการณ์ความชอบธรรม หรือวิพากษ์วิจารณ์การดำเนินการของรัฐบาลระบอบทักษิณ ก็เพื่อให้เห็นความต่างว่าตนไม่เห็นด้วยอย่างไร ด้วยเหตุผลอันใด ไม่มีเจตนาหรือความมุ่งมั่นใดๆ ที่จะเอาเรื่องส่วนตัวมาพูดด้วย ตนมีความเป็นลูกผู้ชายและนักเลงเพียงพอ ที่จะไม่เล่นการเมืองใต้สะดือไม่เคยขึ้นไปกล่าวอะไรเกี่ยวกับพ.ต.ท.ทักษิณ ที่เป็นเรื่องส่วนตัวเลย ทุกสิ่งทุกอย่างโยงการทำงานของตัวพ.ต.ท.ทักษิณ หรือระบอบทักษิณ ซึ่งปกครองประเทศหลายๆ ประเทศ และความต่างของตนกับพ.ต.ท.ทักษิณ คือเรื่องเนื้องาน นโยบายต่างประเทศ หรือความไม่ถูกต้องในแง่ของความสุจริตในการบริหารราชการ ตลอดมาตนได้พูดกับพ.ต.ท.ทักษิณในสิ่งที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย และมีบันทึกรายงานขณะที่เคยเป็นที่ปรึกษาของพ.ต.ท.ทักษิณ อยู่ที่ทำเนียบ ช่วงปี 45 ไม่เคยเอาเรื่องส่วนตัวเข้ามา
นายกษิต กล่าวว่า “ลิ่วล้อของคุณทักษิณ ได้แสดงฝีมืออย่างเต็มที่ในสภาก็ทราบกันดีอยู่ เป็นเรื่องส่วนตัว สาดโคลนอะไรต่างๆ ก็ไม่ได้ทำให้รัฐสภาไทยสง่างาม แต่เป็นแค่ลิ่วล้อ มือปืนรับจ้าง สวะสังคมทั้งหลายก็ไม่ว่ากัน แต่วันนี้นายใหญ่ลงมาเล่นเอง ก็เป็นความยินดี ผมไม่อยากขึ้นเวทีชกกับเอฟวี่เวท แต่คุณทักษิณพร้อมเปิด ก็ขอต้อนรับด้วยความยินดี และขอท้าคุณทักษิณ เลยว่าอย่าเก่งแต่พูดคนเดียว เหมือนตอนเป็นนายกรัฐมนตรีก็พูดวันเสาร์คนเดียว ไม่กล้าไปสภา หนีสภาตลอดเวลา ไม่กล้าให้เวลาผู้นำฝ่ายค้าน หลีกเลี่ยงการปรากฎตัวที่สภา และมาบอกว่าวันนี้ข้าพเจ้าเป็นนักประชาธิปไตย ตัวเองสภาตลอดเวลาแต่มาบอกว่าเป็นนักประชาธิปไตยได้อย่างไร ไม่เคยคิดเล่นในระบอบรัฐสภา”
“คราวนี้คุณทักษิณลงมาเล่นเองแล้ว ก็ด้วยความยินดี ขอฝากคุณทักษิณว่าไอ้ลิ่วล้อทั้งหลายอย่าให้มาเกะกะหน้าตาผมได้ไหมครับ ออกไปห่างๆ พ่ายแพ้ในสภาหมดแล้ว ก็ออกมาตอแยผมนอกสภา จะเอายังไงแน่ จะเล่นกันบนท้องถนนหรือรัฐสภา เล่น 2 อย่างไม่ได้ เลือกเอาสักอัน ถ้าเกิดจะเล่นกันแล้วก็ขอท้าโต้วาทีกับคุณทักษิณ ให้คุณทักษิณ เลือกเวทีด้วย ไหนว่าพูดภาษาอังกฤษเก่งนัก เอาบีบีซีไหมครับ ซีเอ็นเอ็นไหม อัลจาซีร่าไหม แล้วก็เลือกเวทีด้วย จะเอาที่สันป่าตองก็ได้นะครับ ที่เชียงใหม่ก็ได้ ที่ฮ่องกงก็ได้ ดูไบ ที่ไหนคุณทักษิณ โอ้อวดว่ามีเพื่อนเอยะแยะในต่างประเทศ เวทีไหนก็ได้ หรือสเตเดี่ยมของแมนเชสเตอร์ซิตี้ก็ได้ ทุกเมื่อ พร้อมเสนอ ส่วนตัวผมมีเพื่อนๆเยอะแยะ ยาวเป็นเป็นแถวตั้งแต่พรรคประชาธิปัตย์ และเวทีพันธมิตร เลือกเอาเลย ได้เลยครับว่าเขาจะสู้กับท่านหรือไม่ อย่ามาทำอวดเก่งคนเดียว พูดคนเดียว ฟังคนเดียว และโอ้อวดโกหกพกลม ไม่เอาขอวจริงมาพูด พูดกันด้วยสาระเนื้อหา อุดมการณ์ อย่าบิดเบือนข้อเท็จจริง นี่เป็นข้อที่ 1”
นายกษิต กล่าวอีกว่า อันที่ 2 ตนมาเป็นรัฐมนตรี 3 เดือน และออกต่างจังหวัด เพราะนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี มีคำสั่งให้ออกต่างจังหวัด ในฐานะผู้ตรวจราชการ ในฐานะผู้หลักผู้ใหญ่ในสังคม ความมีเมตตา ความโอบอ้อมอารี ของผู้ใหญ่ส่วนหนึ่งคือให้สตางค์เด็กๆ ก็ทำมาโดยตลอด โดยเฉพาะกระทรวงต่างประเทศ เป็นประเพณีมาตลอด ทุกยุคทุกสมัย หากรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ เดินทางไปต่างประเทศนั้น จะมอบเงินส่วนหนึ่งให้เจ้าหน้าที่ชั้นผู้น้อย พนักงานท้องถิ่น หรือฝากไปทำบุญอะไรต่างๆ เหล่านี้
“คุณทักษิณ ให้สตางค์ผมหลายประเทศ ไม่เคยขอ และให้เอง เหมือนกับ ณ วันนี้ ทุกเช้า หรือวันพระ เราไปตักบาตร เอาของใส่บาตรให้พระภิกษุสงฆ์ ณ วันนี้ คุณทักษิณกำลังล้วงออกจากบาตร ถามว่าคุณทักษิณ เป็นมนุษย์หรือเป็นเปรต ในเมื่อทำบุญไปแล้ว ให้สตังค์ผมมาแต่ผมไม่ได้รับใช้ส่วนตัว แม้แต่สตางค์แดงเดียว เมื่อ 4 ปี ผมขึ้นเวทีพันธมิตรฯ มาเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ วันนี้ผมไม่ลืมตรงนี้ เพราะผมจะกลายเป็นลูกทาสของคุณพ่อทักษิณ ผมจะไม่มีความสง่างาม หากตกอยู่ในอำนาจของทักษิณ ฉะนั้นคุณทักษิณ ขอความกรุณาอย่าบิดเบือนข้อเท็จจริง สตางค์ทุกบาท ผมเรียนคุณทักษิณ ทราบว่าเอาไปทำอะไร ยกตัวอย่างที่อินโดนีเซีย พนักงานท้องถิ่นเงินเดือนพันกว่าบาท เมื่อให้มาผมก็แจกทั่ว ชาวประมงไทยถูกจับก็มานอนที่สถานทูต ก็เงินคุณทักษิณ ทั้งนั้น ศาสนาพุทธเริ่มที่จะกลับมาที่อินโดนีเซีย ก็เงินคุณทักษิณ ที่ไปทำบุญ คุณทักษิณ จะเอาเงินเหล่านี้คืนหรือครับ และมีเจ้าหน้าที่ท้องที่ 2 คนที่สถานทูตอินโดนีเซียตายไปแล้ว คุณทักษิณ จะตายไปนรกหรือสวรรค์หรือครับ แต่ผมคิดว่าถ้าไปสวรรค์คุณทักษิณ คงไปไม่ถึง คงไปอีกทางหนึ่ง จะไปทวงคืนเขาเหรอครับ และวันนั้นคุณทักษิณ เป็นผู้ใหญ่ในสังคมไทย มีเมตตาธรรม ความโอบอ้อมอารี และวันนี้จะมาทวงหนี้จากบุคคลเหล่านั้น”รมต.ต่างประเทศกล่าว
นายกษิต กล่าวอีกว่า ส่วนเรื่องที่ทวงหนี้ ที่เยอรมันตนริเริ่มทำกงสุลสัญจรกับผู้หญิงไทยที่เป็นผู้หญิงหากิน ชีวิตจะเริ่มใหม่ที่เยอรมันก็ไปวัดวาอาราม เราก็เอาคนไปอบรมเขาในเรื่องการทำวิปัสสนา หรืออยากทำบุญก็ใช้เงินพ.ต.ท.ทักษิณ เล็กน้อยไมกี่ตังก์ ไม่ทราบว่าจะทวงคืนหรือไม่ 1 ล้านบาท เอาหรือไม่มาล้วงจากปากไปเลย มนุษย์อะไรช่วยเหลือเขาไปแล้ว แต่อยากทวงคืน ก็ไปบอกชาวบ้านว่าขอทวงคืน ไม่ไหวแล้วผู้ใหญ่ที่เคยเป็นถึงข้าราชการของกระทรวง และอีกครั้งตอนที่มีพายุในรัฐหลุยเซนามีคนไทยที่ได้รับผลกระทบ ก็ขอให้นายกฯทักษิณช่วย ก็มอบเงินผ่านนายแพทย์พรหมมินทร์ เลิศสุริเดช มาให้ 2 หมื่นเหรียญ ทุกบาททุกสตางค์ก็ไปช่วยเหลือ จะทวงคืนหรือไม่ หรือคิดว่าตนยักหยอก อย่ามาทวงคืนกันเลยเรื่องแบบนี้มันบาปกรรม ช่วยเหลือเขาไปแล้ว และอย่ามาบิดเบือนข้อเท็จจริง นั้นคืออยากชี้แจงตนเป็นแค่ทางผ่าน ไม่เคยได้รับเงิน มีพอกินพอใช้ตามสภาพของตน
ส่วนประเด็นที่สาม เรื่องหนังสือเดินทาง เมื่อพ.ต.ท.ทักษิณบอกจะส่งคืน ก็ยินดีไปรับ ก็บอกสถานที่มา อย่าทำตัวเป็นตุ๊ดตู่ในกระบอกไม้ซ่อนอยู่ที่ไหนในโลกนี้ก็พร้อมจะบินไปหา หรือไม่ก็ส่งคืนมาได้ ไม่ใช้แล้วเมื่อมีพาสปอร์ตของประเทศอื่นแล้วก็ดี หรือจะสละสัญชาติไทยแล้วก็ยิ่งดี เพราะมันรกแผ่นดินที่จะมีคนอย่างพ.ต.ท.ทักษิณอยู่ในแผ่นดิน ไม่ใช้แล้วก็ส่งมา ทำจริงพูดจริงก็ขอให้ส่งกลับมา หรือไม่มีเงินแล้วตนก็ยินดีออกเงินค่าพาสปอร์ต หากจะให้ไปรับก็บอกมาว่าที่ไหน ยินดีไปทุกเมื่อ และจะได้หิ้วไวน์ไปด้วยสัก 2 ขวด เพื่อดื่มไวน์ด้วยกันในฐานะเพื่อนเก่าที่เคยวาดหวังอนาคตมาด้วย
สำหรับเรื่องตำแหน่งที่มาบอกว่าตนอย่างนั้นอย่างนี้ เราแชร์อุดมการณ์มาตั้งแต่ปี 1994 ตนเป็นทูตอยู่ที่อินโดนีเซีย ท่านเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ และท่านมาเยือนอินโดนีเซียเป็นประเทศแรก ตนถูกคอกัน ตนก็หลงรักพ.ต.ท.ทักษิณ เหมือนคนอื่น ๆ ว่าเป็นคนสมัยใหม่ประสบความสำเร็จในธุรกิจ แต่ไม่เคยรู้ตื้นลึกหนาบางของเขา เมื่อมาเป็นรัฐมนตรีในกระทรวงต่างประเทศและอยากทำงานการเมือง ตนก็ชื่นชมยินดีก็ชวนผมลงเขต 2 พรรคพลังธรรม กทม. และตอนหลังก็มาชวนลงผู้ว่ากทม. แต่เมื่อพล.ต.จำลอง ศรีเมือง กลับมาที่พรรคพลังธรรม นี่คือที่มาที่ไป ก็เคยแนะนำนโยบายให้พรรคพลังธรรม ลางานมา 2 อาทิตย์ มาที่ตึกชินวัตรเพราะคิดว่าจะร่วมกันสร้างประเทศไทยให้เป็นเลิศ ก็ติดต่อกันมา เมื่อตนเป็นทูตที่เยอรมันท่านไปหาหลายครั้งทุกครั้งที่ติดต่อเรื่องโทรศัพท์กับบริษัทซีเมนส์ก็มาหาก็คุยกันว่าจะทำให้ประเทศไทยเป็นเลิศ จนกระทั่งกลางปี 43 ก่อนเลือกตั้ง 5-6 เดือน ก็โทรมาหาตนว่าไปหากันหน่อยที่เมืองดุสเซลดอร์ฟ เมืองโคโลญน์ว่าจะพานายพานทองแท้ ชินวัตร มาร่วมงานโฟโต้เอ็กซิบิชั่น และก็เคยพูดบนเวทีพันธมิตรฯว่าภรรยาก็ใจหายว่าพ.ต.ท.ทักษิณก็คงจะเชิญมาร่วมงานแน่ และก็จริงว่าจะแชร์อุดมการณ์ว่าต้องทำให้เราเป็นเลิศแข่งกับเกาหลีใต้ และคาดหวังจะทำสำนักนายกรัฐมนตรีให้เป็นแบบไวน์เฮ้าท์ เพราะทุกอย่างในยุคโลกาภิวัตน์มันวิ่งเข้ามาที่ตัวนายรัฐมนตรี ดังนั้นต้องเคลื่อนไหวเร็วสู้เขาได้ มีเทคโนโลยีในการบริหารราชการ มีห้องที่เรียกว่า ชิมูเรชั่นรูม ว่ามีเหตุการณ์อะไรในประเทศไทย ฝนตกน้ำท่วมต้องเห็นสั่งการได้ทันที นั่นคือ การขายอุดมการณ์ความฝัน ภายใต้ชื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็คุยกันอยู่ และพ.ต.ท.ทักษิณก็บอกว่าถ้าเข้ามาเป็นรัฐบาลขอให้มาช่วยงานที่ทำเนียบ ตนก็ยุติหน้าที่ทูตและมาเป็นเอกอัครราชทูตประจำกระทรวง แต่ช่วยราชการที่สำนักเลขาธิการนายกฯ ก็นั่งอยู่ก็ทำงานกัน และได้มอบหมายให้ทำงานหลายเรื่อง เช่น เรื่องเพชรซาอุดิอาระเบีย ก็ลงพื้นที่ภาคใต้และทำบันทึกขึ้นมาเสนอให้ปฏิรูปสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ต้องโยกย้ายตำรวจ พ.ต.ท.ทักษิณก็บอกว่าทำไม่ได้ เพราะเป็นบ้านของเขา และตอนนี้สังคมไทยเป็นอย่างไร ฉะนั้นอย่ามาบอกอย่างนั้นอย่างนี้ สิ่งทีเสนอไปคืออนาคตของบ้านเมือง ไม่ใช่อ่านไม่รู้เรื่องแต่ไม่อยากฟังสิ่งที่เสนอไป และเมื่อพ.ต.ท.ทักษิณ ล้างมือในการเมืองไป ดร.สมคิด จาตุรศรีพิทักษ์ ก็มาชวนให้มาช่วยงาน และคงไปขึ้นเวทีพันธมิตรมากไป ก็ขอถอนตัวออกมา และให้เหตุผลว่าเพราะชนกับนายเก่าเต็มที่แล้ว และไม่มีอะไรที่ไม่ชอบ พ.ต.ท.ทักษิณเป็นการส่วนตัว แต่เป็นเรื่องที่คุยกันไว้ในทุกที่ มันเป็นสิ่งที่ไม่ได้ทำอย่างที่พูดกันไว้ ส่วนมุมมองของเขาก็เห็นว่าตนเป็นศัตรูกับเขา ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องว่าไม่ถูกกันเพราะมาแย่งผู้หญิงคนเดียวกัน แต่เป็นเรื่องของอุดมการณ์ที่ไม่ตรงกัน ที่เห็นว่าระบอบทักษิณ ไม่มีธรรมาภิบาลก็เท่านั้นเอง และที่สู้กันมาก็ไม่สู้ในทางลับ สู้กันบนถนน ในเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่รักกันมา แต่ก็มาแตกกันเพราะการบริหารบ้านเมืองมันเป็นอื่น ซึ่งในวันหนึ่งก็ยังสามารถมานั่งคุยกันได้ตลอดเวลา เพราะไม่เคยที่จะบอกว่าไม่ชอบเป็นการส่วนตัว
วันนี้ก็ไม่มีไพ่อะไรจะเล่นแล้ว นอกจากจะพยายามขุดคุ้ยทำตัวเป็นหนอนอยู่ในโคลนตรมในสิ่งที่มันเน่าเฟะ ว่ามันมีอะไรในก่อไผ่ที่จะกระทืบผมจนดินได้ หมดปัญญาแล้วหรือ ไม่นักเลงพอแล้วหรือ ถึงให้ขุดคุ้ยและให้ลิ่วล้อทั้งหญิงทั้งชายขุดคุ้ยดูสิว่าเป็นอย่างไร เปียโนผมอยู่ไหนก็อยู่ที่บ้าน ผมซื้อมาแบบมือสองหนักกบาลใครหรือเปล่า และถ้าอยากจะเรียนก็พร้อมจะสอนด้วย ราคาไม่กี่สตางค์ หากมันไม่ได้กรอกแสดงในทรัพย์สินก็พร้อมที่จะถูกลงโทษ แต่ไม่มีอะไรที่จะต้องปกปิด ผมอยู่ทาวน์เฮ้าว์นักข่าวก็เห็นสภาพ ไม่ได้เป็นอีแอบซ่อนความร่ำรวย ไม่มีประวัติไม่มีในแบบนี้ และเลิกทำตัวเป็นหนอนได้แล้ว อยากจะรู้อะไรก็มาถามผมได้ ผมชี้แจงได้ ไม่อย่างนั้นไม่ขึ้นมายืนตรงนี้ ไม่มาเป็นรัฐมนตรี และคงมาสู้กับพ.ต.ท.ทักษิณ ในที่แจ้ง และขอท้าพ.ต.ท.ทักษิณที่ไหนก็ได้ทุกเวที เอากันไหม และมาข่มขู่ประชาชนว่ามีกองกำลังทหาร ตำรวจ มีทหารเสื้อแดง ผมมีมากกว่าพ.ต.ท.ทักษิณ จะรบที่ไหนวิธีใดก็ได้ แต่ผมไม่เคยวิงวอนให้พี่น้องออกมาแสดงพลังสู้ แล้วออกมาฟัดคนของคุณ หรือจะเอาตรงเกาะกง เกาะกูด ก็ได้ อย่าคิดว่าตนเองเป็นตท.10 แล้วมีเงิน จะบงการสังคมได้ และจะเอากองกำลังกุ้ย พวกไม่รักชาติ รักสถาบันทั้งหลาย จะใช้คนพวกนั้น ก็จะข่มขู่ผมได้ จะเอาทุกรูปแบบได้ทั้งนั้น และขอท้าด้วย แต่ผมรู้ว่าพ.ต.ท.ทักษิณ เป็นคนขี้ขลาด พูดเก่งอย่างเดียวคือผ่านไมโครโฟน หนีสภา หนีการโต้วาที หนีศาล และมาด่าผมว่าเป็นผู้ก่อการร้ายสากล พ.ต.ท.ทักษิณไปจบโรงเรียนายตำรวจ จบเมืองนอกได้อย่างไร แยกแยะอะไรไม่ถูกว่าผู้ก่อการร้ายสากลกับการพูดบนเวที เพื่อแสดงความคิดเห็นและอุดมการณ์สิ่งที่ไม่ดีในแวดวงการเมืองไทย อย่ามาสาดโคลน ใส่ร้าย เหมือนเด็กเมื่อวานซีนว่าไม่รู้จะทำอย่างไรก็ให้อีกฝ่ายโกรธ และหันเหสิ่งที่ถูกต้องไม่ให้มันถูกต้องมันไม่ใช่วิสัยของคนที่สง่างาม ไม่ใช่วิสัยของนักเรียนทุน ไม่ใช่วิสัยคนที่จบโรงเรียนนายร้อยตำรวจ และเมื่อสาดโคลนผมแล้วก็พยายามหาเรื่องฟ้องร้องคดีผมว่าไปกล่าวหาว่าอยากเป็นประธานาธิบดี ก็รู้อยู่แก่ใจว่าอยากเป็นอะไร หมดท่าแล้วก็วิ่งไปหาศาล ก็จำกันได้ว่าพ.ต.ท.ทักษิณเคยบอกว่ากระบวนการยุติธรรมไม่มี หนีศาลหนีคุกหนีตารางอยู่ แต่ก็พยายามจะจ้างทนายฟ้องร้องกับคู่ต่อสู้กับนักการเมือง ก็แสดงว่าพ.ต.ท.ทักษิณเคารพแล้วซึ่งกระบวนการยุติธรรม เมื่อฟ้องคนอื่นได้ทำไมตัวเองไม่เข้าสู่แวดวงคุก ตาราง เป็นนายตำรวจ เป็นนายกฯ มาแต่หนีคุก และพยายามบ่อนทำลายประเทศไทย ดีแล้วที่จะคืนพาสปอร์ตให้ ช่วยส่งบัตรประจำตัวให้ด้วย อยากไปเป็นพลเมืองของประเทศไหนก็เชิญ อย่ามาตอแยกับประเทศไทย สังคมต้องการเดินหน้า ไม่ต้องการเผด็จการรัฐสภา ไม่ต้องการคนที่มาจากการเลือกตั้งแต่ทำตัวเป็นฮิตเลอร์ และเมื่อผมพูดแบบนี้ก็ฟ้องผมอีก เพราะถือเป็นไพ่ใบเดียวที่เหลืออยู่คือกระบวนการยุติธรรม แต่ก่อนที่จะฟ้องผมก็กลับมาเข้าคุกก่อน แล้วมาเริ่มกันตรงนี้ อย่าทำตัวเป็นมนุษย์ขี้ขลาด ผมไม่อยากใช้คำว่า “หน้าตัวเมีย” แต่ในที่สุดก็ต้องใช้คำนี้ เพราะพ.ต.ท.ทักษิณ คงไม่กล้าที่จะกลับมาเผชิญกับความเป็นจริง และก็อย่าใช้ลิ่วล้อมาพาดกับผม ให้มาพาดกับผมตัวต่อตัวในทุกเวที ทุกรูปแบบ พร้อมเสมอ ผมไม่เคยติดอาวุธ เพราะไม่มีเงิน ไม่เคยเป็นตำรวจหรือทหาร มีตัวแค่นี้ แต่อย่ามาหยามกัน อย่าเล่นสกปรกกันอีกเลย และที่เคยพูดในสภา ผมสู้ไม่ถอยจนชีวิตจะหาไม่ หากจะเอาคุณลงให้ได้ เอาแน่นอน ซึ่งก็ขอโทษที่ใช้เวทีของกระทรวงต่างประเทศ ทั้งที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องต่างประเทศ แต่เมื่อเวลารอกันไม่ได้ก็เอาตรงนี้
ส่วนเรื่องที่นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ส.ว.สรรหา ยื่นตรวจสอบการถือหุ้นของภรรยา ว่า ในการกรอกข้อมูลเพื่อยื่นต่อป.ป.ช.ตนได้ทางป.ป.ช.ช่วยดูให้แล้ว มีคนตรวจสอบ ไม่ใช่หุ้นอย่างที่เข้าใจ ก็เสียใจว่า ส.ว.ท่านนี้เป็นนักกฎหมายแต่ก็น่าจะรู้และแยกแยะรายละเอียดได้ ซึ่งขณะนี้ได้ให้ทางเจ้าหน้าที่ธนาคารที่นำเงินไปฝาก ดูรายละเอียดของเอกสาร และเรียบเรียงเป็นภาษา และจะแจกจ่ายให้สื่อมวลชนทราบแน่นอน ซึ่งหากมันเป็นความผิดพลาดที่เกิดจากความไม่รู้และได้รับคำแนะนำที่ผิดพรุ่งนี้ก็จะเป็นแค่ประชาชนที่พร้อมจะชนกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้เหมือนกัน
วันที่ 31/3/2009
เมษายน 2, 2009 ที่ 9:32 am
kasitta
31/03/52“กษิต”ซัด “แม้ว” รกแผ่นดิน ท้าชนผ่านสื่อต่างประเทศที่ไหนก็ได้
http://www.managerradio.com/radio/DetailRadio.asp?program_no=1026&mmsID=1026/1026-2603.wma+&program_ID=23102
เมษายน 2, 2009 ที่ 9:34 am
kasitta
http://www.manager.co.th/Multimedia/ViewVideo.aspx?NewsID=9520000036537
เมษายน 2, 2009 ที่ 1:17 pm
jakrapob
ระวังมีอันเป็นไป องคมนตรีเตือนแก๊งโจมตีสถาบัน/ทูตสหรัฐพบ’เปรม’
3 เมษายน 2552 – 00:00
องคมนตรีลั่น ใครทำไม่ดีกับสถาบันมักมีอันเป็นไป ยกกบฏแมนฮัตตันเตือนสติ ชี้เหตุความขัดแย้งระหว่างนักการเมืองและข้าราชการเกิดจากนิสัยคอรัปชั่น ฝ่ายบริหารแสวงหาอำนาจ เงินงบประมาณ ยอมรับได้ข้อมูลใหม่ๆ แต่ไม่กล้าเล่าให้ฟัง ทูตสหรัฐเข้าพบหารือ “เปรม” ศิษย์เก่าสวนกุหลาบตบเท้าให้กำลังใจ
ขณะที่ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ และองคมนตรีอีก 2-3 คนถูกโจมตีจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่หนีโทษจำคุก 2 ปีจากคดีทุจริตการซื้อขายที่ดินย่านรัชดาภิเษกไปต่างประเทศ และกลุ่มคนเสื้อแดงซึ่งเป็นบริวารกล่าวหาว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการปฏิวัติวันที่ 19 กันยายน 2549 นั้น มีการแสดงความเห็นจากองคมนตรีท่านอื่นซึ่งไม่เคยปรากฏเป็นข่าวก่อนหน้านี้
“เป็นที่โชคดีที่เรามีสถาบันพระมหากษัตริย์องค์ปัจจุบันที่เป็นตัวอย่างที่ดีให้กับข้าราชการและประชาชน ในใจผมเชื่อเสมอว่า หากใครทำไม่ดีกับสถาบัน คนเหล่านั้นมักจะมีอันเป็นไป เช่น เหตุการณ์กบฏแมนฮัตตัน เป็นต้น เพราะผมเคารพบูชาพระมหากษัตริย์ซึ่งทรงเป็นพระประมุข เป็นจอมทัพไทย ทรงใช้พระราชอำนาจเพื่อปวงชนชาวไทย และพระองค์ก็ไม่เคยล่วงละเมิดรัฐธรรมนูญเลย อย่างที่ผ่านมานายกรัฐมนตรีถึง 18 คน หรือ รมว.เกษตรฯ ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ มีโอกาสเข้าถวายงานพระองค์ แต่บางคนเขากลับไม่เชื่อและไม่ปฏิบัติตาม แต่ดีที่เขายังรับใส่เกล้าฯ”
นายอำพน เสนาณรงค์ องคมนตรี แสดงปาฐกถาในงานวันข้าราชการพลเรือนประจำปี 2552 ที่สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) นนทบุรี ภายใต้หัวข้อ “ข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เพื่อชาติ และประชาชน” เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา
องคมนตรีผู้นี้กล่าวว่า เป็นห่วงต่อสถานการณ์บ้านเมืองที่เกิดขึ้นในขณะนี้ โดยเฉพาะช่วงนี้มีการโฟนอินอะไรต่ออะไรมา ดังนั้นในฐานะองคมนตรีจึงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ การมาพูดอะไรในที่ชุมนุมชนจึงต้องมีความระมัดระวัง ทั้งการใส่เสื้อสีต่างๆ หรือการพูดในเนื้อหาอะไร ดังนั้นอะไรที่ได้ยินมาจึงไม่กล้าที่จะนำข้อมูลอะไรใหม่ๆ มาเล่าได้ เพราะไม่สมควรที่จะมาเล่าในที่ชุมนุมชน
นายอำพนบอกว่า ความขัดแย้งของข้าราชการการเมืองต่อข้าราชการการเมือง ความขัดแย้งของข้าราชการประจำต่อข้าราชการประจำ และความขัดแย้งของข้าราชการการเมืองต่อข้าราชการประจำ มีจำนวนมาก และความขัดแย้งส่วนใหญ่สาเหตุที่วิเคราะห์กันเกิดขึ้นจากปัญหาการคอรัปชั่นที่เกิดมาช้านานจนกลายเป็นประเพณีไทย
“นิสัยการคอรัปชั่นก็เกิดการแสดงสิทธิที่เกิดขึ้น จะมากจะน้อยแล้วแต่ฝ่ายบริหารที่เข้ามาบริหารบ้านเมือง และมักเกิดขึ้นในกระทรวง กรมที่มีอำนาจสูง มีความสำคัญทางการเมือง มีงบประมาณมีเงินเพื่อจัดซื้อจัดจ้างจัดทำโครงการขนาดใหญ่ เมื่อมีเงินก็ต้องมีตำแหน่งสำคัญๆ โดยเฉพาะการติดต่อนาย ที่ส่วนมากจะเป็นนักการเมือง จนนำมาสู่การกล่าวหาทางการเมืองและเป็นการกล่าวหาที่เสื่อมเสีย”
องคมนตรีผู้นี้หยิบยกรัฐธรรมนูญปี 2550 ตามมาตรา 259-280 และ พ.ร.บ.ข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 ในหมวด 5-11 มาตรา 28-129 ถือเป็นส่วนหนึ่งที่จะเป็นแนวทางให้ข้าราชการสามารถนำมาปฏิบัติ ทั้งการตรวจสอบการใช้อำนาจ การกระทำที่ขัดต่อประโยชน์ของชาติ รวมถึงการดำเนินคดีอาญาและจริยธรรมทั้งข้าราชการและนักการเมือง ซึ่งกฎหมายเหล่านี้ข้าราชการสามารถที่จะนำมาอุทธรณ์หากพบว่าไม่ได้ความเป็นธรรมจากนักการเมือง ข้าราชการที่ไม่ต้องการพายเรือให้โจรนั่ง รวมทั้งสมาคมข้าราชการพลเรือนก็ถือเป็นทางออกต่อข้าราชการที่ดี
วันเดียวกันนี้ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ในฐานะรักษาการนายกรัฐมนตรี ใหสัมภาษณ์ว่า รัฐบาลต้องกราบขออภัยประธานองคมนตรีที่ต้องพลอยได้รับความเดือดร้อนและกระทบกระเทือน ซึ่งรัฐบาลพยายามที่จะดูแลสถานการณ์อย่างดีที่สุด ทั้งนี้ ได้ฝากให้ ผบช.น.กำชับเจ้าหน้าที่ตำรวจดูแลสถานการณ์เป็นพิเศษ เพราะที่ผ่านมากลุ่มเสื้อแดงเคยไปพังบ้านพักของ พล.อ.เปรมแล้วครั้งหนึ่ง ส่วนจะขอกำลังทหารเข้ามาช่วยดูแลหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับ ผบช.น. ในฐานะที่เป็นผู้ควบคุมดูแลสถานการณ์จะเป็นคนตัดสินใจเอง
ที่บ้านพักสี่เสาเทเวศร์ นายอีริค จี. จอห์น เอกอัครราชทูตสหรัฐประจำประเทศไทย เดินทางมาเข้าพบ พล.อ.เปรม ซึ่งเป็นการหารือกันสองต่อสอง คาดว่าคงเป็นการสอบถามสถานการณ์ทั่วไป
ในช่วงเวลาเดียวกัน นายพิเชียร อำนาจวรประเสริฐ, นายวีระ สมความคิด พร้อมด้วยตัวแทนศิษย์เก่าโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย รุ่นที่ 88-90 เดินทางมามอบดอกไม้ให้กำลังใจ พล.อ.เปรม โดยตัวแทนศิษย์เก่าที่เดินทางมาครั้งนี้มีประมาณ 10 คน ทั้งที่ก่อนหน้านี้สมาคมศิษย์เก่าฯ ได้แจ้งกำหนดการครั้งนี้ไปยังรุ่นต่างๆ ให้เดินทางมาให้กำลังใจ
นายวีระ สมความคิด ประธานเครือข่ายต่อต้านการคอรัปชั่น ในฐานะศิษย์เก่าสวนกุหลาบวิทยาลัย รุ่น 90 กล่าวว่า เมื่อมีศิษย์เก่าของโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัยถูกรังแก เราจึงรับไม่ได้ และยอมไม่ได้ ไม่เห็นด้วยที่ใครจะมารังแก พล.อ.เปรม ตนและศิษย์เก่าจึงมาให้กำลังใจท่าน ที่ผ่านมาถูก พ.ต.ท.ทักษิณโจมตี ยืนยันว่าไม่ได้เดินทางมาในนามกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แต่เป็นห่วงรุ่นพี่ ทั้งนี้ไม่อยากให้บ้านเมืองเกิดความแตกแยก
“หากกลุ่มเสื้อแดงยังคงชุมนุมยืดเยื้อต่อไป เกรงว่าจะเกิดการปะทะกับคนเสื้อเหลืองหรือพันธมิตรฯ ได้ ไม่ว่าคนเสื้อแดงหรือเสื้อเหลืองก็มีศิษย์เก่าสวนกุหลาบฯ ทั้งสิ้น ทั่วประเทศมีหลายหมื่นคน อยากให้สองฝ่ายมานั่งคุยกันอย่างจริงจัง โดยเชื่อว่าขณะนี้ยังสามารถคุยกันได้ไม่มีปัญหา คิดว่าจะนัดหารือกันในวันเสาร์หรืออาทิตย์นี้” นายวีระกล่าว
ด้านนายพิเชียรกล่าวว่า ศิษย์เก่าสวนกุหลาบฯ ไม่มีเสื้อเหลืองเสื้อแดง แม้ขณะนี้ศิษย์เก่าของสวนกุหลาบฯ จะมีนายเนวิน ชิดชอบ, นายจาตุรนต์ ฉายแสง ยังพูดคุยกันได้ไม่มีปัญหา ไม่เคยขัดแย้ง และถ้าจำเป็นตนจะเป็นคนเชิญศิษย์เก่าสวนกุหลาบฯ พูดคุยกัน เพราะหากเราสามารถเชื่อมจุดเล็กๆ ได้ ก็จะนำไปสู่จุดใหญ่ๆ ได้ เราชาวสวนกุหลาบฯ จะแสดงให้เห็นความรักความสามัคคี
พล.ร.ท.พะจุณณ์ ตามประทีป ซึ่งรับช่อดอกไม้แทน พล.อ.เปรม ได้กล่าวว่า พล.อ.เปรมฝากขอบคุณทุกคนที่เดินทางมาให้กำลังใจ ยืนยันว่า พล.อ.เปรมยังมีความหนักแน่น
ผู้สื่อข่าวถามว่า พล.อ.เปรมจะเปิดบ้านให้ข้าราชการทหารตำรวจเข้ารดน้ำดำหัวเนื่องในเทศกาลสงกรานต์ประมาณวันที่ 10 เมษายนนี้หรือไม่ พล.ร.ท.พะจุณณ์ตอบว่า ในปีนี้คงต้องรอดูสถานการณ์วันที่ 8 เมษายนนี้ก่อน แต่ พล.อ.เปรมมีกำหนดการเดินทางไปร่วมงานวันสัญญาธรรมศักดิ์ ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ศูนย์รังสิต ในวันที่ 5 เมษายนนี้ด้วย
ม.ล.ปนัดดา ดิสกุล โฆษกกระทรวงมหาดไทย ฝ่ายความมั่นคง กล่าวภายหลังนายอีริค จี. จอห์น เข้าพบนายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทย ที่กระทรวงมหาดไทย ว่าได้มีการหารือกันถึงเรื่องทั่วๆ ไป ซึ่งนายอีริคได้แสดงความขอบคุณประเทศไทยที่ให้ความช่วยเหลือจัดตั้งค่ายผู้ลี้ภัย รวมทั้งขอให้สถานการณ์ทางการเมืองของประเทศไทยรีบกลับสู่สภาวะปกติโดยเร็ว
ทั้งนี้ นายอีริคได้เดินทางมาพบนายชวรัตน์หลังจากเข้าพบ พล.อ.เปรม
มีรายงานว่า ในวันที่ 3 เมษายน เวลา 10.00 น. พล.อ.เปรมมีกำหนดการจะเดินทางมาพักผ่อนที่บ้านไร้กังวล เลขที่ 1885 ถ.สืบศิริ หน้ากองบัญชาการช่วยรบที่ 2 ต.ในเมือง อ.เมืองฯ จ.นครราชสีมา พร้อมกันนี้ พล.ท.วิบูลย์ศักดิ์ หนีพาล แม่ทัพภาคที่ 2, พล.ต.ท.กฤษฎา พันธุ์คงชื่น ผบช.ภ.3 และนายประจักษ์ สุวรรณภักดี ผวจ.นครราชสีมา นำผู้ว่าราชการจังหวัด 19 จังหวัดภาคอีสาน และข้าราชการ พ่อค้า ประชาชน กลุ่มพลังมวลชน ชมรมคนรักป๋าเปรมโคราช และสามล้อเมืองย่าโม เตรียมจะเข้ามอบดอกไม้ให้กำลังใจ
แต่คนเสื้อแดงในนครราชสีมายืนยันว่า จะมีการชุมนุมประท้วงขับไล่ พล.อ.เปรมแน่นอน โดย น.ส.ปภัสชนัญญ์ ฉิ่งอินทร์ แกนนำเสื้อแดงโคราช เผยว่า กลุ่มคนเสื้อแดงโคราชจะไปชูป้ายประท้วงขับไล่ที่บริเวณหน้าบ้าน เพราะพวกเราไม่พอใจที่ป๋าเปรมเปลี่ยนไปด้วยการวางตัวไม่เป็นกลาง เข้าไปยุ่งกับการเมือง อยู่เบื้องหลังการทำปฏิวัติรัฐประหารและเป็นผู้บงการให้พรรคประชาธิปัตย์จัดตั้งรัฐบาล
เธออ้างว่าขณะนี้ทุกคนรู้เบื้องหลังป๋าเปรมหมดแล้ว จึงขอขับไล่ป๋าเปรมให้พ้นจาก จ.นครราชสีมา และให้ลบชื่อป๋าเปรมออกจากการเป็นพลเมืองกิตติมศักดิ์ของ จ.นครราชสีมาด้วย
ด้าน พ.ต.อ.พนันชัย ชื่นใจธรรม ผกก.สภ.โพธิ์กลาง อ.เมืองฯ นครราชสีมา เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้ตำรวจ สภ.โพธิ์กลางทุกนายเตรียมความพร้อมเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยที่บ้าน พล.อ.เปรม ริมถนนสืบศิริ ต.ในเมือง อ.เมืองฯ ในวันที่ 3 เมษายนไว้แล้ว 145 นาย
ที่อาคารมูลนิธิ 111 ไทยรักไทย นางเลิ้ง เมื่อเวลา 16.00 น. นายวรพล ธรรมิกบุตร อาจารย์คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในฐานะแนวร่วมนักกฎหมายนักวิชาการเพื่อสิทธิมนุษยชนและสันติภาพ ใช้สถานที่ของนักการเมืองแถลงข่าวเรื่อง “ความศักดิ์สิทธิ์ขององคมนตรีกับความเสื่อมส่วนบุคคล” ว่า ขณะนี้แนวร่วมได้รับทราบข้อมูลส่วนหนึ่งที่บ่งชี้ว่ามีองคมนตรีส่วนหนึ่งไม่เห็นด้วยกับการกระทำขององคมนตรีบางคนที่ยุ่งเกี่ยว ชี้นำการเมือง ใช้อำนาจเข้าแทรกแซง จนทำให้ประชาชนสับสน เสื่อมศรัทธาในสถาบันองคมนตรี ทั้งที่เป็นความรับผิดชอบส่วนบุคคล ทำให้สถาบันองคมนตรีเสื่อมเสีย เพราะองคมนตรีเป็นสถาบันศักดิ์สิทธิ์ สภาพแบบนี้ สถาบันอื่นๆ เช่น สถาบันตุลาการ สถาบันวิชาการ ก็มีสภาพเช่นเดียวกัน คือมีบางคนในสถาบันเหล่านี้ใฝ่อำนาจและผลประโยชน์เข้ามายุ่งการเมืองจนทำให้สถาบันเสื่อม
ถามว่า สิ่งใดที่อ้างว่าองคมนตรีบางคนทำให้เกิดความเสียหาย นักวิชาการผู้นี้ตอบว่า องคมนตรีบางคนแสดงออกด้วยการกระทำและคำพูดทางการเมืองที่เผยแพร่ไปยังสื่อ อีกทั้งการที่องคมนตรีบางคนลาออกเพื่อเข้ารับตำแหน่งนายกฯ ในช่วงการรัฐประหาร เรื่องนี้โดนตีความจากประชาชนว่า สถาบันองคมนตรีส่งเสริมอำนาจนอกระบบ
ซักว่าองคมนตรีท่านใดที่ไม่เห็นด้วยกับองคมนตรีบางส่วน นายวรพลกล่าวว่า เมื่อถึงเวลาจะปรากฏความจริง เหมือนการกระทำของบางคนที่วันนี้ได้ปรากฏความจริงออกมา.
เมษายน 3, 2009 ที่ 9:07 am
arnut
อาณัติ”สัตย์-อสัตย์”โองการแห่งบ้านเมือง
3 เมษายน 2552 – 00:00
นั่งดูตำรวจในเครื่องแบบ และทหารในชุดครึ่งท่อน สวมเสื้อคอกลมสีขี้ม้าทยอยตบเท้าเข้ารับเครื่องแบบ “กองทัพแดง” จากมือนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แล้วขมีขมันสวมทับเครื่องแบบของชาติด้วยอาการลิงโลด ดีอก-ดีใจทางข่าวโทรทัศน์บ่ายวานนี้ (๒ เม.ย.) ก็อดภูมิใจแทนทักษิณไม่ได้ว่า บารมียังเจิดจ้ากดทับบารมี “บิ๊กตำรวจ-บิ๊กทหาร-บิ๊กรัฐบาล” ไม่ว่าหน้าไหนทั้งนั้น และที่สำคัญ วันนี้ “ณัฐวุฒิ-จตุพร” ขึ้นชั้น “ขุนพลเอกซ้าย-ขวา” รบเคียงบ่า-เคียงไหล่ “แม่ทัพใหญ่” นามว่าทักษิณไปแล้ว ดูลีลาณัฐวุฒิประชุมขุนศึกวางแผนป่วนกรุง ราศีเหนือชั้นรัฐมนตรีกลาโหมนามว่า “พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ” เช่นเดียวกับ “จตุพร พรหมพันธุ์” เชิงชั้นเขย่าขวัญ-ชิงเมือง เฟื่องขึ้นทาบ “พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา” ผบ.ทบ.นั่นเชียว!
ตำราพิชัยสงครามของซุนวูบอกว่า “ใต้ธงรบกองทัพที่เข้มแข็งย่อมไม่มีทหารเลว และทหารที่แกล้วกล้า ย่อมแสวงหาผู้บังคับบัญชาทัพที่เข้มแข็ง” เพราะเหตุนี้กระมัง “ตำรวจ-ทหาร” บางส่วนจึงไม่แยแส “ระบบรัฐ” ในสังกัดประชาธิปัตย์ผสมพันธุ์เนวิน พากันสลัดตัวออกไปสังกัดกองทัพแดงหวังตะแคงแผ่นดิน
เมื่อวานได้ยิน “นายชัย ชิดชอบ” ประธานรัฐสภาออกมาเล่นปริศนาอักษรไขว้ ว่าในอีกไม่กี่วันนี้ จะมี “คนกลาง” ที่ทุกฝ่ายเคารพนับถือออกมาไกล่เกลี่ยความแตกแยกให้กลับคืนดีกัน แถมบอกเสียด้วยว่าคนคนนั้น เป็นคนมีบุญบารมี
ก็ไม่ทราบว่าท่านหมายถึงใคร แต่จะเป็นใครก็ช่างเถอะ ถ้าสามารถทำให้ทั้ง ๒ ฝ่าย หรือทุกฝ่ายเชื่อฟัง ยุติความขัดแย้ง แล้วนำประเทศไทยคืนสู่ระบบได้ ก็จะเป็นคุณูปการยิ่งใหญ่กับประเทศไทย และคนไทยถ่ายเดียว!
คอยดูอย่างที่ “ปู่ชัย” ท่านว่าละกัน แต่ผมว่านับแต่วันที่ ๒ เมษาเป็นต้นไป “อะไรก็เกิดขึ้นได้” เพราะดินระเบิดกับไฟ ต่างฝ่าย-ต่างตระเตรียมพร้อมอยู่ในใจกันเรียบร้อยแล้ว ขึ้นอยู่แต่ว่า ทั้งสองอย่างจะมาประจวบกันเมื่อไหร่เท่านั้น
และก็…เมื่อนั้นแหละครับ!
เพราะผมดูทักษิณแล้ว ตกอยู่ในอาการ “คนไฟธาตุแตก” ออกอาการทุรน-ทุรายขั้นสุดท้าย ถ้าให้ไปยืนแก้ผ้ารำกลางถนนแลกกับได้กลับประเทศไทยโดยไม่มีประตูคุกรออยู่-แกเอาแน่ ฉะนั้น เที่ยวนี้จึงเป็นเที่ยวบินสุดท้าย “ตายเป็นตาย” มีเท่าไหร่ยอมเกหมดหน้าตัก (คนอื่น) ขนาดสั่ง “ระดมพล” ทั้งประจำการและนอกประจำการ บ้านเลขที่ ๑๑๑ และบ้านเลขที่ ๑๐๙ ติดอาวุธ พร้อมรบประจัญบาน
นอกจากหน่วยรบแล้ว “หน่วยเสธ.” ก็ถูกสั่งระดมเข้าห้องกระจกวางแผน ต้องเข้าใจกันอยู่อย่างว่า หน้าที่ “เสนาธิการ” ไม่ได้มีเพื่อตาย แต่มีเพื่อ “นั่งห้องแอร์” แล้วสั่งให้คนอื่นไปตายแทน..เพื่อเป้าหมาย!
ใครที่ไม่เคย “ห่างบ้าน-ห่างเมือง” ไปอยู่ที่ไหนนานๆ จะไม่รู้ซึ้งถึงหัวอกหรอกว่า “โรคบ้า-คิดถึงบ้าน” มันจะสร้างความวิปริต-ฟุ้งซ่านให้ขนาดไหน ต่อให้มีเรือบินส่วนตัวอยู่แทนคฤหาสน์จันทร์ส่องหล้า จิบไวน์ขวดละแสน หม่ำสเต๊กได้เต็มคำ มันก็สู้นุ่งผ้าขาวม้ากินไข่คว่ำอยู่กะบ้านไม่ได้
ยิ่งเห็น “หน่อพันธุ์อำนาจสุดท้าย” พรรคเพื่อไทยนับวันจะใกล้เป็นโรงยี่เก ซ้ำเงิน ๗๖,๐๐๐ ล้านบาท ทำท่าจะไม่ได้ใช้ ต้องคืนกลับไปเป็นของหลวง ลำพังเมียที่แยกกันไป ก็ช่วยตรึงสถานการณ์ภายในไม่ให้ลื่นไหลลงต่ำไม่ได้ หลายๆ ส่วน หลายๆ ปัญหา มันประดังประเดเข้ามา ในขณะที่ตัวเองต้องกินนอนกลางฟ้า เพราะหาแผ่นดินอยู่ไม่ได้
ไม่บ้ามื้อนี้ แล้วจะให้บ้ามื้อไหน ถ้าผมเป็นทักษิณ มันก็ต้องควบโฟร์วีลส์ไดรฟ์ ใส่เกียร์ตะกุยเขา-ลุยแหลกแหกด่านไปข้างหน้า ดีกว่าจะแห้งตายรอ “หมวดเจี๊ยบ” มาคุ้ยศพไปเขียน ยู้ฮู..Taksin are you OK ? ภาค ๓
และที่ทักษิณมาด้วย “ลูกบ้าเที่ยวล่าสุด” นี้ อะไรเป็นตัวตัดสินใจให้ “กามิกาเซ่สถาบัน” รู้มั้ย?
หมอดู-ส่วนหนึ่งไงล่ะ!!!!
คำนวณเลขผานาทีองศาดาว กำหนดวัน-กำหนดฤกษ์ลุยให้เสร็จสรรพ หมอดูประเภทปะเหลาะแดกพวกนี้ ถือว่าแหกครู สุดท้าย “ต้องมีอันเป็นไป” ทั้งคนให้ และคนทำ ไม่ใช่ว่าเขาไม่เจนจบในศาสตร์แห่งโหร เจนจบอย่างดีทั้งนั้น แต่ลืม “เงื่อนไข” สำคัญ อันเป็นตัวแปรสถานการณ์บ้านเมืองไปอย่าง
นั่นคือ “พุทธานุภาพจากพลังจิตแห่งอริยสงฆ์” ซึ่งแต่ละองค์ท่านหันหลังให้สังคมโลกียสุขก็จริง แต่ทุกข์-สุขของบ้านเมือง ตลอดทั้งองค์พระประมุข เรื่อยถึงอาณาประชาราษฎร์ จะไม่คลาดจากขอบข่ายกระแสญาณที่ปกบ้าน-ป้องเมืองจากพระคุณเจ้า ส่วนหนัก-เบาจะบรรเทาหรือจางคลายได้ขนาดไหนนั้น
สุดแต่เวรและกรรมของแต่คน ณ ปางบรรพ์ และที่กำลังทำกันปัจจุบันนี้ด้วย!
นี่..ยังไม่นับถึงองค์ “พระสยามเทวาธิราช” นะครับ และที่สำคัญสูงสุด “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” ของเรา เราไม่ต้องวิตก สงสัยในเรื่องความบริสุทธิ์พร้อมในทศพิธราชธรรม พระองค์ท่านทรงสู่ระดับชั้น “ผู้ถึงพร้อมแล้วซึ่งวิชชาและจรณะ ๑๕” ผ่องแผ้วยิ่ง
ฉะนั้น ใครทั้งที่ แอบจิต-ไม่แอบจิต “คิดอสัตย์” ต่อชาติ ทั้งวิปริตคิดล้มล้าง ตั้งตัวเป็นปฏิปักษ์ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ต่อให้โหราจารย์ขั้นเทพมาอ่านดาว จ้องจังหวะในคราวดวงเมือง-ดวงสถาบันอ่อนแรง เพื่อแกล้งผลักโจมตีหวังล้มล้างสร้างวงศ์-สร้างอาณาจักรใหม่ มันผู้นั้น-บั้นปลาย จะไม่ตายเฉพาะตัวหรอก
แต่มันจะวิบัติยกโคตร…นี่ไม่ได้แช่ง แต่เป็นโองการแห่งบ้าน-แห่งเมือง ที่หน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์ “พลีธารโลหิต” หลั่งราดรดแผ่นนี้ไว้ ฝากเป็นมรดกไทยให้ลูกหลานไทยได้อยู่อาศัย ห้ามอ้าย-อีตัวไหน “คิดร้าย” แบ่งแยกไปไม่ได้เด็ดขาด
ใคร-คนไหนคิดจัญไร มันก็จะเป็นไปเอง!
ฟ้า-ดิน จะไม่ใช่ตัวผู้รับบัญชา แต่ในคำรวมว่า “ปรากฏการณ์ธรรมชาติ” จะเป็นทัณฑ์อาญา ในนามว่าฟ้า-ดิน!?
นี่..เขียนถึงตรงนี้ ๒ ทุ่ม ๔๐ ฟ้าผ่า ฝนกระหน่ำ ไฟฟ้าดับมืดมิด กระชากคอมพิวเตอร์ดับวูบ เปิดๆ ปิดๆ มา ๕ ครั้งแล้ว อย่านะ..ทักษิณ กลับใจคือฟากฝั่ง จำไม่ได้แล้วหรือที่ “อริยสงฆ์” รูปหนึ่งเคยเตือนท่านเมื่อครั้งยังเริงอำนาจ ๑.จะสูญอำนาจ ๒.จะสูญทรัพย์ ๓.จะสูญแผ่นดิน และ ๔.สุดท้าย…
จะสูญสิ้นกระทั่ง…ชีวิต
ถ้าไม่กลับตัว-กลับใจ!
ไม่มีใครฆ่าท่านหรอก แต่ความคิดอสัตย์นั่นแหละมันจะฆ่าตัวท่านเอง อ้าว…ไฟกระชากดับครั้งที่ ๖ เห็นทีต้องเรี่ยไรซื้อเครื่องคอมพ์ใหม่ เพราะไม่พังวันนี้ แล้วจะไปพังวันไหนกันล่ะ แต่อะไรก็ไม่ปวดใจเท่า..ดับวูบ ตัวหนังสือที่เขียนไว้หายแว็บ..เขียนหาย..เขียนหาย นี่กว่าฝนจะจางคลาย คงอีกหลายดับ หลายเขียนใหม่
กลับมาคุยเรื่อง “ความคิดอสัตย์ฆ่าคน” ต่อ คือผมสังเกตแต่คืนแรกที่ทักษิณวิดีโอลิงค์ถึงบรรดาสมุนที่หน้าทำเนียบฯ หลังฉาก “แอบจิต” อยากเป็นอย่างประธานาธิบดีโอบามาเขาบ้าง ถึงขนาดเขียนว่า THAILAND NEEDS CHANGE คืนนั้น ไม่ได้สวมเสื้อแดงหลอกสมุน แต่ตัวหนังสือนั้นสีแดง และที่เตะตา คือ
ภาพออกมา ตรงอื่นไม่ออกโทนแดง แต่แดงเหมือนเลือดหลั่งคั่ง “บริเวณลำคอ” เปรอะไปหมด!
เดี๋ยวจะว่าผมใส่ไคล้ ท่านไปหาภาพมาดูเองละกัน และในคืนต่อมา เปลี่ยนฉากหลังใช้ “ธงชาติไทย” เป็นแบ็กกราวด์ผืนใหญ่ เห็นแล้วอเนจอนาถใจ คนที่ตกอยู่ในคำพิพากษาจำคุก ๒ ปี แต่หนีโทษคุก และกำลังปลุกปั่นแยกชาติ โยกคลอนสถาบัน กลับบังอาจใช้เงินซื้อสื่อ-สร้างภาพให้ปรากฏ..
ว่าที่นักโทษทักษิณ…เป็นคนสำคัญของแผ่นดินระดับต้องมีธงชาติเป็นฉากประกอบ!
ทักษิณ ในซอกหลืบของหัวใจที่แอบจิต ตอบซิว่า คุณกำลังคิดอะไรอยู่…หือ?
วันที่ ๖ เมษายน “วันจักรี” ก็คงไม่ต้องจ้ำจี้จ้ำไชบอกอีกนะครับว่า “วันจักรีคือวันอะไร?” แต่แม่ทัพใหญ่ทักษิณ สั่งขุนพลคุมทัพซ้าย-ขวา “ณัฐวุฒิ-จตุพร” ใช้ฤกษ์วันขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๕ คือถัดจากวันจักรีมาสองวัน เป็นวันที่ ๘ เมษา เคลื่อนทัพแดงจากทุกทิศ รุกประชิดกรุงเทพมหานครครั้งใหญ่
ไม่ชนะ ไม่หลั่งเลือด ไม่เลิกรา…ว่างั้นเถอะ!
เมษายน 3, 2009 ที่ 9:31 am
arnutta
คุก 10 ปี! แก๊งชั่วโพสต์รูปภาพหมิ่นเบื้องสูง
3 เมษายน 2552 11:13 น.
ศาลตัดสินจำคุก 20 ปี หนุ่มนครพนมหมิ่นสถาบันเบื้องสูง เผยแพร่ข้อความรูปภาพผ่านทางอินเทอร์เน็ต ให้การรับสารภาพ มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษกึ่งหนึ่งคงจำคุกเป็นเวลา 10 ปี เจ้าตัวถึงโฮลั่นศาล
วันนี้ (3 เม.ย.) เมื่อเวลา 09.30 น.ที่ห้องพิจารณาคดี 904 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ อ.1033/2552 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 1 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายสุวิชา หรือ ชินภัสร์ ท่าค้อ อายุ 34 ปี ชาว จ.นครพนม เป็นจำเลยในความผิดฐานร่วมกันหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112, 83, 91 อนุมาตรา 1 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 มาตรา 8, 9 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา 14 อนุมาตรา 2 มาตรา 16 วรรค 1
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า เมื่อระหว่างวันที่ 15-16 ส.ค.2551 จำเลยได้กระทำผิดกฎหมายหลายกรรมต่างกันด้วยการต่อเติมภาพ หมิ่นประมาท ดูหมิ่น พระมหากษัตริย์ แล้วเผยแพร่รูปภาพทางเว็บไซต์ อันเป็นการกระทำดูหมิ่นองค์พระมหากษัตริย์ พระราชินี และองค์รัชทายาท กระทั่งวันที่ 14 ม.ค.2552 พนักงานสอบสวน กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ติดตามจับกุมจำเลยได้บริเวณหน้าร้านสุวรรณการช่าง อ.เมือง จ.นครพนม พร้อมของกลางหลายรายการ แจ้งข้อหาดำเนินคดี
จำเลยให้การรับสารภาพโดยตลอด
ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลยกระทำผิดตามฟ้องจริง หลายบทหลายกรรม ให้ลงโทษบทหนักสุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 พิพากษาลงโทษจำคุก รวม 2 กระทง ๆ ละ 10 ปี รวม 20 ปี คำรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารรา ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลยไว้ 10 ปี
ภายหลังฟังคำพิพากษา นายสุวิชา ซึ่งอยู่ในชุดนักโทษถูกเบิกตัวจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพ ถึงกับร่ำไห้ ขณะที่มีบิดา มารดา และญาติๆ ซึ่งเดินทางจาก จ.นครพนม ก็ร่ำไห้เช่นกัน แต่ต้องคอยปลอบ นายสุวิชา ระหว่างที่ถูกเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์นำตัวกลับไปควบคุมไว้บริเวณใต้ถุนศาลอาญา
สำหรับผู้ต้องหารายนี้ถูกจับกุมได้ เมื่อวันที่ 14 ม.ค.ที่ผ่านมา โดย นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รมว.ยุติธรรม สั่งการให้ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ดำเนินการจับกุมผู้ต้องหาในคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ โดยการเผยแพร่ทางอินเทอร์เน็ต จากนั้น พ.ต.อ.ทวี พร้อมด้วยพนักงานสอบสวนและเจ้าหน้าที่คดีพิเศษ นำหมายค้นเลขที่ 78/2552 เข้าตรวจค้นบ้านเลขที่ 277/149 ถนนกาญจนาภิเษก แขวงและเขตคันนายาว กทม.ภายหลังสืบทราบว่าบ้านหลังดังกล่าวเป็นสถานที่ใช้เผยแพร่ข้อความ และคลิปวิดีโอหมิ่นสถาบันเบื้องสูงลงในเว็บไซต์ต่างๆ เช่น เว็บไซต์ยูทูป
เมื่อเจ้าหน้าที่ไปถึง พบว่า บ้านหลังดังกล่าวเป็นบ้านทาวน์เฮาส์ชั้นเดียว เนื้อที่ 25 ตารางวา ประตูบ้านมีกุญแจล็อกอยู่ จึงประสานให้ญาติของเจ้าของบ้านนำกุญแจมาเปิดประตู และร่วมเป็นพยานในการตรวจค้น เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้อายัดเครื่องคอมพิวเตอร์ และบิลค่าโทรศัพท์จํานวนหนึ่งมาตรวจสอบ
จากการสอบสวนทราบว่า เจ้าของบ้านหลังดังกล่าว คือ นายสุวิชา ท่าค้อ อายุ 35 ปี ซึ่งเป็นผู้ต้องหาในคดีนี้ ได้หลบหนีไปกบดานอยู่กับญาติที่ จ.นครพนม ดีเอสไอจึงมอบหมายให้ พ.ต.ต.กล้าหาญ คล่องพยาบาล พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ และ ร.ต.อ.เขมชาติ ประกายหงส์มณี เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน สำนักคดีอาชญากรรมระหว่างประเทศ ออกติดตามจับกุม
“ดีเอสไอ” รวบตัวแสบโพสต์เว็บ “หมิ่นเบื้องสูง”
http://www.manager.co.th/Crime/ViewNews.aspx?NewsID=9520000037814
เมษายน 4, 2009 ที่ 1:01 am
panlope
“ทักษิณ”ใช้“พัลลภ”จุดไฟกลางเมือง จับตา‘ทหาร-ตำรวจ’ร่วมวงป่วน!
4 เมษายน 2552 09:17 น.
จับตา “นายพลแม็คอาเธอร์” พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี รับงาน “ทักษิณ” ร่วมวง “เสื้อแดง”ผุดสงครามกลางเมืองก่อน 6 เม.ย.บีบ ‘ชนชั้นสูง-รัฐบาล’ ยอมรับเงื่อนไข “กม.ปรองดอง-เลือกตั้งใหม่” แลกยุติการนองเลือด อดีตเพื่อนจปร.7 เตือน “พัลลภ” กองทัพ-ประชาชนไม่เอาด้วย ขณะที่ “สุเทพ”สั่งลูกพรรคลงพื้นที่ขยายแผล “แม้ว”ลดพลังเสื้อแดง ด้านนักวิชาการเชื่อพล.อ.พัลลภ ยังมีอิทธิพลสั่งการได้ แนะจับตาทหาร-ตร.นอกระบบ ร่วมวงสร้างสถานการณ์
การเคลื่อนไหวเพื่อกดดัน โค่นล้มขั้วอำนาจฝ่ายตรงข้ามของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องทั้งในทางลับและโดยเปิดเผยหลายต่อหลายครั้งก็ตาม แต่กลับยังไม่สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างใดอย่างหนึ่งให้เกิดขึ้นได้ แต่เมื่อเขาได้หันมาใช้เกมแรง ปรับเปลี่ยนบทบาทการต่อสู้ รวมทั้งเพิ่ม “ตัวละครเอก” อย่างพล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี อดีตผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) เข้ามาร่วมสร้างน้ำหนักแผนการล้มล้างอำนาจของพ.ต.ท.ทักษิณ โดยมีกลุ่มบุคคลชั้นสูงอยู่เบื้องหลังนั้น
ไม่เพียงแต่จะช่วยสร้างบรรยากาศให้การต่อสู้ของอดีตนายกฯทักษิณ กับฝ่ายตรงข้ามในรอบนี้เต็มไปด้วยความคึกคัก และสามารถสร้างแรงสั่นสะเทือนไปยังบุคคลต่างๆที่มีชื่อเกี่ยวข้อง ทั้ง ปีย์ มาลากุล ,พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ในฐานะองค์มนตรี , อัคราธร จุฬารักข์ ประธานศาลปกครองสูงสุด และปราโมทย์ นาครทรรพ นักวิชาการผู้แนบแน่นกับกลุ่มพันธมิตรฯ ได้เท่านั้น แต่ยังทำให้หลายคนพากันหวาดวิตกไปถึงเหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมือง จนอาจนำไปสู่การนองเลือดขึ้นในที่สุดได้หรือไม่
โดยเฉพาะเมื่อเกมการต่อสู้ครั้งนี้มีพล.อ.พัลลภ อดีตนายทหารจปร.รุ่น7 ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์รุนแรงทางประวัติศาสตร์หลายต่อหลายครั้ง ได้เลือกเปลี่ยนขั้วย้ายข้างมาอยู่ฝ่ายเดียวกับพ.ต.ท.ทักษิณ อย่างเต็มตัว แล้วหันมาแฉเพื่อนรัก “มหาจำลอง”พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จนทำให้เกิดความสับสนกันถ้วนหน้า
เตือนประชาชน
กองทัพไม่เอาด้วย
การออกมาเปิดเผยรายละเอียดเรื่องราว “ลับเฉพาะ”ในวงสนทนาของกลุ่มคนระดับคีย์แมนของบ้านเมือง โดยเชื่อมโยงไปถึงแผนการยึดอำนาจจากพ.ต.ท.ทักษิณ ของพล.อ.พัลลภ ในครั้งนี้นั้นดูเหมือนว่าจะเป็นเกมการต่อสู้ที่ได้ผลลัพท์เป็นที่น่าพอใจให้กับพ.ต.ท.ทักษิณ อย่างมาก เพราะไม่ว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ก็ตาม แต่การที่ได้พล.อ.พัลลภ เข้ามาช่วยเพิ่มน้ำหนัก สร้างความน่าเชื่อถือนั้น อย่างน้อยที่สุดย่อมเป็นประเด็นที่ “จุดติด”สำหรับกลุ่มคนเสื้อแดงให้พร้อมรับคำสั่งเดินหน้าอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่จะได้รับสัญญาณจากนี้ไป
ว่ากันว่าแผนการโจมตีรัฐบาลและฝ่ายตรงข้ามที่มีส่วนร่วมในการยึดอำนาจจากอดีตนายกฯทักษิณ ในขั้นต่อไปย่อมไม่พ้นการเพิ่มดีกรีความรุนแรงเพื่อหวังที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง และที่สำคัญที่สุดคือทำให้ตัวพ.ต.ท.ทักษิณ สามารถพลิกกลับมาเป็นฝ่ายกุมความได้เปรียบในที่สุด การดึงตัวพล.อ.พัลลภ เข้ามาร่วมขบวนการของอดีตนายกฯทักษิณ ในครั้งนี้กำลังถูกประเมินจากหลายฝ่ายถึงแนวโน้มในเรื่องของการใช้ความรุนแรง ตามแนวถนัดของพล.อ.พัลลภ อดีตนายทหารที่นิยมแนวบู๊ นิยมการรบนอกรูปแบบ จนเคยเขย่าขวัญอดีตนายกฯทักษิณ ด้วยเหตุการณ์ “คาร์บอม”มาแล้ว
“ แนวทางของพล.อ.พัลลภ จะต่างจากพล.ต.จำลอง อย่างสิ้นเชิง คือพล.อ.พัลลภ จะชอบแนวบู๊มากกว่า ส่วนการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงจะพัฒนาไปสู่ความรุนแรง ได้หรือไม่นั้น ก็ไม่สามารถยืนยันได้ รวมทั้งเราก็ไม่รู้ว่าพล.อ.พัลลภ จะเข้าร่วมหรือมีอำนาจสั่งการได้แค่ไหน
แต่เชื่อว่านาทีนี้ กลุ่มเสื้อแดงเขามีความเชื่อว่า เมื่อกลุ่มเสื้อเหลืองเคยทำได้ เขาก็ต้องทำได้เช่นกัน หากมีปัจจัยสนับสนุนพร้อม ทั้งเรื่องคน เงินและยุทธวิธี” อดีตนายทหารจปร.รุ่น 7 เปิดเผย
เขาย้ำอีกว่า ในความเป็นจริงแล้วตัวพล.อ.พัลลภ เองต้องประเมินให้ได้ว่า หากเลือกที่จะมีส่วนร่วมจงใจให้เกิดความรุนแรงขึ้นในการชุมนุมจากนี้ไปนั้น จะมีโอกาสเกิดขึ้นได้มากน้อยแค่ไหน กองทัพและประชาชน จะให้การตอบรับอย่างไร เพราะหากทั้งสองฝ่ายไม่สนับสนุนแนวทางดังกล่าวก็คงไม่สามารถเกิดขึ้นได้
“ ทั้งคุณทักษิณและพล.อ.พัลลภ จะเอาคนไม่แค่1-2หมื่นคนมาเป็นตัวแทนของคนส่วนใหญ่ทั้งประเทศไม่ได้ โดยเฉพาะยิ่งเมื่อคุณทักษิณ แสดงออกด้วยการจาบจ้วงเบื้องสูงมากขึ้น โอกาสที่จะมีคนร่วมหนุนก็อาจมีไม่มาก เท่าที่เขาต้องการ” เพื่อนร่วมรุ่นจปร.7 ของพล.อ.พัลลภ กล่าว
เผย “ทักษิณ”
ดึง “พัลลภ”ก่อจลาจล
อย่างไรก็ดีมีรายงานข่าวจากสมาชิกพรรคเพื่อไทย ระบุว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ได้สั่งการให้กลุ่มวอร์รูมของพรรคเพื่อไทย ซึ่งประกอบด้วยบรรดาสมาชิกบ้านเลขที่ 111 โดยมีสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกฯและน้องเขย รับหน้าที่เป็นแกนหลักต่างพากันเร่งผลักดันกฎหมายปรองดอง ให้เข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนฯ เพื่อต้องการให้มีการนิรโทษกรรมให้กับพ.ต.ท.ทักษิณและสมาชิกบ้านเลขที่ 111 จากพรรคไทยรักไทยและอีก109 คนจากพรรคพลังประชาชน โดยจะเดินเกมควบคู่ไปกับการเคลื่อนไหวกดดันรัฐบาลนอกสภาของกลุ่มเสื้อแดง
“ เป้าหมายคือสร้างแรงกดดันสองทางให้เกิดขึ้นกับฝ่ายตรงข้ามของพ.ต.ท.ทักษิณ เพราะหากรัฐบาลไม่ยอมยุบสภา ให้มีการเลือกตั้งใหม่ หรือไม่ยอมให้มีการนิรโทษกรรมขึ้น เหตุการณ์ต่อสู้นอกสภา จะรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ
ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ชุมนุมยืดเยื้อ การเกิดจลาจล จนนำไปสู่การนองเลือด กลางเมืองขึ้น เพราะเวลานี้ทุกคนรู้ดีว่าคุณทักษิณ กำลังเข้าตาจน ดับเครื่องชน ถอยไม่ได้อีกแล้ว”
แหล่งข่าวจากพรรคเพื่อไทย ยอมรับว่าโอกาสที่การต่อสู้จะถูกยกระดับจากการชุมนุมไปสู่ความรุนแรงขึ้นมีความเป็นไปได้สูง เนื่องจากอดีตนายกฯทักษิณ ประเมินแล้วว่ายิ่งปล่อยให้ทุกอย่างยืดเยื้อออกไป ยิ่งเสียเปรียบ และการที่ดึงพล.อ.พัลลภ เข้ามาช่วยในครั้งนี้ นอกเหนือไปจากความต้องการเพิ่มน้ำหนักให้กับเรื่องแผนการโค่นอำนาจของกลุ่มบุคคลดังกล่าวแล้ว ยังเป็นไปได้ว่าเขายังต้องการอาศัยมือไม้ และเครือข่ายที่พล.อ.พัลลภ มีอยู่ ช่วยเคลื่อนไหวร่วมกับกลุ่มแกนนำความจริงวันนี้ เพื่อทำให้เหตุการณ์นำไปสู่ “จุดเดือด” ให้เร็วขึ้น
เนื่องจากหากประเมินในแง่คุณสมบัติและผลงานของพล.อ.พัลลภ ที่เคยผ่านมาในหน้าประวัติศาสตร์ ที่เขาได้เข้าไปเกี่ยวข้องและมีส่วนเป็น “ตัวแปร”สำคัญนั้นล้วนแล้วแต่เป็นการตอกย้ำความเชี่ยวชาญในเชิงบู๊ได้แทบทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ครั้งประวัติศาสตร์ “กบฏเมษาฮาวาย” ในปี 2524 ซึ่งในครั้งนั้นพล.อ.พัลลภ กับเพื่อนจปร.รุ่น 7 อาทิ พล.ต.มนูญกฤต รูปขจร ได้ก่อการรัฐประหารรัฐบาลพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ แต่ปรากฏว่าไม่สำเร็จ ในที่สุดพล.อ.พัลลภ ต้องหนีไปอยู่ที่ประเทศจีน ต่อมาในสมัยพฤษภาทมิฬ 2535 ในครั้งนั้น นอกเหนือไปจากพล.ต.จำลอง ที่เคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลรสช.ของพล.อ.สุจินดา คราประยูร ในเบื้องหน้าแล้ว ปรากฏว่าเบื้องหลังเหตุการณ์ความรุนแรงนั้นยังมีเพื่อนรักอย่าง พล.อ.พัลลภ และ “เสธ.หมึก” พล.ท.พิรัช สวามิวัสดิ์ นายทหารคนสนิทของพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เป็นผู้จุดชนวนในการเผาสน.นางเลิ้ง จนเกิดเหตุบานปลายนำไปสู่การปราบปรามผู้ชุมนุม
นอกจากนี้ในสมัยรัฐบาลนายกฯทักษิณ นั้น พล.อ.พัลลภ ขณะนั้นดำรงตำแหน่งรองผอ.เสริมสร้างสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ (สสส.จชต.) รับหน้าที่แก้ไขปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และเกิดการใช้ความรุนแรงกรณียิงถล่มมัสยิดกรือเซะ จนถูกสั่งปลดและให้ออกจากพื้นที่ทันทีภายใน 24 ชั่วโมง ต่อมาเขาได้กลายเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีคาร์บอม เหตุการณ์ลอบวางระเบิดบริเวณใกล้บ้านของอดีตนายกฯทักษิณ จนกลายเป็นศัตรูคู่อาฆาตนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
พธม.แนะล็อค
“พัลลภ-เสธ.แดง”ก่อนป่วน
ทั้งนี้ขณะที่หลายฝ่ายกำลังหวาดวิตกว่าการเข้ามากลายเป็นตัวละครสำคัญของพล.อ.พัลลภ ร่วมกับพ.ต.ท.ทักษิณ ในวันนี้และมีแนวโน้มนำไปสู่ความรุนแรงในเร็วๆนี้นั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออดีตนายกฯทักษิณ ประกาศเชิญชวนพี่น้องเสื้อแดงให้ตบเท้าเข้ากรุงเทพฯทันที ที่มีการใช้กำลังจากเจ้าหน้าที่รัฐสลายการชุมนุมนั้น พบว่าล่าสุดตามพื้นที่ต่างจังหวัดเองก็ได้มีการเตรียมระดมคนพร้อมมาร่วมสมทบกับกลุ่มเสื้อแดงแล้ว
เครือข่ายพันธมิตรฯ ในภาคอีสานเปิดเผยว่า สถานการณ์เวลานี้ถือว่าน่าเป็นห่วงสำหรับฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายตรงข้ามพ.ต.ท.ทักษิณ อย่างมาก เนื่องจากแกนนำทั้งกลุ่มความจริงวันนี้และแม้แต่พล.อ.พัลลภ เองก็พร้อมที่จะทำหน้าที่จุดชนวนให้เกิดความรุนแรงในกรุงเทพฯได้ตลอดเวลา รอเพียงคำสั่งจากพ.ต.ท.ทักษิณ ส่วนตามจังหวัดต่างๆนั้นแกนนำกลุ่มเสื้อแดงได้สั่งเตรียมพร้อม ทั้งในเรื่องของการระดมคนเข้ากรุงเทพฯและปิดล้อมศาลากลางในแต่ละจังหวัด เพื่อกดดันรัฐบาล
“จังหวัดที่มีการเคลื่อนไหวของกลุ่มเสื้อแดง ส่วนใหญ่จะเป็นจังหวัดที่อยู่นอกเหนือการดูแลควบคุมของคุณเนวิน ชิดชอบ ซึ่งมีจำนวนไม่น้อย และในรอบนี้คิดว่าพล.อ.พัลลภ จะเข้ามามีบทบาทปฏิบัติการทางใดทางหนึ่งเพื่อให้เกิดความรุนแรงขึ้นอีก”
เครือข่ายพันธมิตรฯ ยังระบุถึงปัญหาที่เกิดขึ้นและเอื้อให้ฝ่ายพ.ต.ท.ทักษิณ ปลุกกระแสความรุนแรงได้อย่างต่อเนื่องนั้น เป็นเพราะความอ่อนแอของฝ่ายรัฐบาล โดยเฉพาะรัฐมนตรี ที่ดูแลสื่อของรัฐ แต่กลับไม่สามารถตัดสัญญาณการโฟนอินของพ.ต.ท.ทักษิณ ได้อย่างเด็ดขาด ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วหากรัฐบาล ในฐานะผู้อำนาจรัฐทำงานจริงจัง บล็อกสัญญาณโฟนอินรวมทั้งกดดันการเคลื่อนไหวของทุกฝ่ายที่จะทำให้เกิดความรุนแรง อาทิ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล และแม้แต่การจับตาพล.อ.พัลลภ เพื่อสกัดไม่ให้เกิดความรุนแรง แต่กลับไม่ทำอะไรทั้งสิ้น
ชี้จับตาปั่นเกมร้อน 6 เม.ย.
ทางด้านรศ.สมชัย ศรีสุทธิยากร อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้ประเมินบทบาทของพล.อ.พัลลภ กับโอกาสที่จะนำไปสู่ความรุนแรงจากการต่อสู้ของพ.ต.ท.ทักษิณ ในครั้งนี้ว่า บทบาทของพล.อ.พัลลภ นั้นถือได้ว่าช่วยเพิ่มน้ำหนักในประเด็นการโค่นล้มรัฐบาลของอดีตนายกฯทักษิณ ได้ในระดับหนึ่งเท่านั้น แต่หากมองในภาพรวมแล้วจะพบว่าข้อมูลดังกล่าวไม่ใช่เรื่องใหม่ ที่สังคมไม่เคยรับรู้มาก่อนหน้านี้ และเมื่อมีการเปิดข้อมูลใหม่ขึ้นมาแล้ว โดยส่วนตัวแล้วยังมองไม่เห็นว่า ความผิดที่พ.ต.ท.ทักษิณ เคยทำเอาไว้จากการทุจริต คอรัปชั่น ตลอดจนการก้าวล่วงสถาบันเบื้องสูง จะลดลงไปได้อย่างไร
“ การเลือกประเด็นเบื้องหลังการล้มล้างอำนาจของคุณทักษิณ ในรอบนี้ เป็นไปได้ว่าเพื่อต้องการประคองให้การชุมนุมมีความคึกคักและปลุกใจเสื้อแดงให้มากที่สุด จนกว่าจะไปถึงจุดของการสร้างสถานการณ์ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความรุนแรง การเกิดจลาจลกลางเมือง ที่ต้องพยายามทำให้เกิดขึ้นโดยที่สุด
ช่วงที่ต้องจับตาคือก่อนวันที่ 6 เม.ย.นี้เพื่อจุดกระแสให้ติด และถ้ายังไม่ได้ ก็ต้องไปรอดูว่าจะทำสำเร็จได้ก่อนวันที่ 10 เม.ย.หรือไม่ แต่ถ้าปล่อยนานออกไปจนเลยหลังสงกรานต์ เรื่องที่จุดประเด็นเอาไว้ จะถูกสานต่อได้อีกอย่างไร”
อย่างไรก็ตาม ความเคลื่อนไหวที่ต้องจับตามองในการสร้างความรุนแรงอย่างหนัก เพื่อให้ทหารออกมาควบคุมสถานการณ์นั้น ยังต้องระมัดระวังด้วยว่าความรุนแรงที่จะเกิดขึ้นนั้นจะมาจากฝ่ายใด และทหารที่จะออกควบคุมเหตุการณ์นั้นมาจากฝ่ายไหน เพราะเวลานี้อะไรก็ย่อมเกิดขึ้นได้ เนื่องจากอาจมีทหารหรือตำรวจนอกราชการ บางส่วนที่ยอมรับประโยชน์จากพ.ต.ท.ทักษิณ ให้ออกมาเคลื่อนไหว
“ในสถานการณ์อย่างนี้ เราไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ใครคิดอย่างไร หรือทำอะไร เพราะหากคุณทักษิณ คิดที่จะสู้และประเมินแล้วว่า ถ้าต้องจ่ายเงินสักส่วนหนึ่งเพื่อให้ใครทำอะไร แลกกับโอกาสที่จะกลับมาเป็นฝ่ายชนะ ก็ย่อมเป็นไปได้เช่นกัน” รศ.สมชัย ระบุ
ทั้งนี้ สิ่งที่ต้องเฝ้าระวังหากพ.ต.ท.ทักษิณ สามารถจุดความรุนแรงให้เกิดขึ้น จนสามารถกดดันฝ่ายตรงข้ามให้ยอมรับการเจรจา อดีตนายกฯทักษิณ จะต้องหาทางกลับเข้าประเทศไทย แม้หน้าฉากจะอ้างว่าเพื่อกลับมาต่อสู้คดีตามกระบวนการยุติธรรม แต่ต้องไม่ลืมว่าเมื่อใดที่เขาเดินทางกลับเข้าประเทศได้แล้ว โอกาสที่กระแสของฝ่ายสนับสนุนจะมีสูงขึ้นทันที จากนั้นการแทรกแซงอำนาจในกระบวนการยุติธรรมก็อาจเกิดขึ้นได้อีก จึงเท่ากับว่าเป็นการกลับมาเพื่อทวงคืนอำนาจและชัยชนะของอดีตนายกฯทักษิณ ไปในที่สุด โดยมีพล.อ.พัลลภ เป็นผู้ร่วมสร้างตำนานทางการเมืองอีกครั้ง …
http://www.manager.co.th/mgrWeekly/ViewNews.aspx?NewsID=9520000037240
เมษายน 4, 2009 ที่ 8:21 am
buntool
ขบวนการล้มเจ้ารุกปลุกม็อบเสื้อแดง 8 เม.ย.สุดเหิมแจกเอกสารหมิ่นฯ ทั่วเมืองพล-ขอนแก่น
4 เมษายน 2552 15:53 น.
ศูนย์ข่าวขอนแก่น — ขบวนการล้มเจ้าเคลื่อนไหวหนักในต่างจังหวัด หวังปลุกชาวบ้านให้เข้าร่วมชุมนุมเสื้อแดงป่วนชาติ 8 เม.ย.นี้ ล่าสุดส่งคนแจกเอกสารให้ร้ายสถาบันเบื้องสูงด้วยถ้อยคำรุนแรงพร้อมแนบนามบัตรผู้แจกเป็นร้านกิตติอีเลคทรอนิคซ์ในเมืองพล ชาวเมืองพลสุดทนพฤติกรรมสัตว์นรก พากันขึ้นโรงพักแจ้งความจี้ลากคอติดคุกแล้ว
มีรายงานข่าวแจ้งว่า ขณะนี้ในหลายพื้นที่ภาคอีสานได้มีกลุ่มบุคคลบางกลุ่มออกมาเคลื่อนไหวแจกเอกสาร ข้อความที่เป็นการให้ร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์แจกจ่ายไปตามชุมชนต่างๆ โดยกลุ่มคนเหล่านี้มีนักการเมืองในพื้นที่นั้นๆ ให้การสนับสนุน หลายพื้นที่กระทำอย่างเปิดเผย
ล่าสุด วันนี้(4 เม.ย.)ที่อำเภอพล จังหวัดขอนแก่น มีการจ้างคนออกตระเวนไปตามชุมชน ร้านค้า เพื่อแจกเอกสารที่ปริ๊นต์ออกมาจากเว็บไซต์ โดยข้อความในเอกสารเป็นการดูหมิ่นให้ร้ายสถาบันเบื้องสูงอย่างรุนแรง มีชาวเมืองพลจำนวนหนึ่งที่ไปเดินซื้อของที่โลตัส ซูเปอร์เซ็นเตอร์ในช่วงก่อนเที่ยงวันนี้ก็ได้รับแจกเอกสารดังกล่าวด้วย
พลเมืองดีที่รักและเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์จากอำเภอพลรายหนึ่งได้โทรศัพท์แจ้งทีมข่าว”เอเอสทีวีผู้จัดการ”ว่าการออกมาเคลื่อนไหวสร้างความบั่นทอนให้กับสถาบันเบื้องสูงด้วยการแจกเอกสารหมิ่นพระบรมเดชานุภาพครั้งนี้ถือว่าทำอย่างเปิดเผยมากที่สุดเท่าที่เคยพบเห็นในท้องถิ่น เพราะมีการแนบนามบัตรของผู้เผยแพร่เอกสารคือร้านกิตติอีเลคทรอนิคส์ มากับเอกสารที่แจกจ่าย ซึ่งมีทั้งหมด 4 แผ่น ร้านกิตติอีเลคทรอนิคส์ตั้งอยู่บนถนนรามราชในตัวเมืองอำเภอพล
ปรากฏการณ์ขบวนการล้มเจ้าที่เกิดขึ้นในอำเภอพลครั้งนี้ เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง ชาวบ้านจำนวนมากรู้สึกตกใจเพราะไม่น่าเชื่อว่าจะมีขบวนการล้มเจ้าจริงๆ ในเมืองไทยและยิ่งในเขตพื้นที่ต่างอำเภอต่างจังหวัด ไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่เมื่อเจอกับตัวเองเช่นนี้จะไม่เชื่อก็ไม่ได้ ชาวบ้านต่างสาปแช่งให้กลุ่มบุคคลเหล่านี้มีอันเป็นไปภายใน 3 วัน 7 วัน
นางผาสุก ปัญญา หนึ่งในเครือข่ายชาวพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในอำเภอพล กล่าวยืนยันว่าใบปลิวดังกล่าวมีการแจกจ่ายจริง ตนรู้สึกตกใจมากที่เห็นข้อความหมิ่นสถาบันเบื้องสูงที่รุนแรงออกแจกจ่ายในที่สาธารณะเช่นนี้ และจากการหารือกับหลายฝ่าย ต่างเห็นพ้องกันว่าควรจะมีการแจ้งความเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อให้รีบดำเนินการหยุดกระบวนนอกรีตพวกนี้ไม่ให้เอกสารเผยแพร่ไปมากกว่านี้และต้องติดตามนำตัวผู้กระทำผิดกฎหมายหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์มาดำเนินคดีให้เร็วที่สุด
“บ่ายวันนี้พวกเราชาวเมืองพลที่รักพระเจ้าแผ่นดินกว่า 30 คนพากันไปแจ้งความที่โรงพัก ให้รีบดำเนินการอย่างเร่งด่วนในการหยุดยั้งกลุ่มคนเหล่านี้ไม่ให้จาบจ้วงสถาบันเบื้องสูงที่คนไทยเคารพรักไว้เหนือหัว”นางผาสุกกล่าว
http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9520000038295
เมษายน 5, 2009 ที่ 8:53 am
sonthi
เมษายน 6, 2009 ที่ 12:20 am
sonthi
“สนธิ” แฉหลักฐานฝัง “แม้ว” ละเมิดพระราชอำนาจชัดเจน หลังเหลิงอำนาจจัดงานทำบุญประเทศในวัดพระแก้วโดยไม่ขอพระบรมราชานุญาติ แถมยังสวมรองเท้า-นั่งในที่ไม่บังควร เชื่อ “นักโทษ” ยังอยู่ในกัมพูชา-จ่อหลบหนีเข้าไทยหวังนำ “กลุ่มแดงถ่อย” ล้มล้างประเทศ อัดยับ “ธงทอง” หางโผล่ แสดงตัวเป็นทาสระบอบทักษิณ ท้าหากเป็นลูกผู้ชายจริง ต้องออกมาตอบโต้ “พล.อ.พิจิตร”
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง รายการ “Good Morning Thailand”
รายการ “Good Morning Thailand” ดำเนินรายการโดย นายสนธิ ลิ้มทองกุล ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี-ทีวีของประชาชน เวลา 06.00-07.00 น.วันจันทร์ถึงศุกร์ สำหรับวันที่ 6 เมษายน 2552 นี้ ได้นำข่าวคราวต่างๆ มาวิเคราะห์ และนำเสนออย่างหลากหลายเช่นเคย โดยนายสนธิ กล่าวตั้งคำถามถึงสมเด็จ ฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ว่า จริงหรือไม่ที่นักโทษชายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ อยู่ที่ประเทศกัมพูชา แล้วยังมีกระแสข่าว มีคนบางคนเอาเงินให้สมเด็จฮุน เซ็น จำนวน 20 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อซื้ออาวุธข้ามชายแดน ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่า มีความจงใจที่จะทำเกิดการปะทะกันที่ชายแดน เพื่อที่จะดึงทหารกองทัพภาค 2 ขณะเดียวก็ต้องดึงกองกำลังจากกองทัพภาค 1 ซึ่งต้องรักษาความสงบใน กทม. ทำให้การป่วนเมืองในวันที่ 8 เม.ย.นี้ จะได้ไม่มีทหารเข้าไปรักษาความสงบ
“ปรากฏว่า นักโทษชายทักษิณ ออกมาตอบโต้ว่า ผมพูดโกหก แต่ ฮุน เซน ก็ยังแทงกั๊กว่านักโทษชายทักษิณ อยู่หรือไม่ แต่ขอให้เชื่อว่าอยู่แน่นอน ที่สำคัญ ฮุน เซน กำลังร่วมมือกับนักโทษชายทักษิณ แทรกแซงกิจการภายในของประเทศไทย เพื่อเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองของประเทศไทย และเพื่อแลกกับอะไรก็ไม่รู้ที่ตกลงกัน นอกจากนี้ ฮุน เซน กำลังก่อให้เกิดความร้าวฉาว และแตกแยกในกลุ่มประเทศอาเซียน แต่การที่ ฮุน เซน ยอมให้นักโทษชายทักษิณ เข้าประเทศ ถือว่าใช้ไม่ได้ เพราะเรามีกฎหมายส่งผู้ร่ายข้ามแดนระหว่างประเทศกับเขมรอยู่ แสดงว่าฮุน เซน ไม่จริงใจเลยแม้แต่นิดเดียว”นายสนธิ กล่าว
ส่วนกรณีที่ พล.อ.พิจิตร กุลละวณิชย์ และนายอำพล เสนาณรงค์ องคมนตรี ออกมาเปิดเผยว่า นักโทษชายทักษิณ จาบจ้วงสถาบันนั้น นายสนธิ กล่าวว่า พล.อ.พิจิตร นั้น เคยแจ้งความกับตำรวจให้ดำเนินคดีกับนายวีระ มุกสิกพงษ์ จนถูกศาลสั่งจำคุกในคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ซึ่งในขณะนั้นเป็นลูกรักของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี ท้ายที่สุด พล.อ.เปรม ต้องออกมาช่วยเหลือโดยการวิ่งเต้นให้ได้รับพระราชทานอภัยโทษ แต่ภายหลังนายวีระ กลับด่านายเนวิน ชิดชอบ ว่าอกตัญญูต่อนักโทษชายทักษิณ จึงอยากเตือนนายวีระ ว่า ทำไมไม่ดูตัวเองบ้างว่าอกตัญญูต่อ พล.อ.เปรม หรือไม่ แล้วถ้า พล.อ.เปรม ไม่ช่วย จะมีปัญญาขึ้นไปยืนบนเวทีเสื้อแดงหรือไม่
“นักโทษชายทักษิณ ยังอยู่ที่กรุงพนมเปญ ซึ่งมีข่าวออกมาว่า มีการวางแผนจะเดินทางเข้าประเทศไทย ที่ จ.หนองคาย เพื่อนำขบวนล้มล้างประเทศไทย ที่สำคัญมีนายทหารยศพลเอกใน คมช.คนหนึ่ง เป็นตัวกลางไปเจรจากับ นักโทษชายทักษิณ เพียงเพราะอยากได้เงินส่วนแบ่งที่ยึดไป 76,000 ล้านบาท ที่สำคัญนักโทษชายทักษิณ ยังโยนเหยื่อออกมา โดยระบุว่า ใครก็ตามที่ทำให้เขาได้ทรัพย์คืน จะส่วนแบ่ง 20,000 ล้านบาท จากเงิน 76,000 ล้าน จึงมีการเริ่มกระบวนการเจรจากันทันที โดยไม่คำนึงถึงความถูกผิด มีแต่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ คนเดียวเท่านั้น ที่รู้เท่าทัน โดยให้สัมภาษณ์สวนทางกลับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ซึ่งมีความสนิทสนมเป็นพิเศษกับนักโทษชายทักษิณ ตั้งแต่สมัยเมื่อครั้งเลือกตั้งวันที่ 2 เม.ย. ที่สำคัญยังมีคนกลางคนหนึ่งเป็นตัวประสานงานซึ่งมีความสนิทสนมกับนางเยาวเรศ ชินวัตร ดังนั้นนายสุเทพ จึงสามารถต่อสายถึงนักโทษชายทักษิณ ได้ตลอดเวลา”นายสนธิ ระบุ
แกนนำพันธมิตรฯ กล่าวอีกว่า โดยส่วนตัวแล้วไม่เห็นด้วยกับการประนีประนอม เพราะจะทำให้เห็นว่ารัฐบาลอ่อนแอเกินไป เนื่องจากขบวนการขบถเหล่านั้นต้องการที่จะล้มล้างสถาบันกษัตริย์อย่างชัดเจน ฉะนั้นประชาธิปไตยของเสื้อแดง คือ ประชาธิปไตยของ นักโทษชายทักษิณ ซึ่งพุ่งเป้าโจมตีไปยังองคมนตรี โดยเฉพาะ พล.อ.เปรม แต่ยังไม่มีใครเดินทางไปแจ้งความดำเนินกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ทั้งๆ ที่ในสมัยที่พันธมิตรฯ ต่อสู้มาอย่างยาวนานนั้น แต่บถูกตั้งข้อหาขบถ ซึ่งชี้ให้เห็นถึงการเลือกปฏิบัติของตำรวจ ทั้งๆ ที่กลุ่มเสื้อแดงพูดอยู่ตลอดเวลาว่า จะทำสงครามประชาชน และยังประกาศว่าจะไปปิดล้อมบ้าน พล.อ.เปรม ฉะนั้นการประกาศดังกล่าวจึงมีเจตนาที่จะสร้างความวุ่นวาย หรือเพื่อก่อขบถ ทำให้ความจริงต่างๆ เริ่มเปิดเผย
“ตัวตนที่แท้จริง ไม่ว่าจะเป็น พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิ์ผล หรือ เสธ.แดง และนักการเมืองบางคน โดยเฉพาะนายสุเทพ ซึ่งโผล่ตัวตนออกมา นอกจากนี้ยังมีท่านผู้หญิงวิระยา ชวกุล ประธานกรรมการเลขาธิการมูลนิธิบำรุงขวัญทหาร ตำรวจอาสาสมัครชายแดน ในพระบรมราชินูปถัมภ์ ออกมาปกป้อง รับประกันนักโทษชายทักษิณ ว่าเป็นคนดี และจงรักภักดี โดยคุณหญิงวิริยา นั้น มีความสนิทสนมกับนักโทษชายทักษิณ มาตั้งแต่ในอดีต ที่สำคัญคุณหญิงวิระยา ยังเคยเป็นคนที่เคยใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาท ฉะนั้นตอนนี้จึงมีบรรดาอีแอบเริ่มโผล่ตัวออกมาให้รู้ว่าใครเป็นใคร”แกนนำพันธมิตรฯ กล่าว
ส่วนที่นักโทษชายทักษิณ ออกมาโจมตีว่า พล.อ.เปรม เป็นนายกฯ ที่มาจากการปฏิวัติ เป็นอมาตยาธิปไตยรุ่นเก่า ทำให้การเมืองล้าหลังนั้น นายสนธิ กล่าวว่า นักโทษชายทักษิณ เข้ามามีอำนาจทางการเมืองแบบไม่โปร่งใส เพราะ กกต.ช่วย นักโทษชายทักษิณ จนกระทั่งศาลพิพากษาจำคุก 3 หน้า 5 ห่วง เพราะมีพฤติกรรมช่วยนักโทษชายทักษิณ ซึ่งหลักฐานเช่นนี้ไม่มีใครกล้าออกมาพูด ที่สำคัญนายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รมต.ประจำสำนักนายกฯ ก็ไม่ยอมให้ช่อง 9 หรือช่อง 11 ออกมาพูด
นายสนธิ ยังกล่าวถึงกรณีที่นักโทษชายทักษิณ จัดงานทำบุญประเทศภายในวัดพระแก้วว่า ภายในวัดพระแก้วนั้น สถานที่ที่นักโทษชายทักษิณ นั่งนั้น เป็นที่ที่พระมหากษัตริย์ ต้องนั่ง แถมยังใส่เสื้อแขนสั้น และยังสวมรองเท้าเข้าไปอีกด้วย ซึ่งตรงจุดนี้เองที่ พล.อ.พิจิตร ออกมาทักท้วง ว่า นักโทษชายทักษิณ จาบจ้วงสถาบัน ซึ่งตนเป็นคนแรกที่เอาเรื่องดังกล่าวมาพูด ทั้งๆ ที่นักโทษชายทักษิณ มีอำนาจทุกอย่างอยู่ในมือ โดยตนรู้ดีว่าถ้าหากพูด ก็จะได้จัดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ เป็นครั้งสุดท้าย ในขณะที่สื่ออื่นๆ หลบไปแอบรับเงินจากระบอบทักษิณ
ส่วนที่นายธงทอง จันทรังสุ อดีตประธานบริหาร อสมท. ซึ่งถอดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ ออกไปนั้น นายสนธิ กล่าวว่า นายธงทอง ถอดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ หลังจากที่ตนพูดเรื่องการจัดงานในวัดพระแก้วของนักโทษชายทักษิณ โดยนายธงทอง กล่าวหาว่าตนเอาสถาบันพระมหากษัตริย์ มาเล่น โดยระบุว่า เขามีประสบการณ์ มีความรู้ และมีการศึกษาในประเด็นเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์ ในทางกฎหมายรัฐธรรมนูญ และสิ่งที่ตนพูดออกมานั้น ไม่เป็นธรรมต่อสถาบัน เพราะเป็นสิ่งที่คนไทยหวงแหน และบูชา แต่จากนั้น 4 ปีให้หลัง พล.อ.พิจิตร ออกมาระบุว่า นักโทษชายทักษิณ กระทำการที่มิบังควร และล่วงละเมิดพระราชอำนาจ กรณีจัดงานในวัดพระแก้ว รวมทั้งเรื่องที่นักโทษชายทักษิณ ระบุว่า หากในหลวงมากระซิบข้างหู ก็พร้อมที่จะลาออก
“คำพูดที่ พล.อ.พิจิตร ระบุนั้น ชัดเจน จึงอยากถามว่าระหว่างนายธงทอง กับ พล.อ.พิจิตร นั้น ผู้ใดรับทราบความจริงในราชสำนักมากกว่ากัน อยากถามนายธงทองว่า ในฐานะที่ชอบอ้างตัวว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญในราชสำนักว่า เหตุใด พล.อ.พิจิตร จึงออกมาระบุว่า การกระทำของนักโทษชายทักษิณ เป็นการมิบังควร และเป็นการอาจเอื้อม แล้วนายธงทอง ยังมากล่าวหาว่าผมเอาเรื่องการจัดงานที่วัดพระแก้วไปพูดในรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ เมื่อวันที่ 9 ก.ย.2548 นั้น ไม่เป็นธรรมกับสถาบันพระมหากษัตริย์ แล้วกลุ่มคนที่โจมตีสถาบันโดยเผยแพร่ใบปลิวโจมตีสถาบันกษัตริย์ รวมทั้งนายใจ อึ้งภากรณ์ ที่ออกแถลงการณ์สยามแดง นั้น คุณไม่มีลิ้นจะพูดแล้วหรืออย่างไร หรือเพียงเพราะว่านักโทษชายทักษิณ ในขณะนั้นมีอำนาจ”นายสนธิ กล่าว
แกนนำพันธมิตรฯ กล่าวอีกว่า ลึกๆ แล้ว นายธงทอง คือคนที่แอบสนับสนุนระบอบทักษิณ ใช่หรือไม่ ดังนั้นขอเรียกร้องนายธงทอง ว่า ขอให้ช่วยชั่งน้ำหนักระหว่างสถาบันพระมหากษัตริย์ กับระบอบทักษิณ เพราะตนมีหลักฐานการขออนุญาตการใช้วัดพระแก้ว ซึ่งมีการระบุอย่างชัดเจนว่า เพิ่งมีการยื่นเรื่องขออนุญาตก่อนใช้สถานที่เพียง 2 วัน ที่สำคัญตามประเพณีแล้ว ถ้ายังไม่มีพระบรมราชานุญาติแล้ว จะไม่สามารถใช้วัดพระแก้วได้เลย แต่นายอาสา สารสิน นายแก้วขวัญ วัชโรทัย และนายวิษณุ เครืองาม ก็ออกมาช่วย กลับกันฝั่งนายสนธิ ไม่มีใครช่วย ซึ่งตนเชื่อว่าการกระทำดังกล่าวเพื่อแก้เคล็ดอะไรสักอย่าง ไม่ใช่เป็นการทำบุญประเทศอย่างเด็ดขาด
“ผมเห็นว่านักโทษชายทักษิณ กระทำการไม่สมควร และเป็นการละเมิดพระราชอำนาจ จึงจำเป็นที่จะต้องเอาเรื่องดังกล่าวมาพูด ทั้งๆ ที่รู้ว่ารายการเมืองไทยรายสัปดาห์จะต้องถูกถอดออกไปอย่างแน่นอน เพราะผมเป็นสื่อมวลชนที่ไม่ทรยศต่อจิตวิญญาณของตัวเอง และในฐานะที่ผมเป็นผสกนิกรคนหนึ่ง คำถามมีอยู่ว่าทำไมนายวิษณุ ถึงไม่ออกมาชี้แจงหลังจากจัดงานไปแล้วถึง 4 เดือน นั่นเป็นเพราะนักโทษชายทักษิณ มีอำนาจยิ่งใหญ่มากในขณะนั้น จึงอยากจะฝากไปถึงนายธงทอง ว่า หากคิดว่าใกล้ชิดราชสำนักมากกว่า พล.อ.พิจิตร ขอให้ช่วยออกมาตำหนิ พล.อ.พิจิตร อย่าทำเป็นใบ้ และอย่ามาเล่นกับผม และอย่าลืมว่าคุณพูดอะไรไว้ ผมจะตามล้างตามเช็ดคุณตลอดเวลา ที่สำคัญขอท้าทายว่า วันนี้ พล.อ.พิจิตร ออกมากล่าวสวนทางกับที่นายธงทอง พูด ซึ่งถ้านายธงทอง คิดว่าเป็นฝ่ายถูก ก็ต้องออกมาตอบโต้ พล.อ.พิจิตร ถึงจะเป็นลูกผู้ชาย หรือจริงๆ แล้วนายธงทอง ไม่ใช่ลูกผู้ชาย”แกนนำพันธมิตรฯ กล่าว
http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9520000038607
เมษายน 6, 2009 ที่ 12:23 am
sonthi
วันที่ 06/04/52 “สนธิ” งัดหลักฐานฝัง “แม้ว” จาบจ้วงสถาบัน!อัดยับ “ธงทอง” หางโผล่-แค่ทาสรับใช้
http://www.managerradio.com/Radio/DetailRadio.asp?program_no=1072&mmsID=1072%2F1072%2D0023%2Ewma+&program_id=23224
เมษายน 6, 2009 ที่ 12:26 am
sonthi
“ลูกทักษิณ” ออกหนังสือแก้ต่างให้พ่อ จวกกระบวนการยุติธรรม บอกที่โดนยึดอำนาจเพราะ “คนมันอิจฉา”
http://www.manager.co.th/Entertainment/ViewNews.aspx?NewsID=9520000038362
เมษายน 6, 2009 ที่ 7:24 am
pijittar
องคมนตรี “พล.อ.พิจิตร กุลละวณิชย์” ไม่หวั่น “นช.แม้ว” ฟ้องหมิ่นประมาท ย้ำทุกอย่างพูดเรื่องจริง โดยเฉพาะเรื่องฟอกเงินที่ “เกาะเคย์แมน” ยันพร้อมเชิญอดีตเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย มาร่วมเปิดเผยรายละเอียด แถมยังนำเงินที่เกาะเคย์แมนไปใช้เคลื่อนไหวทางการเมืองภายในประเทศ
วันนี้ (6 เม.ย.) พล.อ.พิจิตร กุลละวณิชย์ องคมนตรี ยืนยันว่าไม่รู้สึกหวั่นวิตกภายหลังมีกระแสข่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะฟ้องร้องตนเองฐานหมิ่นประมาท เนื่องจากมั่นใจว่าสิ่งที่ตนเองพูด ทั้งเรื่องการที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ล่วงเกินพระราชอำนาจ และการฟอกเงินที่เกาะเคย์แมน ล้วนแล้วแต่เป็นความจริง โดยเฉพาะในประเด็นการฟอกเงินที่เกาะเคย์แมนนั้น ตนพร้อมที่จะเชิญนายราล์ฟ บอยซ์ อดีตเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย ที่เป็นผู้ให้ข้อมูลดังกล่าวกับตนมาร่วมเปิดเผยในรายละเอียดด้วย
นอกจากนี้ พล.อ.พิจิตร ยังเปิดเผยด้วยว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ได้นำเงินที่เกาะเคย์แมนไปใช้สำหรับการเคลื่อนไหวทางการเมืองภายในประเทศด้วย
http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9520000038621
เมษายน 6, 2009 ที่ 9:15 am
krungteb
นักธุรกิจลงขันตั้งรางวัล 1 ล้านบาท ล่า”ทักษิณ”เข้าคุก
17:37 น.
ที่มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนดุสิต กลุ่มสยามสามัคคี ประกอบด้วย ข้าราชการบำนาญ กลุ่ม 40 ส.ว. นักวิชาการอิสระ แนวร่วมแพทย์เพื่อประชาธิปไตย และนักธุรกิจ จำนวน 20 คน อาทิ พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม เลขาธิการสำนักงานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ(คมช.) นายคำนูณ สิทธิสมาน นายสมชาย แสวงการ นายไพบูลย์ นิติตะวัน นายวรินทร์ เทียมจรัส นางพรพรรณ บุญยรัตพันธุ์ ส.ว.สรรหา นายสาย กังกเวคิน ส.ว.ระยอง และน.ส.สุมล สุตวิริยะวัฒน์ ส.ว.เพชรบุรี ร่วมกันออกแถลงการณ์ฉบับที่ 1 เรื่องการล่วงละเมิดต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยระบุว่าการกระทำของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และกลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดง มีเจตนาจาบจ้วงสถาบันเบื้องสูง ทั้งในทางเปิดเผยและทางลับ จึงขอเรียกร้องให้ประชาชนลุกขึ้นต่อต้านการกระทำของคนเสื้อแดง
นายสมชาย กล่าวว่า การล่วงละเมิดสถาบันพระมหากษัตริย์ดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งทางเปิดเผยและทางลับ ตั้งแต่เหตุการณ์วันที่ 19 กันยายน 2549 จากบางบุคคล เช่น คอมมิวนิสต์อกหัก นักการเมืองที่สูญเสียอำนาจ โดยเคลื่อนไหวผ่านสื่ออินเทอร์เน็ต ใบปลิว และวิทยุชุมชน มีกลุ่มคนเสื้อแดงเป็นฐานกำลัง อ้างว่าต้องการเรียกร้องประชาธิปไตยและต่อสู้กับเผด็จการ แต่กลุ่มคนดังกล่าวได้ใช้ถ้อยคำเพื่อหลีกเลี่ยงข้อกฎหมายต่อสู้กับระบอบอำมาตยาธิปไตย ทั้งยังโจมตีศาลและกระบวนการยุติธรรมองค์กรอิสระ พร้อมเรียกร้องให้ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษลาออก ทั้งนี้รัฐธรรมนูญพ.ศ.2550 กำหนดว่าการพ้นจากตำแหน่งขององคมนตรีต้องเป็นไปตามพระราชอำนาจ การกระทำดังกล่าวเป็นการล่วงละเมิดต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ จึงขอเรียกร้องให้ประชาชนร่วมลุกขึ้นมาต่อต้านประณามการกระทำของ พ.ต.ท.ทักษิณและกลุ่มบุคคล ที่ร่วมมือกันกระทำการบังอาจล่วงละเมิดสถาบันและมีเป้าหมายให้เกิดสงครามประชาชน เพื่อโค่นล้มโครงสร้างเดิมของสังคมรัฐบาลและกองทัพต้องดำเนินการตามกฏหมายอย่างเคร่งครัดต่อผู้ล่วงละเมิดสถาบัน กระบวนการยุติธรรมต้องเร่งรัดดำเนินการกับพ.ต.ท.ทักษิณและขอให้ประชาชนที่หลงเชื่อข้อมูลที่คลาดเคลื่อนได้ใคร่คราญให้รอบคอบว่าจะเป็นการก้าวเข้าสู่การก้าวล่วงสถาบันหรือไม่
ขณะที่พล.อ.สมเจตน์ กล่าวว่า ช่วงเวลาที่ผ่านมามีเหตุสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นภัยร้ายแรงของประเทศ พวกตนจึงมาหาหนทางเรียกร้องให้คนไทยเข้าใจปัญหาที่เกิดขึ้น โดยเสนอข้อเรียกร้องให้เกิดการแก้ไขปัญหาของประเทศชาติเพื่อไม่ให้ประเทศชาติไปสู่วิกฤติ ทั้งนี้เป็นที่แน่ชัดว่าพ.ต.ท.ทักษิณ เป็นต้นเหตุของปัญหาทั้งหมด จึงขอตั้งรางวัล 1 ล้านบาทกับผู้ที่สามารถนำตัวพ.ต.ท.ทักษิณกลับมาดำเนินคดีในประเทศไทยได้ ผู้ที่พร้อมจะให้เงินรางวัลคือกลุ่มนักธุรกิจที่เห็นว่าพ.ต.ท.ทักษิณเป็นภัยร้ายแรงของประเทศชาติ หากนำตัวพ.ต.ท.ทักษิณกลับมาดำเนินคดีได้เหตุการณ์ทุกอย่างจะยุติได้ ส่วน นายประสาร กล่าวว่า รัฐบาลควรทำได้ดีกว่านี้ในการใช้สื่อชี้แจงประเด็นที่พ.ต.ท.ทักษิณบิดเบือน ไม่จำเป็นเฉพาะช่อง 11 แต่เป็นทีวีช่องอื่นด้วย ต้องออกแรงทางด้านสื่อเข้มข้นกว่านี้ ด้าน นายคำนูณ กล่าวถึงการเผด็จศึกในวันที่ 8 เมษายนว่า ทุกอย่างขึ้นอยู่กับว่าจะมีผู้ชุมนุมมากน้อยเพียงใด หากรัฐบาลยึดหลักกฎหมายที่จะเปิดโอกาสให้ชุมนุมโดยสงบปราศจากอาวุธย่อมสามารถให้มีการชุมนุมได้โดยเสรี อย่างไรก็ตามเชื่อว่าการชุมนุมไม่น่าจะยืดเยื้อเกิน 3 วัน เพราะประชาชนจะต้องเดินทางกลับภูมิลำเนาในวันที่ 10 เมษายน หากยังไม่ได้รับการตอบรับ ผู้ชุมนุมอาจประกาศชัยชนะระดับหนึ่งแล้วสลายการชุมนุมก่อนเพื่อกลับมาในเดือนพฤษภาคมได้ ทั้งนี้บทเรียนจากการชุมนุมที่ผ่านมา ทำให้เห็นว่าฝ่ายที่เริ่มใช้ความรุนแรงก่อน มักจะเป็นฝ่ายแพ้ ดังนั้น มวลชนที่จะชุมนุมหรือรัฐบาลต้องอดทนอยู่ในความสงบ และยืนยันว่าพันธมิตรฯไม่เกี่ยวข้องกับกลุ่มสยามสามัคคี
http://breakingnews.nationchannel.com/read.php?newsid=373140&lang=T&cat=
เมษายน 8, 2009 ที่ 2:02 am
paplam
คำต่อคำ: “ป๋าเปรม” เปิดใจไม่ได้สั่ง “สนธิ” ปฏิวัติ ซัด รบ.ทักษิณแย่เอง
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 31 มีนาคม 2552 15:56 น.
คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น
พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี
ถ้อยคำ “พล.อ.เปรม” ระหว่างเปิดใจกับเหล่าศิษย์เก่ามหาวชิราวุธ สงขลา แจงข้อกล่าวหา “ทักษิณ” ไม่มีอำนาจสั่งให้ “สนธิ” ปฏิวัติ ซัดรัฐบาลทักษิณแย่เอง ทำทหารต้องออกมาปฏิวัติเอง จนคนร้องไชโยไปทั้งเมือง ย้ำไม่ได้นำเหล่าทัพเข้าเฝ้าฯ แต่ทำตามหน้าที่ถวายรายงานสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ยันพูดเรื่องจริง พ้อขี้เกียจต่อความยาวสาวความยึดแก้ตัว ระบุไม่มีฝักมีฝ่าย แต่มีหน้าที่ให้คนไทยรักกัน
ที่บ้านพักสี่เสาเทเวศร์ เมื่อวันที่ 30 มี.ค.ที่ผ่านมา คณะอาจารย์ และศิษย์เก่าวชิราวุธวิทยาลัย ได้เดินทางเข้าพบและให้กำลังใจ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี ที่บ้านพัก ซึ่งสำนักข่าวไอเอ็นเอ็น ได้นำเสนอเนื้อหาคำพูดระหว่าง พล.อ.เปรม ที่ได้กล่าวกับศิษย์เก่าวชิราวุธ กรณีที่ถูก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวหาว่า อยู่เบื้องหลังเหตุปฏิวัติรัฐประหาร เพื่อล้มรัฐบาลทักษิณ มีใจความสำคัญ ดังนี้ “ขอพูดบางกอกน่ะ ใจคอไม่อยากจะพูดเท่าไหร่ คุณทักษิณ ท่านกล่าวหา 3 อย่าง”
ข้อ 1.เขาเปิดเผยว่า ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ คือเรา คือคนเขารู้หมดแล้ว ตั้งแต่คุณทักษิณพูดตั้งแต่วันนั้น แล้วคุณทักษิณ ว่า แต่เราพยายามถามเขาตอนนั้น ว่า หมายถึงเราใช่ไหม เขาก็ไม่ตอบ แล้วเราก็ถามอีกว่า ถ้าไม่ใช่เรา ก็ขอให้บอกมาว่าใคร ให้รู้กันชัดๆ ไม่ได้ถามแต่คุณทักษิณ ให้คนถามคุณหญิงอ้อ ว่า งั้นให้ช่วยพูดหน่อยได้ไหมว่า ที่คุณทักษิณ พูดว่า ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญนั้น ไม่ใช่ผม เขาก็ไม่พูด ตกลงไม่พูด ไม่ตอบ ทั้งสามคำถาม ซึ่งจริงๆ เราก็รู้ว่า เขาหมายถึงเรา ตอนนั้นคุณทักษิณ ไปพูดที่ไหนไม่รู้ แล้วก็เปิดเผยผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ คือ พล.อ.เปรม
ข้อ 2.เขากล่าวหาว่า เราอยู่เบื้องหลังการปฏิวัติของคุณสนธิ เราก็ไม่รู้ว่าจะไปชี้แจงเขาได้อย่างไร เพราะว่าเราไม่ได้อยู่เบื้องหลังการปฏิวัติ เราจะอยู่เบื้องหลังการปฏิวัติไม่ได้ เพราะเราไม่มีหน้าที่ ที่จะต้องไปปฏิวัติ และเราก็ไม่มีอิทธิพลพอที่จะไปบอกคุณสนธิ ว่า “ปฏิวัติเถอะ” เพราะตอนนั้น รัฐบาลคุณทักษิณ นี่แย่มากๆ คนกำลังเล่นงานรัฐบาลทักษิณอยู่ ถ้าคุณจำได้ เขาจึง ไชโย ไชโย กันมาตอนที่ทหารออกมาปฏิวัติ คุณทักษิณ ก็บอกว่า ป๋า อยู่เบื้องหลังการปฏิวัติครั้งนี้ เบื้องหลังนี่ หมายความว่า อย่างไรก็ไม่รู้ เรานี่คงจะไปยุแหย่ หรือไม่ก็รู้ว่า คุณสนธิ จะปฏิวัติ แต่ก็จริงๆ เรามิได้เกี่ยวข้อง เขาก็ปฏิวัติกันไป ก็คิดดูกันเอาก็แล้วกันว่า ถ้าเรามีอิทธิพลพอที่จะไปบอกคุณสนธิ ว่า คุณไปปฏิวัติ คุณสนธิก็แย่ เพราะคุณสนธิต้องคิดเองว่า ทำไมจึงต้องปฏิวัติ มีเหตุใดที่ปล่อยให้รัฐบาลคุณทักษิณอยู่ต่อไปไม่ได้ ไม่ใช่มาเชื่อเรา ฉะนั้น เราไม่ได้อยู่เบื้องหลังเบื้องหน้า
ข้อ 3 เขาบอกว่า เราเป็นคนนำ ผบ.เหล่าทัพ ไปเฝ้าฯพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งก็ไม่จริง คืนนั้นเขาประกาศปฏิวัติกัน ประมาณ 3 ทุ่มเศษๆ คือ วันที่ 19 กันยายน พอเราได้ยินว่า เขาปฏิวัติกันไป เราก็เข้าไปในสวนจิตรฯ ที่เราเข้าไป เพราะเป็นหน้าที่ของเราที่เป็นองคมนตรี เนี้ยเมื่อมีปัญหาอย่างนี้ เราก็ต้องไปอยู่ใกล้ๆ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เผื่อว่า ท่านจะมีรับสั่งอย่างไรบ้าง เราจะได้รับใส่เกล้ามาปฏิบัติ เพราะมันเป็นเหตุการณ์ฉุกเฉิน เราเข้าไปประมาณ 3 ทุ่มเศษๆ คุณสนธิ กับ คุณชลิต ผบ.ทอ.2 คน เข้าไป เมื่อตอน 5 ทุ่มเศษ คุณสถิรพันธุ์ ผบ.ทร. มาทีหลัง มาเกือบ 2 ยาม แสดงให้เห็นว่า เราไม่ได้นำ 3 คน เข้าไปสวนจิตรฯ เพื่อเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เราไปของเราเอง แต่พอตอนที่เมื่อพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯลงมา เราเล่าข้ามตอนไปนิดว่า พวกที่เข้าไปบอก สมุหราชองครักษ์ เขาจะมาเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมุหราชองครักษ์ ก็ไปทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สักพักหนึ่ง ก็เสด็จฯลงมาทั้ง 2 พระองค์ เพราะฉะนั้น เราก็เป็นคนเข้าไปร่วมในการเฝ้าฯ จะว่าเรานำเข้าเฝ้าฯก็ไม่ถูก แต่ว่าเราไปอยู่ในที่นั่นด้วย เพราะฉะนั้น ที่คุณทักษิณ บอกว่า เราเป็นคนที่นำ 3 คนนี้ไปเฝ้าฯพระเจ้าอยู่หัว ก็เป็นเรื่องที่ไม่ตรงข้อเท็จจริง เพราะเราเข้าไปก่อน ชั่วโมงกว่า และเราก็ไม่รู้ว่า เขาจะมา หรือไม่มา เรารู้ก็ต่อเมื่อ คุณสนธิ เข้าไปกับ คุณชลิต ไปเจอเราในสวนจิตรฯ แล้ว นี่คือเรื่องจริงๆ ที่เกิดขึ้น เราขี้เกียจไปต่อความยาวสาวความยืด ไม่แก้ตงแก้ตัว
พะจุณณ์ ก็ทราบดี พวกเราก็ทราบดี เล่าให้ฟังเพื่อจะได้รู้ว่า ที่จริงมันเป็นอย่างไร ที่จริงคุณทักษิณ ก็มาบ้านเราหลายครั้ง คุณอ้อ ก็มาหลายครั้ง แล้วเมื่อ คุณทักษิณ ถูกปฏิวัติ แล้วคุณอ้อ ก็มาอีก แล้วหนังสือพิมพ์ก็เล่นงานเรา จำได้ไหม คุณอ้อ ก็มาให้ป๋าช่วยเหลือตอนนั้น สักประมาณปลายๆ เดือนกันยายน ที่เล่าให้ฟังทั้งหมดนี้ เพื่อจะได้รู้ว่า เหตุการณ์บ้านเมืองตอนนั้น เป็นมาอย่างไร อยากจะพูดกับทุกคน และขอบใจว่า เราเนี้ย เราถือว่า เราไม่มีศัตรู ไม่มีฝ่ายตรงข้ามกับเรา เพราะเราถือว่า เราจะทำหน้าที่ของเรา เพื่อคนไทยทุกคน แต่บางส่วน เขาเห็นว่า เราเป็นฝ่ายตรงข้ามกับเขา เราก็ไม่ว่าอะไร เขาอยากเป็นฝ่ายตรงข้ามก็เป็น แต่เราไม่เป็นด้วย เราถือว่า เราทำเสมอภาค ไม่มีฝ่ายตรงข้าม แต่นี่มีบางคนเห็นว่า เราเป็นฝ่ายตรงข้ามกับเขา เป็นฝ่ายตรงข้ามกับคุณทักษิณ ความจริง เราก็ไม่ได้เป็นฝ่ายตรงข้ามกับคุณทักษิณหรอก ที่เขาปฏิวัติ รู้สึกว่า เขาจะมีเหตุผลพอสมควร นี่คือ ที่อยากให้เข้าใจ ให้รู้เรื่อง ก็ขอบใจที่มากัน และมีหลายคนที่โทรศัพท์มาบ้าง มาพบเองบ้าง ขอมาเชียร์ และมาให้กำลังใจ ผมขอบอกว่า ขอบคุณ กำลังใจผมยังอยู่เต็มร้อย ผมไม่มีปัญหา ผมโดนมาเยอะแล้ว ผมโดนมามากกว่านี้ด้วยซ้ำไป อย่างตอนที่ผมเป็นแม่ทัพ ผมไปปราบ ผกค.เขาก็พูดว่า ปราบพวก ผกค. ผมบอกว่า ผมไม่ได้มาปราบพวกคุณหรอก ผมมาทำความเข้าใจกับพวกคุณ ว่า เราเข้าใจถูก เข้าใจผิดกันอย่างไร ผมไม่มีหน้าที่จะมาปราบคนไทยหรอก มีหน้าที่มาช่วยเหลือพวกไทยด้วยกัน ว่า ทำอย่างนี้ไม่ถูกหรอก ควรจะทำอย่างนี้มากกว่า เพื่อจะได้รู้ว่า ผมไม่คิดว่า คนไทยเป็นศัตรู เป็นฝ่ายตรงข้าม ผมมีหน้าที่ที่จะทำให้คนไทยรักกัน ชอบพอกัน อันนี้ ถ้าหนังสือพิมพ์ถามผม ผมก็จะตอบ บางคนเขาบอกว่า ผมควรจะมาชี้แจง ผมคิดว่ายังไม่ชี้แจงหรอก แต่ถ้าเผื่อถามก็จะชี้แจง แต่เล่าให้พวกเราฟัง โดยเฉพาะเด็กๆ ทั้งหลาย เพื่อจะได้รู้ความจริง….
http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9520000036416
เมษายน 8, 2009 ที่ 2:04 am
paplam
“บิ๊กแอ้ด” สวน “แม้ว” ไปบ้าน “ปีย์” ถกปัญหาชาติ ปัดหารือแผนปฏิวัติ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 28 มีนาคม 2552 19:48 น.
คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น
“พล.อ.สุรยุทธ์” แถลงโต้ “ทักษิณ” ยอมรับไปบ้านปีย์ แถวสุขุมวิทจริง แต่แค่กินข้าวรับฟังปัญหาบ้านเมือง ร่วมกับประธานศาลปกครองสูงสุด ไม่ใช่หารือวางแผนปฏิวัติอย่างที่ถูกกล่าวหา เหน็บคงไม่เหมาะหากจะคุยเรื่องแบบนี้กับตุลาการ พร้อมปฏิเสธไม่มีนิสัยเพ็ดทูลกล่าวหาไม่จงรักภักดี ชี้พระองค์มีสายพระเนตรที่ยาวไกล ย้ำไม่ฟ้องกลับ
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ แถลงโต้ “ทักษิณ”
วันนี้ (28 มี.ค.) ที่ห้องรับรองพิเศษ สนามบินสุวรรณภูมิ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี แถลงข่าวภายหลังเป็นประธานปลูกต้นไม้ 9 ล้านต้นกล้ามหามงคล ในจังหวัดเชียงใหม่ ถึงกรณีที่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและ พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี อดีตรองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (รอง ผอ.รมน.) ระบุว่ามีส่วนเกี่ยวข้องในการร่วมวางแผนล้มรัฐบาล ว่า ตนไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะวางแผนทำรัฐประหาร ซึ่งการพบปะกันในครั้งนั้น เมื่อปี 2549 นายปีย์ มาลากุล ได้เชิญไปร่วมรับประทานอาหารด้วยกันที่บ้านย่านสุขุมวิท โดยในวันนั้นรู้จักเพียงท่านอักขราทร (อักขราทร จุฬารัตน ประธานศาลปกครองสูงสุด) เพียงคนเดียวเท่านั้น ทั้งนี้ ในวันนั้นก็พบกับ พล.อ.พัลลภด้วย ยืนยันว่าไม่ได้มีการหารือวางแผนเพื่อก่อรัฐประหาร แต่พูดคุยถึงสถานการณ์บ้านเมืองในขณะนั้นเท่านั้น ซึ่งคงไม่สมเหตุสมผลที่จะไปพูดเรื่องรัฐประหารกับผู้พิพากษา ต้องไปคุยกับเหล่าทัพดีกว่า ซึ่งโดยส่วนตัวต้องการไปฟังข้อคิดเห็นของผู้พิพากษาเกี่ยวกับสถานการณ์บ้านเมืองที่เกิดขึ้น ซึ่งหากอยากรู้ข้อมูลที่แท้จริงต้องไปถามนายปีย์เอง
“การดำรงตำแหน่งองคมนตรีและจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเมืองไม่ได้นั้น ในฐานองคมนตรีมีหน้าที่ให้คำปรึกษา ที่ปรึกษาไม่จำเป็นต้องนั่งเฉยๆ แต่ต้องมีการหาข้อมูลและรับฟังข้อคิดเห็นต่างๆ ซึ่งยอมรับว่าทุกคนต้องมีอิสระทางความคิดได้ทั้งนั้น” พล.อ.สุรยุทธ์ กล่าว
พล.อ.สุรยุทธ์ ยังกล่าวชี้แจงถึงกรณี พ.ต.ท.ทักษิณ ระบุสาเหตุที่สั่งย้ายจากตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกเพราะมีการไปสั่งฆ่าคนพม่านั้น ยืนยันว่าการเคลื่อนกำลังไปยังพื้นที่ชายแดนส่วนหลังนั้นเป็นการนำกำลังไปฝึกตามปกติ เป็นไปตามขั้นตอน ผ่านการเห็นชอบจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในขณะนั้นคือ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ทั้งภายหลังเหตุการณ์นั้นก็มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวนและผลการสอบสวนก็ยืนยันว่าไม่มีความผิด การพูดว่ามีชาวพม่าเกี่ยวข้องนั้นก็ไม่ใช่เลย ดังนั้นสิ่งที่พ.ต.ท.ทักษิณนำมาพูดนั้นก็เป็นข้อมูลที่คลาดเคลื่อน อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้คงไม่มีการฟ้องร้องดำเนินคดีกับ พ.ต.ท.ทักษิณ หรือ พล.อ.พัลลภ เพราะเชื่อในวิจารณญาณของประชาชนในการที่จะรับฟังข้อมูลที่ตนได้ชี้แจงไปในวันนี้
ทั้งนี้ พล.อ.สุรยุทธ์ ยอมรับว่าได้พูดคุยทางโทรศัพท์กับ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรฯ ที่บอกให้คุยกับ พล.อ.จารุภัทร เรืองสุวรรณ อดีต กกต.ในขณะนั้น ซึ่งก็ได้มีการพูดคุยกับ พล.อ.จารุภัทร แต่เป็นการให้ข้อคิดเห็นเท่านั้น ส่วนที่ พล.อ.จารุภัทร ตัดสินใจลาออกนั้นเป็นการตัดสินใจของ พล.อ.จารุภัทรเอง อีกทั้งยังยอมรับว่าได้โทรศัพท์พูดคุยกับนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ แต่ไม่ได้พูดคุยเรื่องการขอให้เอเอสทีวีเป็นฟรีทีวีอย่างที่หลายฝ่ายระบุ แต่เป็นการโทรศัพท์คุยกันเพื่อให้กำลังใจในต่อสู้ในครั้งนั้น
ส่วนที่มีการเรียกร้องให้ลาออกจากตำแหน่งองคมนตรีนั้น พล.อ.สุรยุทธ์ กล่าวว่า จะรับไว้พิจารณา ถือว่าเป็นข้อคิดเห็นอีกอย่างหนึ่ง แต่ต้องใช้เวลาในการตัดสินใจ และคงไม่มีปัญหาอะไร ที่พ.ต.ท.ทักษิณระบุว่าเตรียมแฉคลิปการทำรัฐประหาร เพราะถือว่าตนได้ชี้แจงไปแล้ว เชื่อว่าทุกคนจะเข้าใจ ก็ไม่มีปัญหาอะไร
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวโจมตีพาดพิงทั้ง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี กับท่านเองได้หารือกันหรือไม่ พล.อ.สุรยุทธ์ กล่าวว่า ยังไม่ได้คุยกันเลย เพียงแต่บอกว่าจะแถลงข่าววันนี้
ส่วนข้อกล่าวหาที่พ.ต.ท.ทักษิณออกมาระบุว่าตนไปกราบทูลว่าจะล้มรัฐบาลทักษิณ เพราะว่าไม่จงรักภักดีนั้นก็ยืนยันว่าไม่เคยทำเรื่องนี้เลย เรื่องนี้ไม่เป็นความจริง ซึ่งส่วนตัวคงไม่บังอาจกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในสิ่งนั้น และไม่เคยปลักปรำ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งเชื่อว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีสายพระเนตรที่ยาวไกล
http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9520000035420
เมษายน 8, 2009 ที่ 2:09 am
paplam
ทักษิณ-กับ “ไอ้-อีแอบ” ริมวัง-ทำงานในวัง..บางคน?
โดย ชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย 7 เมษายน 2552 15:29 น.
อำนาจและผลประโยชน์นั้น เสมือนดาบสองคม..ที่เป็นทั้งพลังสร้างสรรค์และทำลาย แต่ทั้งหมดนี้..ชี้ขาดอยู่ที่..คน..เป็นสำคัญ?
คนดี-จะมีอำนาจและผลประโยชน์ให้มากสักปานใด ก็มิเคยทำให้คนดีกลายเป็นคนเลว ที่เที่ยวทำร้ายทำลายความดี ความถูกต้องชอบธรรม คุณธรรมและจริยธรรมได้อย่างแน่นอน
คนดี-จะไม่ลุ่มหลงในอำนาจและผลประโยชน์ ตรงกันข้ามกลับจะนำอำนาจและผลประโยชน์ไปใช้อย่างเป็นคุณ เพื่อสร้างสังคมที่ดีงาม-มีคุณธรรม-มีจริยธรรม เพื่อศานติธรรมแห่งความผาสุกในสังคมส่วนรวมครับ
คนชั่ว-อำนาจและผลประโยชน์แม้นน้อยนิด ก็ทำให้คนชั่วคนนั้น..กระทำเรื่องชั่วๆ ได้อย่างเหลือเชื่อ อย่าว่าแต่ฆ่าพ่อ-ฆ่าแม่-ฆ่าพระ-ฆ่าคนทุกคนที่ขวางขัดผลประโยชน์อย่างเหิมเกริมป่าเถื่อนราวกับบ้านเมืองไร้ขื่อแปแห่งกฎหมาย
ที่สำคัญไอ้คนจัญไรพวกนี้ยามเป็นใหญ่ จะคอร์รัปชันกันอย่างอุกอาจ และยังบังอาจทำร้ายทำลายชาติ ศาสน์ กษัตริย์ กันอย่างหน้าตาเฉย ดังสถานการณ์กองทัพแดงของทักษิณกระทำกันอยู่ในเวลานี้ ด้วยเหตุผลที่ฟังยังไงๆ..ก็ไม่เข้าท่า บางครากระทำกันโดยไร้เหตุผลด้วยซ้ำไป เพียงเพื่อจะได้มาซึ่งอำนาจ-ผลประโยชน์และอามิสสินจ้างเท่านั้นครับ
ในหลวงผู้ทรงปราดเปรื่องแลมองการณ์ไกล พระองค์จึงตรัสให้ประชาชนคนไทยได้รับรู้และได้ปฏิบัติให้เป็นจริงว่า
ต้องทำให้คนดีได้บริหารบ้านเมือง และต้องกีดกันคนชั่วมิให้เป็นใหญ่!
ประวัติศาสตร์จริงในโลกกลมๆ ใบนี้ ชี้ชัดให้เห็นแล้วว่า คนชั่ว-อำนาจ-ผลประโยชน์ได้ทำให้ประเทศที่เคยยิ่งใหญ่ในโลกแตกสลายมาแล้วมากมาย
ระบอบคอมมิวนิสต์ที่เป็นหนึ่งในมหาอำนาจ เคยยิ่งใหญ่ตีคู่กับสหรัฐอเมริกาอย่างรัสเซีย ต้องแตกแยกเป็นหลายประเทศหรือแตกเป็นเสี่ยงๆ นั้น ส่วนหนึ่งมาจากอเมริกามีไส้ศึกมากมายในรัสเซีย สายลับรัสเซียเหล่านั้นได้เงินทอง-ผลประโยชน์ และอำนาจเป็นเครื่องล่อใจจนขายชาติได้ ต้องถือว่า..รัสเซียล่มสลายนั้น ล้วนเกิดจากคน-อำนาจ-ผลประโยชน์ของคนในรัสเซียเองครับ
พระมหากษัตริย์ของโลกก็มีประวัติศาสตร์ชี้ให้เห็นว่า กษัตริย์องค์ใดไร้ทศพิศราชธรรมกับราษฎร กษัตริย์องค์นั้นก็ยากจะอยู่ได้ในสังคมนั้นๆ กษัตริย์ที่ล้มลงเพราะมีการแก่งแย่งราชบัลลังก์ของพระญาติกันเอง..ก็มี กษัตริย์ที่ล้มด้วยข้าราชบริพารบางคนทรยศไปเข้าด้วยกับอริ..เป็นไส้ศึกเพราะหวังในอำนาจมากขึ้น หรือมีผลประโยชน์ซุกซ่อนอยู่..ก็มีให้เห็นมาแล้ว
พระมหากษัตริย์ของชาติไทยพระองค์นี้ ทรงปกครองทวยราษฎรด้วยทศพิธราชธรรมที่ยิ่งใหญ่มาโดยตลอดต่อเนื่อง ดังนั้น..คนที่คิดจะโค่นล้มพระมหากษัตริย์รัชกาลปัจจุบันจึงมีน้อยมาก และกระทำกันในวงเล็กๆ และลับมากๆ เท่านั้นเอง
ยุคชาติไทยเกิดพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยแน่นอน..คอมมิวนิสต์ไทยก็มุ่งมั่นจะโค่นล้มการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งชาวคอมฯ เรียกกันว่า “ยุคศักดินา” เพื่อเปลี่ยนเป็นการปกครองระบอบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์
เอกสารการโจมตีสถาบันพระมหากษัตริย์ไทย จึงมีทั้งนักทฤษฎีของ พคท.และนักวิชาการที่ฝักใฝ่คอมมิวนิสต์ เขียนและเผยแพร่มากขึ้นเป็นลำดับ โดยเฉพาะหลัง14 ตุลาคม 2516
ห้วงนั้นประเทศข้างเคียงไทยอย่างเวียดนาม กัมพูชา ลาว ถูกเปลี่ยนแปลงเป็นระบอบสังคมนิยม ยิ่งทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์ไทย ตกอยู่ในวงล้อมวิกฤตร้ายแรงเป็นประวัติการณ์!
ดังนั้น..การต่อสู้ทางการเมืองจึงชัดเจนว่า หากฝ่ายคอมมิวนิสต์ชนะ สถาบันพระมหากษัตริย์จะต้องถูกโค่นล้มลงอย่างแน่นอน
การต่อสู้จึงอยู่ในขั้น..ใครแพ้ตาย..คนชนะเท่านั้นจึงจะได้อำนาจรัฐอยู่ในกำมือ!
รัฐบาลไทยชนะ ด้วยการใช้ความรุนแรงปราบปราม ฝ่ายสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ได้สำเร็จ แต่ทำให้คนไทยต้องฆ่าคนไทยด้วยกันเองอย่างทารุณ และคนไทยที่บริสุทธิ์จำนวนไม่น้อย ต้องบาดเจ็บล้มตายโดยไม่รู้อีโหน่อีเหน่ครับ
หลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 เรื่อยมา สถาบันพระมหากษัตริย์มั่นคงยิ่งขึ้น จนกระทั่งมีคนชื่อ ทักษิณ ชินวัตร ทำมาค้าขายผูกขาดสัมปทานรัฐ จนร่ำรวยเงินทองจากธุรกิจโทรคมนาคมจากนักธุรกิจเช็คเด้งดึ๋งดั๋งกลับกลายเป็นอภิมหาเศรษฐีในห้วงเวลาไม่กี่ปี
จากนั้นอภิมหาเศรษฐีก็หันหัวเรือมาเล่นการเมือง ด้วยการใช้เงินซื้อทุกอย่างที่ขวางหน้า ซื้อนักการเมืองทั้ง ส.ส.และส.ว.ซื้อพรรคการเมืองมาสนับสนุนตน ซื้อ กกต.บางคนในองค์กรอิสระและข้าราชการบางคน ที่เกี่ยวข้องและให้ผลได้-เสียในการเลือกตั้งมาเป็นพวกตน
นอกจากนั้นยังซื้อทหารและตำรวจไม่น้อย มาเป็นพวกพ้องกองกำลังลับๆ ของตนอีกด้วย แต่ที่สำคัญคือ..ซื้อกระทั่งคนริมวังและข้าราชบริพารในวังบางคน ไม่ว่าจะเป็นท่านผู้หญิง คุณหญิง ม.ร.ว.และม.ล.บางคนเป็นว่าเล่น
วิธีซื้อคนพวกนี้มีหลายวิธี ทักษิณและภริยาผมทรงหมาแหงนนั้นเก่งครับ ซื้อของแพงๆ มาฝากเป็นนิจ ของที่ซื้อยากซื้อไม่ได้..ผัวเมียคู่นี้ก็เก่ง…ซื้อหรือหามาให้จนได้ รับฝากลูกท่านหลานเธอหรือคนทำงานในวัง เข้าทำงานในรัฐวิสาหกิจ-บริษัทมหาชนของรัฐ หรือเข้าทำงานในบริษัทเครือข่ายของตน เป็นต้น
นอกจากนั้นยังมีการให้อามิสสินจ้างเป็นรายเดือน ให้ผลประโยชน์ทางด้านหุ้นและธุรกิจ รวมทั้งสัมปทานธุรกิจบางอย่างบางด้าน เป็นต้น เห็นว่า..คนสำคัญบางคนที่ทำงานอยู่กับรั้วกับวัง ได้ต่อสัมปทานเหมืองและได้รับความช่วยเหลือในด้านภาษี อ้อ..พี่น้องได้เป็นทั้งนอมินีบริษัท “ดอกไม้แก้ว” ที่อื้อฉาว รวมทั้งลูกยังเป็นถึงผู้บริหารใหญ่ในรัฐวิสาหกิจบางแห่งด้วยครับ
ทั้งหมดของการดูแลเป็นพิเศษนี้ สองผัวเมียมหาภัยคู่นี้..ต้องการเพียงเพื่อความสะดวกในบางเรื่อง ข่าวสารในบางด้าน และจะได้เข้าถึงเจ้าเข้าถึงนายด้วยช่องทางพิเศษสุดครับ
เรื่องทำนองนี้ไม่ควรทำ..ทั้งผู้ให้และผู้รับ แต่ยังพอให้อภัยได้หากสามีภริยาคู่นี้เป็นคนดี แต่ด้วยสามีภริยาคู่นี้..เลี้ยง (ให้เงินทองและงาน)-ส่งเสริม (เป็นรัฐมนตรีกันเลย) พวกทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างเปิดเผยมาตลอด
ยุค “หน้าเหลี่ยม” เป็นนายกรัฐมนตรีมิใช่หรือ ที่ขบวนการทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ได้เกิดและเติบใหญ่อย่างเป็นระบบ พวกคนข้างวังและทำงานในวัง ที่คบค้าสมาคมเป็นพิเศษกับทักษิณไม่รู้จริงๆ หรือแกล้งโง่ ไม่รู้หรือว่า..ทักษิณสนิทชิดเชื้อกับพวกล้มสถาบันพระมหากษัตริย์?
ยุคนี้..ดูเหมือนอันตรายของสถาบันพระมหากษัตริย์ นอกจากจะมาจากขบวนคนชั่วนอกวังแล้ว คนข้างวังและคนทำงานในวังบางคน ที่สถาบันพระมหากษัตริย์ทรงเลี้ยงดู ให้ทั้งเงินทองและเกียรติยศแก่วงศ์ตระกูลของคนบางคนก็ใช่ย่อย
กล้าแอบไปรับเงินรับทองรับผลประโยชน์จากคนอื่น รวมทั้งส่งข่าวบางเรื่องในวังให้ผัวเมียคู่นี้รับรู้เป็นประจำ การกระดังกล่าว..ได้ทำร้ายทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ ทั้งทางตรงและทางอ้อม ทั้งโดยรู้ตัวและโดยไม่รู้ตัวครับ
ต้องยอมรับว่า..เงินและผลประโยชน์ของทักษิณและเมีย ได้ง้างใจคนไทยไม่น้อยให้ขายตัวทั้งลับและเปิดเผยมากมายเหลือเกิน ถึงขนาดมีนายทหารบางคนบอกกับผมว่า ทหารระดับนายพันนายพลบางคนละจากการเป็นทหารของพระมหากษัตริย์ เพราะได้ขายตัวขายใจให้ทักษิณยอมตนเป็น “ทหารแม้ว” ไปแล้ว
มิพักต้องพูดถึงตำรวจแดงบางคน..ที่เทพเทือกปล่อยให้ลอยนวล เป็นหมาต๋าใหญ่คุม กทม.จึงไม่แปลกที่มีนักเลงอันธพาลประจำสลัมบางคน วินมอร์เตอร์ไซค์ตามตรอกซอกซอยบางแห่ง เที่ยวเดินแจกเสื้อแดงและเงินชักชวนผู้คนให้ไปร่วมชุมนุมกับคนเสื้อแดงอย่างโจ๋งครึ่ม โดยตำรวจวางเฉย..ไม่ทำอะไรเลย
เรียกว่า..ตำรวจ-ทหารใหญ่ยิ่งวางตัวเป็นกลางเท่าไหร่ กองทัพแดงทักษิณกลับยิ่งเข้มแข็งขยายตัวมากขึ้นอย่างน่าประหลาด จนมีคนสงสัยว่า..เฮ้ย..นี่มันกลางข้างทักษิณนี่หว่า!
วันที่ 8-9-10 เมษายน 2552 ทักษิณและกองทัพแดงได้ประกาศกร้าวว่า จะล้มระบอบการปกครองเก่า (ปัจจุบัน) สร้างรัฐไทยใหม่อย่างพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน ไล่ประธานองคมนตรีและองคมนตรีออกไปอีกหลายคน โดยไม่สนใจว่า..เป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ
กองทัพแดงบางคนของทักษิณ จาบจ้วงล่วงละเมิด-ทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างเหิมเกริมเติบโตขึ้นอย่างน่ากลัวขนาดนี้ได้ เพราะรัฐบาลอ่อนแอเกินไป ตำรวจ-ทหาร-หน่วยความมั่นคงอ่อนแอเกินไป ปล่อยให้เงินและคนชั่วมีอำนาจเหนือบ้านเมือง-เหนือคุณงามความดี!
อะไรจะเกิดขึ้นน่ะหรือ? จะมีความรุนแรงขนาดไหน? จะมีคนบาดเจ็บล้มตายกันหรือเปล่า? ผมก็ไม่รู้..Bob Dylan ก็ไม่รู้..แต่นักร้องคนนี้บอกว่า Blowin in the wind “คำตอบอยู่ในสายลม” ที่แน่ๆ..คำตอบสำหรับผม..ทักษิณกับกองทัพแดงไม่ชนะหรอกครับ
แต่หากบ้านเมืองเกิดมีปัญหา หรือวินาศสันตะโรล่ะก็..เทพเทือก-พล.อ.อนุพงษ์ ผู้ดูแลด้านความมั่นคง..ต้องรับผิดชอบโดยตรงครับ
ใครขายตัวนั้น..ผมไม่ว่า..แต่ท่านผู้หญิงบางคน ม.ร.ว.บางคน ม.ล.บางคน คนริมวังบางคน คนทำงานในวังบางคน ที่สถาบันพระมหากษัตริย์อุ้มชูชุบเลี้ยงมาแต่รุ่นปู่ย่าตาทวดน่ะ
พวกที่ทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ว่าชั่วแล้ว แต่เราก็ยังถือว่า..เป็นคนชั่วนอกวังครับ!
แต่ไอ้คนที่ชั่วช้ากว่าก็คือ ไอ้คนริมวังและทำงานในวังบางคนสิครับ..ร้ายกาจจริงๆ มันไม่ใช่คน..มันเป็น “หอก” แถมเป็น “หอกข้างแคร่” ของสถาบันพระมหากษัตริย์โดยแท้เลยล่ะจะบอกให้!
http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000039288
เมษายน 8, 2009 ที่ 2:12 am
paplam
“ต๊ะ นารากร” หวั่นการขัดแย้งบานปลาย จวก “เสื้อแดง” วิพากษ์วิจารณ์องคมนตรีเป็นเชิงสัญลักษณ์กระทบสถาบัน เผยตอนนี้ไม่ใช่ความขัดแย้งแดงกับเหลืองแล้ว แต่เป็นความขัดแย้งของระบบการปกครองของประเทศ
หลังจากที่ “เนวิน ชิดชอบ” ออกมาแถลงข่าวร่ำไห้ดับเครื่องชน “นช.ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายใหญ่สุดที่รัก เพื่อขอให้หยุดการกระทำที่ก้าวล่วงในพระราชอำนาจ และพระราชอัธยาศัย ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในกรณีที่ทักษิณและกลุ่มคนเสื้อแดงกล่าววิพากษ์วิจารณ์และเรียกร้องให้ “พล.อ.เปรม ติณสูรานนนท์” ลาออก รวมไปถึงการให้ร้ายองคมนตรีท่านอื่นๆ ซึ่งล้วนถูกแต่งตั้งตามพระราชอัธยาศัย ซัดการที่บอกว่า คนที่พระองค์แต่งตั้งเป็นคนเลวมีเป้าหมายอะไร มีวินิจฉัยที่ดีกว่าพระบรมราชวินิจฉัยของพระองค์ท่านหรือย่างไร ไปก้าวล่วงพระราชอัธยาศัยของพระองค์ท่านได้อย่างไร มีสิทธิอะไร เล่นเอาโดนใจคนทั้งประเทศจนกลายเป็นข่าวโด่งดังไปทั่ว
ล่าสุด “ต๊ะ นารากร ติยายน” ผู้ประกาศข่าวและพิธีกรก็ได้ออกมาแสดงความเป็นห่วงถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะในวันนี้ที่จะมีการรวมพลใหญ่ของกลุ่มคนเสื้อแดง ซึ่งพิธีกรคนดังมั่นใจว่าไม่น่าจะเกิดเหตุการณ์นองเลือด แต่ค่อนข้างเครียดที่ความขัดแย้งทางด้านการเมืองได้ขยายวงกว้างไปถึงองคมนตรี
“อ่านข่าวมาตั้งแต่ปี 48 ที่เกิดเรื่องราวกับบ้านเมืองก็ค่อนข้างเครียดทุกครั้งมันหาทางออกไม่ได้เหมือนเมื่อปีก่อน แต่พอมาปีนี้มีความรู้สึกว่า มันไม่มีทางไปบอกตรงๆ ว่าไม่มีทางไป ความรู้สึกส่วนตัวค่อนข้างเครียด ของปีที่แล้วมันไม่ขนาดนี้ คือจะมีแค่ฝั่งเดียวที่ออกมาแต่อีกฝั่งนิ่งๆ แต่ตอนนี้มันมีสองฝั่งแล้วมันแรงทั้งคู่ คือแดงกับเหลืองและเหลืองนี่ก็มีองคมนตรีด้วย รู้สึกว่าสถานการณ์ตอนนี้มันหาทางออกยากกว่าปีที่แล้ว”
“เครียดนะ ค่อนข้างเครียด แต่เราก็ต้องวางใจเป็นกลางจริงๆ และต้องระวังมากที่สุดในการพูด ยิ่งเวลาที่เราทำทีวีก็ยิ่งต้องระวัง”
เผยเหตุการณ์ความขัดแย้งครั้งนี้ขยายวงกว้างไปไกลถึงองคมนตรีเหมือนเป็นเชิงสัญลักษณ์
“ไม่ได้คิดถึงเหตุการณ์ความรุนแรง แต่คิดว่ามันจะยืดเยื้อและมันจะยิ่งขยายไอ้วงตรงกลาง เมื่อก่อนมันจะวงตรงกลางคือเหลืองตรงนี้ แดงตรงนี้ มันจะมีวงตรงกลางเหลือนิดเดียว แต่ตอนนี้มันเริ่มห่าง ไอ้ความขัดแย้งมันเริ่มขยายวงกว้างใหญ่ขึ้น รู้สึกว่ามันไปไกลถึงองคมนตรี ซึ่งเราก็รู้ว่าสถาบันองคมนตรีใกล้ชิดกับอะไร ซึ่งเป็นสถาบันที่คนไทยเทิดทูน คือเราไม่แตะอยู่แล้วไง แต่พอมันใกล้แบบนี้มันเครียดนะ ทุกวันนี้อ่านข่าวแล้วก็เครียด”
“คือเป็นสัญลักษณ์ ถ้าวิพากษ์วิจารณ์องคมนตรีก็หมายความไปถึงตรงนั้น คือตอนนี้เขาบอกว่ามันไม่ใช่แค่ความขัดแย้งแดงกับเหลืองแล้ว แต่มันเหมือนเป็นความขัดแย้งของระบบการปกครองของประเทศเราตอนนี้เลย”
เผยเหตุการณ์ชุมนุมใหญ่ของกลุ่มคนเสื้อแดงไม่น่าจะเกิดเหตุนองเลือด แต่ความขัดแย้งจะปะทุไปเรื่อยๆ
“แรงขนาดที่ว่านองเลือดไหมคิดว่าคงไม่ เชื่อว่าไม่มีการนองเลือดปะทะกันกวาดล้างกันเชื่อว่าไม่มี(แล้วเสื้อแดงจะทำยังไงถึงจะล้มรัฐบาลได้) คือถ้านองเลือดมันจบใช่ไหม แต่เชื่อว่าไม่นองเลือดแต่มันจะปะทุไปเรื่อยๆ ซึ่งอันนี้มันเครียดกว่า”
http://www.manager.co.th/Entertainment/ViewNews.aspx?NewsID=9520000039545
เมษายน 8, 2009 ที่ 7:08 am
paplam
“องคมนตรี” ชี้ชัด“แม้ว”นั่งทำบุญวัดพระแก้วหมิ่นฯ-แฉจ้องล้มสถาบัน
3 เมษายน 2552 11:11 น.
“องคมนตรี พล.อ.พิจิตร กุลละวณิชย์” ตั้งข้อสงสัยทำไมไม่มีการจัดการเด็ดขาด กับ “ทักษิณ” อย่างต่อเนื่อง ทั้งๆ ที่ถูกศาลพิพากษาจำคุก แต่ไม่ยอมรับโทษ งง อ้างความมีสิทธิพิเศษในเรื่องใด ซ้ำยังจาบจ้วงเบื้องสูง และการนำเงินจำนวนมากไปฝากไว้ตามเกาะที่มีชื่อ เรื่องการฟอกเงิน แนะควรมีการติดตามเรื่องทั้งหมด เพื่อนำข้อเท็จจริงออกมาตีแผ่ให้ ปชช.รู้ ขณะเดียวกัน เผย คณะองคมนตรีประชุมทุกอังคาร ยันไม่มีความคิดเห็นแตกต่างกันตามที่มีนักวิชาการบางคนออกมากล่าว และไม่ยุ่งเกี่ยวการเมือง ชี้ชัด“ทักษิณ” เคยจัดพิธีทำบุญประเทศภายในพระอุโบสถวัดพระแก้ว สมัยเป็นนายกรัฐมนตรี เป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ อีกทั้งยังเป็นการละเมิดพระราชอำนาจ จี้รบ.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินเรื่องนี้โดยเร็วที่สุด
วันนี้ (3 เม.ย.) พล.อ.พิจิตร กุลละวณิชย์ องคมนตรี เปิดเผยภายหลังถูกเอ่ยชื่อถึงบนเวที นปช.ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อคืนที่ผ่านมา โดยตั้งข้อสงสัยถึงเรื่องราวที่ผ่านมาว่า เหตุใดการที่อดีตนายกรัฐมนตรีคนหนึ่ง ถูกศาลพิพากษาจำคุกแล้ว แต่ไม่ยินยอมรับโทษนั้น อ้างความมีสิทธิพิเศษในเรื่องใด หรือการกล่าวถึงสถาบันเบื้องสูงด้วยถ้อยคำที่ไม่ถูกไม่ควร เหตุใดจึงไม่มีผู้ดำเนินการเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง รวมถึงการตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการนำเงินจำนวนมากไปฝากในเกาะที่มีชื่อเรื่องการฟอกเงิน ทำไมจึงไม่มีการติดตามเรื่องเหล่านี้เพื่อนำข้อเท็จจริงให้ปรากฏออกมาให้ประชาชนได้รับทราบ
พล.อ.พิจิตร กล่าวยืนยันว่า ในปัจจุบันนี้ คณะองคมนตรี ไม่มีความคิดเห็นแตกต่างกัน ตามที่มีนักวิชาการบางคนออกมากล่าว ซึ่งตนเองและคณะประชุมร่วมกันทุกวันอังคาร โดยมี พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ เป็นประธาน อย่างสม่ำเสมอ และยืนยันอีกด้วยว่า ไม่มีการยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของการเมือง ตามที่มีผู้กล่าวอ้าง
วันเดียวกัน ที่กระทรวงกลาโหม พล.อ.พิจิตร กุลละวณิชย์ องคมนตรี ได้เดินทางไปเป็นประธานมอบทุนมูลนิธิพระบรมธาตุเจดีย์กาญจนาภิเษกให้กับนักเรียนร่มเกล้าเขาค้อ จ.เพชรบูรณ์ พร้อมให้สัมภาษณ์ถึงแนวทางแก้ไขปัญหาวิกฤตการณ์บ้านเมืองในขณะนี้ว่า ตนเป็นทหารอาชีพ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ต้องปกป้อง ประเทศไทยอยู่รอดมาได้เพราะมหากษัตริย์ทรงปรีชาสามารถตั้งแต่ยุคล่าอาณานิคม สถานการณ์การเมืองที่เป็นแบบนี้เพราะเราไม่ได้สร้างคนสร้างแต่วัตถุดังนั้นเราต้องสร้างคน
เมื่อถามว่า ในฐานะที่เป็นองคมนตรีเป็นห่วงสถานการณ์บ้านเมืองอย่างไร พล.อ.พิจิตร กล่าวว่า เราต้องสร้างคนตั้งแต่เด็กอย่าเน้นวัตถุ ทุกวันนี้พระแก้วมรกตเยาวชนยังไม่รู้ อีกหน่อยจะเหมือนเขาพระวิหารใครเอาไปก็ไม่มีความห่วงแหน เพราะไม่ได้รับรู้ความสำคัญของพระแก้วมรกด
พล.อ.พิจิตร กล่าวด้วยว่า การกระทำและคำพูดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่เคยจัดพิธีทำบุญประเทศภายในพระอุโบสถวัดพระแก้วมรกต ในขณะที่ยังเป็นนายกรัฐมนตรี นั้นเป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ พร้อมทั้งยังเป็นการละเมิดพระราชอำนาจ รวมถึงการพูดปราศรัยที่เอ่ยถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เป็นการกระทำที่มิบังควรอย่างยิ่ง ทั้งนี้ รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรจะเร่งดำเนินการกับเรื่องนี้โดยเร็วที่สุด
อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวคงจะไม่มีอะไรที่จะฝากถึง พ.ต.ท.ทักษิณ แต่อยากจะฝากให้ประชาชนได้พิจารณาข้อมูลที่ได้รับมา
“ไม่อยากฝากเพราะผมเป็นองคมนตรี แต่สิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ล่วงล้ำพระราชอำนาจอย่างไร การทำบุญในวัดพระแก้วทำได้หรือไม่ เราเป็นคนไทยเรากราบพระแก้วมรกตได้ แต่ทำบุญในวัดพระแก้วไม่ได้ ทำไม่ถูก และเมื่อพ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไปแล้ว และโทรศัพท์มาพูดออกผ่านทีวีว่า ถ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โทรศัพท์มากระซิบข้างหูก็จะกลับมา ผมถามว่าพระองค์ท่านเป็นเพื่อนเล่นของเขาหรือ”
ผู้สื่อข่าวถามว่า การกระทำดังกล่าว พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงใช่หรือไม่ พล.อ.พิจิตร กล่าวว่า ใช่ สิ่งนี้ทำไมไม่มีใครเอาเรื่อง ถือเป็นการกระทำที่หมิ่นพระบรมเดชานุภาพแล้ว รับราชการเป็นถึงนายกรัฐมนตรีทำอย่างนี้ได้อย่างไร
ทั้งนี้ยังมีกรณีอื่น พวกคุณที่เป็นนักข่าว เคยได้ยินเกาะคีย์แมน ซึ่งนายราล์ฟ แอล. บอยซ์ จูเนียร์ (H.E. Mr. Ralph L. Boyce, Jr.) อดีตเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย มาพบกับตน และประโยคแรกที่ถาม นายกรัฐมนตรีของไทย (พ.ต.ท.ทักษิณ) ไปยุ่งอะไรกับเกาะเคย์แมน
ทั้งนี้ตนพอทราบมาบ้างจึงถามกลับไปว่าเกาะนี้เป็นเกาะอะไร นายราล์ฟ กล่าวว่า เป็นเกาะที่ฟอกเงินไม่ถูกต้องตามกฎหมายของประเทศนั้น และมีนายกรัฐมนตรีของชาติอื่นด้วย อย่างนายกรัฐมนตรีของอิตาลีเป็นเจ้าของบ่อนคาสิโน เมื่อเขาสืบรู้ก็ต้องลาออก ดังนั้นเมื่อนายราล์ฟ รู้ ทำไมคนอเมริกันส่วนใหญ่ทำไมคนไทยจะไม่รู้ ทั้งนี้สื่อต้องไปตรวจสอบดูว่าเกาะคีย์แมนเป็นอย่างไร เขาเอาเงินไปฝากไว้ทำไม ลองคิดดูทำงานมาแค่ 5-6 ปีมีเงินฝากถึง 1 แสนล้านได้อย่างไร
เมื่อถามว่า หน่วยงานของรัฐย่อหย่อนในการดำเนินการเรื่องนี้หรือไม่ พล.อ.พิจิตร กล่าวว่า ลองคิดเอาเอง เมื่อถามว่ารัฐบาลควรจะดำเนินการอย่างไร พล.อ.พิจิตร กล่าวว่า เรื่องนี้จะต้องนำมาแฉให้ประชาชนรับรู้ให้ได้ สืบมาว่ามันคืออะไร และหมิ่นพระบรมเดชานุภาพหรือไม่ การบอกว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโทรศัพท์มากระซิบข้างหู
ต่อข้อถามที่ว่า การต่อสู้ของ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นการจ้องล้มสถาบันกษัตริย์หรือไม่ พล.อ.พิจิตร กล่าวว่า แน่นอน ทั้งนี้ทำไมคนที่มีหน้าที่รับผิดชอบไม่ไปดำเนินการ ซึ่งการทำงานรัฐบาลในการดำเนินการเรื่องนี้ช้าไป การพูดว่ามากระซิบข้าง ๆ หูเป็นเพื่อนเล่นเขาหรือ พูดแบบนี้ได้อย่างไร
เมื่อถามว่า ได้มีโอกาสเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระองค์มีความเป็นห่วงกับสถานการณ์บ้านเมืองอย่างไร พล.อ.พิจิตร กล่าวว่า ก็แป็นเรื่องที่เราต้องสร้างคน ต้องสร้างให้คนรักหวง และห่วงแผ่นดิน
“ปัญญาชนต้องคิดตรอง และไปเชื่อเขาได้อย่างไร ผมเป็นทหารชั่วชีวิตใช้ไปรบที่ไหนก็ไป แต่เคยไปร่วมงานศพอยู่หน้าเชิงตะกอน และก็ยืนปลง คนเรามีแค่นี้ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ร่างเอาไปไม่ได้ สตางค์สักบาทก็ยังเอาไปไม่ได้เลย กระดูกก็เอาไปไม่ได้ แล้วจะโลภโมโทสันกันไปทำไม ทั้งนี้ยอมรับว่าองคมนตรีได้มีการพูดคุยถึงสถานการณ์บ้านเมืองทุกอาทิตย์” พล.อ.พิจิตร กล่าว
เมื่อถามว่า ปัญหาความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในเวลานี้เป็นเพราะตัวอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ คนเดียวใช่หรือไม่ พล.อ.พิจิตร กล่าวว่า ไม่อยากพูด แต่สื่อลองไปคิดดูเอาเอง เมื่อถามว่า เสียงขององคมนตรีที่มี 18 เสียงจะสามารถสู้เสียงของกลุ่มคนเสื้อแดงได้หรือไม่ พล.อ.พิจิตร กล่าวว่า ต้องจี้ให้คนที่มีหน้าที่รับผิดชอบทำ การกระทำของ พ.ต.ท.ทักษิณ หมิ่นพระบรมเดชานุภาพหรือไม่
ด้าน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีการดูแลความปลอดภัย พล.อ. เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ที่กลุ่มคนเสื้อแดงจะไปปิดล้อมบ้านพักสี่เสาเทเวศร์ในวันที่ 8 เม.ย.นี้ ว่า เป็นเรื่องของทางเจ้าหน้าที่ แต่ พล.อ.เปรม เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ของบ้านเมืองจะต้องดูแลกัน เพราะท่านเป็นรัฐบุรุษที่ทำคุณประโยชน์ให้กับประเทศชาติมานาน ส่วนทหารเป็นผู้ช่วยเจ้าพนักงาน หากตำรวจทำไม่ไหวก็ขอร้องมา
เมื่อถามว่า ขณะนี้ได้มีการประเมินสถานการณ์ว่าจะรุนแรงหรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ไม่น่าจะมีอะไรรุนแรง เพราะเราไม่ได้ไปรบกัน ถ้าไม่พอใจก็สามารถพูดจากัน เพราะทางเจ้าหน้าที่ไม่ได้คิดอะไรรุนแรง เพียงแต่ดูแลรักษาสถานที่ราชการ อย่างไรก็ตาม ทหารไม่ได้เป็นศัตรูกับคนเสื้อแดง กองทัพจะเป็นศัตรูกับประชาชนได้อย่างไร เพราะทหารคือประชาชนที่มาสวมเครื่องแบบ
เมื่อถามว่า กลุ่มเสื้อแดงมีความคิดเมื่อกลุ่มเสื้อเหลืองทำอะไรทางกลุ่มเสื้อแดงก็สามารถทำได้ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า เรื่องนี้จะต้องเลิกคิด เพราะขณะนั้นตนไม่ได้อยู่ด้วย แต่มาวันนี้ ตนมาอยู่ตรงนี้ก็จะบอกกับทหารว่า จะต้องอยู่ในสถานที่ตั้งและทำตามกฎหมาย ทุกอย่างต้องเป็นไปตามกฎหมาย ซึ่งตนได้บอกกับ ผบ.เหล่าทัพไปแล้ว เมื่อถามว่า ทางกลุ่มเสื้อแดงยอมทำผิดกฎหมายโดยไม่สนใจความวุ่นวาย พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ถ้าทำผิดต้องดำเนินการตามกฎหมาย
http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9520000037821
เมษายน 8, 2009 ที่ 7:11 am
paplam
พันธมิตรฯ แถลงประณาม “แม้ว” ป่วนสถาบันฯ-จี้ริบพาสปอร์ตล่าตัวมาลงโทษ
30 มีนาคม 2552 14:56 น.
พันธมิตรฯ ออกแถลงการณ์ประณาม “นช.แม้ว” ใส่ร้ายประธานองคมนตรี กระทบถึงสถาบันฯ เรียกร้องรัฐบาลยกเลิกพาสปอร์ต นำตัวกลับมาลงโทษ พร้อมให้แถลงความจริงคดีทุจริตในระบบทักษิณทั้งหมด จี้ รัฐบาล-ทหาร แสดงบทบาทปกป้องสถาบันเบื้องสูง พร้อมยุติโฟนอิน-วีดีโอลิงก์ ปลุกระดมคนเสื้อแดงของนักโทษชายโดยด่วน
เมื่อเวลาประมาณ 14.30 น.วันที่ 30 มีนาคม 2552 ที่บ้านพระอาทิตย์ นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้อ่านแถลงการณ์พันธมิตรฯ ฉบับที่ 1/2552 เพื่อแสดงจุดยืนต่อกรณีการเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ นักโทษหนีคุก ดังนี้
แถลงการณ์ฉบับที่ 1/2552
พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
เรื่อง
คำเตือนต่อการวางเฉยกรณีมีการบ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์
กรณีที่มีกลุ่มผู้สนับสนุนนักโทษหนีอาญาแผ่นดิน ทักษิณ ชินวัตร ได้จัดการชุมนุมมาตั้งแต่วันพฤหัสบดีที่ 26 มีนาคม พ.ศ.2552 พร้อมกับการถ่ายทอดสดสัญญาณภาพและเสียงของนักโทษชาย ทักษิณ ชินวัตร ปราศรัยปลุกระดมมวลชนกล่าวใส่ร้ายโจมตีประธานองคมนตรี องคมนตรี ศาล ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาดังที่ทราบแล้วนั้น
นักโทษชาย ทักษิณ ชินวัตร และกลุ่มผู้สนับสนุนได้กระทำการปลุกระดมใส่ร้าย ฯพณฯ ประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษ ว่า เป็นผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ ที่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง แทรกแซงข้าราชการและศาล ใส่ความประธานศาลปกครองสูงสุด ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และกล่าวหาองคมนตรีผู้ที่เคยเป็นอดีตประธานศาลฎีกา ว่า เป็นผู้ร่วมกันวางแผนในการล้มรัฐบาลระบอบทักษิณ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นการกล่าวอ้างตามคำบอกเล่าอย่างเลื่อนลอยที่ปราศจากหลักฐานและไร้ซึ่งความรับผิดชอบ
การปลุกระดมดังกล่าวทั้งหมดนั้น เป็นเพียงเล่ห์เพทุบาย เพื่อทำลายความน่าเชื่อถือต่อกระบวนการยุติธรรม และหาเหตุในการต่อรองเพื่อฟอกความผิดและนิรโทษกรรมให้กับนักโทษชาย ทักษิณ ชินวัตร และพวก ตลอดจนเรียกร้องทรัพย์สินของตัวเองที่ถูกอายัด และยึดคืนมาเท่านั้น มิใช่เป็นการต่อสู้เพื่อประชาชนหรือเพื่อประชาธิปไตยตามที่กล่าวอ้างแต่ประการใด
นักโทษหนีอาญาแผ่นดิน ทักษิณ ชินวัตร นอกจากจะหลบหนีคดีความอันเป็นการไม่เคารพต่อคำตัดสินของศาลในพระปรมาภิไธยแล้ว คณะทนายความของนักโทษชาย ทักษิณ ชินวัตร ยังเคยมีประวัติให้เงินสินบนใส่ถุง 2 ล้านบาท กับเจ้าหน้าที่ในศาลยุติธรรม จนถูกศาลฎีกาสั่งจำคุกโดยไม่รอลงอาญา อีกทั้งนักการเมือง และอันธพาลในระบอบทักษิณ ยังข่มขู่คุกคามองค์กรตรวจสอบอิสระตามรัฐธรรมนูญอย่างป่าเถื่อน ดังนั้น คนที่ไม่เคารพและแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมมาโดยตลอด ก็คือ นักโทษชาย ทักษิณ ชินวัตร และพวกทั้งสิ้น
ในขณะที่นักโทษชาย ทักษิณ ชินวัตร กล่าวหาใส่ร้าย ว่า กระบวนการยุติธรรมของประเทศไทยถูกแทรกแซง และไม่เป็นธรรมในคดีที่ตัดสินว่าตัวเองมีความผิด แต่กลับใช้กระบวนการยุติธรรมของประเทศไทยไล่ฟ้องคดีหมิ่นประมาทคนอื่นอย่างไร้ยางอาย ย่อมเป็นการพิสูจน์ว่านักโทษชาย ทักษิณ ชินวัตร เป็นเพียงแค่พูดเอาแต่ได้เท่านั้น หาได้สำนึกความผิดของตัวเองไม่
การที่นักโทษชาย ทักษิณ ชินวัตร ได้อ้างว่า ตัวเองไม่ได้พาดพิงสถาบันพระมหากษัตริย์ การกล่าวหาโจมตีใส่ร้ายประธานองคมนตรี องคมนตรี ศาลล้วนแล้วแต่เป็นองค์กรที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างในพระราชอำนาจตามรัฐธรรมนูญทั้งสิ้น
การปราศรัยบนเวทียังคงมีการพูดโจมตี ใส่ความ และปลุกระดม มิได้จำกัดเฉพาะตัวบุคคลเท่านั้น แต่ยังพาดพิงต่อโครงสร้างสถาบันพระมหากษัตริย์ และสถาบันองคมนตรี ซึ่งสอดคล้องกับพฤติกรรมก่อนหน้านี้ที่มีความพยายามเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อที่จะลดพระราชอำนาจด้วยการยุบเลิกสถาบันองคมนตรี มีการออกแบบจัดตั้งขบวนการเคลื่อนไหวยกเลิกกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ควบคู่ไปกับการปราศรัยจงใจดูหมิ่น อาฆาต มาดร้าย ใส่ร้าย สถาบันพระมหากษัตริย์ ในช่วงเวลาที่ผ่านมาอย่างต่อเนื่อง
พฤติการณ์ของนักโทษชาย ทักษิณ ชินวัตร และพวกทั้งหมดนี้ ดำรงความมุ่งหมายเพื่อกำจัดและทำลายตัวบุคคลและสถาบันภายใต้พระราชอำนาจเสียก่อน เพื่อหวังที่จะกัดกร่อนสถาบันพระมหากษัตริย์ในท้ายที่สุด
พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เป็นรัฐบุรุษที่ได้รับความไว้วางพระราชหฤทัยจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งประธานองคมนตรี มีประวัติซื่อสัตย์สุจริต สร้างคุณูปการให้กับชาติบ้านเมืองมามากมายและยาวนาน การกล่าวหาโจมตี พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ด้วยถ้อยคำอันเป็นเท็จ และหยาบคายของนักโทษชายทักษิณ ชินวัตร และพวก จึงเป็นสิ่งที่ไร้เหตุผลและไม่อาจยอมรับได้
พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจึงมีมติดังต่อไปนี้
1.ประณามการกระทำของนักโทษชาย ทักษิณ ชินวัตร และพวก
2.แม้จะมีความสงสัยกระบวนการยุติธรรมก่อนถึงศาล แต่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยมีความเชื่อมั่นและเคารพต่อศาลไทย ซึ่งกระทำภายใต้พระปรมาภิไธย จึงพร้อมพิสูจน์ตัวเองและน้อมรับคำตัดสินโดยไม่หลบหนี และไม่เรียกร้องการนิรโทษกรรมใดๆ ดังนั้นนักโทษชาย ทักษิณ ชินวัตร จึงต้องยอมรับโทษตามคำพิพากษา และพิสูจน์ตัวเองในคดีทุจริตคอร์รัปชั่นทุกคดีโดยไม่ต้องเรียกร้องการนิรโทษกรรมใดๆ
3.เราขอเรียกร้องต่อรัฐบาลให้ยกเลิกหนังสือเดินทาง และดำเนินการนำตัวนักโทษชาย ทักษิณ ชินวัตร ให้กลับมาลงโทษในประเทศไทย และทำตามข้อเรียกร้องของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยทั้ง 13 ข้อ ตามแถลงการณ์ฉบับที่ 29/2551 ลงวันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ.2551
4.เราขอเรียกร้องต่อรัฐบาลให้แถลงความจริงและคดีทุจริตทั้งหมดในระบอบทักษิณผ่านสื่อของรัฐ และเร่งรัดปฏิรูปสื่อโดยด่วนที่สุด
5.เราขอเรียกร้องให้รัฐบาลและทหารทำหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 77 ต้องพิทักษ์ ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ ความมั่นคงของรัฐ และการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
การวางเฉยต่อการจ้องทำลายสถาบันองคมนตรี และสถาบันพระมหากษัตริย์ ย่อมขัดต่อหน้าที่ มโนธรรมสำนึก และรัฐธรรมนูญ
6.ขอให้รัฐบาลหยุดยั้งการถ่ายทอดภาพและเสียงของนักโทษชาย ทักษิณ ชินวัตร โดยทันที เพราะการปล่อยให้นักโทษหนีอาญาแผ่นดิน ปลุกระดมใส่ความกระบวนการยุติธรรมในประเทศโดยไร้ความรับผิดชอบเช่นนี้ เป็นการทำลายความมั่นคงของชาติในที่สุด
ด้วยจิตคารวะ
พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
วันที่ 30 มีนาคม พ.ศ.2552
รายละเอียดคำต่อคำ ช่วงถาม-ตอบ
ถาม – ตอนนี้มีการเคลื่อนไหวที่มีการเลียนแบบพันธมิตรฯ คือกลุ่มเสื้อแดงมีการปลุกระดมมวลชนปิดล้อมทำเนียบฯ และให้เสื้อแดงปิดล้อมศาลากลาง ตรงนี้พันธมิตรฯ จะตอบสังคมอย่างไรว่าเราเป็นต้นแบบการเคลื่อนไหวการชุมนุม
สนธิ – จะตอบสังคมอย่างไรหรือครับ เราตอบสังคมได้อยู่แล้วครับ เจตนาของการชุมนุมมันไม่เหมือนกันนะครับ เจตนาการชุมนุมของเรานั้นเป็นเจตนาที่เรียกร้องความโปร่งใสของรัฐบาล เรียกร้องให้รัฐบาล ทั้งสมัคร และสมชาย ยุติการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม และเจตนาของเรานั้นให้รีบเร่งดำเนินการจัดการกับความผิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หรือที่เรียกว่านักโทษชาย (นช.) ทักษิณ แต่เจตนาของเสื้อแดงนั้น ไม่ว่ากี่ข้อๆ ก็ตามที่ออกมา เป็นเจตนาที่พิสูจน์ชัดในที่สุดด้วยคำพูดของ นช.ทักษิณ เองที่บอกว่า ให้เลิกแล้วต่อกันและมาเริ่มกันใหม่ แล้วก็ขอทรัพย์คืน เพราะฉะนั้นเจตนา 2 เจตนาต่างกัน เจตนาหนึ่งสู้เพื่อส่วนรวม ทำเพื่อส่วนร่วม แต่อีกเจตนาหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นการเมืองในสภา การเมืองนอกสภา เป็นเจตนาที่ต้องการทำเพื่อคนๆ เดียว เพราะฉะนั้นแล้วไม่เหมือนกันเลยแม้แต่นิดเดียว
ประการที่ 2 การที่เข้าไปล้อมศาลากลางจังหวัดนั้น เท่าที่ทราบมีชัยภูมิ และอุดรธานี 2 แห่ง ที่อุดรธานี ก็มีใคร ถ้าไม่ใช่เจ้าเก่า นายขวัญชัย ไพรพนา ซึ่งใช้คนประมาณ 2-3 ร้อยคน ชัยภูมิก็มีไม่เกิน 100 คน เพราะฉะนั้นแล้วเจตนาต่างกันอย่างมหาศาล คุณภาพ เนื้อหา ของการประท้วงนั้นก็ไม่เหมือนกัน เราไม่เคยที่จะเอารถเครนไปยกคอนเทนเนอร์แล้วก็ทุ่มทิ้งลงไปในคลอง ที่ต่างกันเห็นได้ชัด คือต่างกันต่อการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ปฏิบัติต่อเรา และปฏิบัติต่อฝ่ายของ นช.ทักษิณ ชินวัตร ทั้งๆ ที่ทุ่มรถตู้คอนเทนเนอร์ลงในคลอง ก็ไม่มีการดำเนินคดีอะไรทั้งสิ้นเลยแม้แต่นิดเดียว และถ้าหากสื่อมวลชนได้เข้าไปสัมผัสในบรรยากาศการชุมนุม โปรดสังเกตระหว่างการ์ดของฝ่าย นช.ทักษิณ ชินวัตร กับตำรวจนั้น เป็นเนื้อเดียวกันไปหมดครับ
สมศักดิ์ – สาระสำคัญที่แตกต่างกันชัดเจนนะครับ รัฐบาลทักษิณนั้น ได้อำนาจรัฐมาโดยไม่เป็นไปตามวิถีทางแห่งรัฐธรรมนูญ คือซื้อเสียงเลือกตั้ง ตามมาตรา 69 มาตรา 69 ประชาชนมีสิทธิ์จะต่อต้านโดยสันติวิธี มาตรา 68 บัญญัติว่า ผู้ใดที่ได้อำนาจรัฐโดยไม่เป็นไปตามวิถีทางแห่งรัฐธรรมนูญนั้น ย่อมได้อำนาจมาโดยมิชอบ เรามีสิทธิ์ต่อต้านโดยสันติวิธี โดยใช้สิทธิและหน้าที่ตามมาตรา 70 ที่ปวงชนชาวไทยมีหน้าที่ พิทักษ์รักษาไว้ซึ่งชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และระบบการปกครองแบบประชาธิปไตย หลักฐาน คือโกงการเลือกตั้ง มีการยุบพรรคไปแล้ว
2 ผิดรัฐธรรมนูญ ศาลรัฐธรรมนูญมีคำพิพากษาแล้ว กรณีมาตรา 190 วรรค 2 กรณียกปราสาทพระวิหาร อันนี้ คือชี้ให้เห็น และการโกง การทุจริต ที่อยู่ระหว่างคดี ดังนั้น นั่นคือการต่อสู้ของเราในฐานะพลเมืองที่ใช้สิทธิในการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐตามมาตรา 87 ซึ่งมันต่างจากพวกนี้ ที่ทำหน้าที่ตามที่นักโทษชาย ซึ่งเป็นคนที่มีคำพิพากษาของศาลฎีกา แผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาแล้วว่า ผิด และออกมาโฟนอินปลุกระดมมวลชนให้ก่อความวุ่นวาย อันนี้เป็นความผิด รัฐบาลต้องจัดการ ไม่งั้นนักโทษอีก 2 แสน 3 แสนคน จะขอออกทีวีบ้าง ฉันไม่ผิดต้องปล่อยฉันด้วย อันนี้ คือสิ่งที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง กรณีพันธมิตรฯ เพราะฉะนั้น จะใช้คำว่าลอกเลียนแบบพันธมิตรฯไม่ได้ อันนี้แบบโจร พันธมิตรฯแบบหน้าที่พลเมืองดี
สมเกียรติ – ผมให้เปรียบเทียบสาระหลักนะ ประเด็นเดียวเพื่อไม่ตอบคำถามยาว การให้ข้อมูลต่อประชาชน และการปราศรัยของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย มุ่งปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์และองคมนตรี แต่ นปช.จาบจ้วงและก้าวล่วง 2 สถาบันนี้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเอาเทปมาศึกษากี่รอบๆ ก็ตาม เพราะฉะนั้นเป้าหมายต่อสถาบันสูงสุด ก็แตกต่างกันสิ้นเชิงแล้ว อันนี้คือสาระที่ไม่ได้เลียนแบบ แต่ทำให้เห็นความแตกต่างอย่างชัดเจน
ถาม – การออกคำเตือนอย่างนี้หมายความว่า ถ้าเกิดรัฐบาลหรือคนที่เกี่ยวข้องเพิกเฉยพันธมิตรฯ จะกลับมาชุมนุม หรือมีมาตรการอย่างไรต่อไป
สนธิ – จำได้ไหมครับเราเคยออกคำเตือนรัฐบาลชุดคุณสมัครครั้งแรก ส่วนต่อไปจะเป็นอย่างไรนั้น เรายังไม่ทราบ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ขึ้นอยู่กับเหตุการณ์ แต่ว่า อย่ามองว่าเราเป็นคนที่จะกลั่นแกล้งอะไรเราก็กลั่นแกล้งได้ หรือจะเฉยเมยก็ได้ เราออกมาคำเตือนนี้เป็นการแสดงออกโดยสุจริตใจ เพื่อหวังผลที่ดีว่า เขาฟังแล้วเขาจะได้คิด แล้วเขาจะทำหน้าที่ในสิ่งที่เขาควรทำ โดยเขาไม่วางเฉย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บทบาทของรัฐบาล และบทบาทของทหาร
ถาม – ข้อเรียกร้องข้อที่ 5 อยากเรียกร้องให้รัฐบาลและทหารทำหน้าที่ พอจะบอกสิ่งที่เป็นรูปธรรมได้หรือไม่ว่าต้องการเรียกร้องให้ทหารกับรัฐบาลทำอะไร
จำลอง – คงไม่ต้องระบุหรอกครับ เพราะว่ามันเป็นหน้าที่โดยตรงของเขา เขาต่างหากที่จะต้องรู้เอง
สนธิ – ผมยกตัวอย่างให้ฟังนะครับ พวกคุณเคยไปทำข่าวในช่วงเวลาที่พวกเราชุมนุม คุณจะมีความรู้สึกไหมว่า หลายต่อหลายครั้งโทรศัพท์มือถือในบริเวณที่เราชุมนุมใช้ไม่ได้ เพราะเขาตัดสัญญาณ คำถามผมมีง่ายๆ ว่า เวลาทำไม นช.ทักษิณ ชินวัตร โฟนอินเข้ามา ทำไมโทรศัพท์มันใช้ได้ดีจังเลย ไม่มีการพยายามจะหยุดยั้ง หรือว่าคลื่นวิทยุชุมชน 3 คลื่นในกรุงเทพมหานคร ถ่ายทอดสด 24 ชั่วโมง ชัดใสแจ๋วแหวว แต่เวลาเราชุมนุม คลื่นวิทยุชุมชน 97.75 ถูกรบกวนตลอดเวลา รบกวนตลอดเวลา เพียงแค่นี้ก็ดูออกแล้วไม่ใช่หรือครับ ว่าจริงๆ แล้วมีมือที่ 3 ที่แท้จริงที่อยู่เบื้องหลังการชุมนุมของ พวกของ นช.ทักษิณ ชินวัตร ตลอดจน สิ่งที่คุณสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ยอมรับออกมาเป็นครั้งแรกว่าได้มีเจ้าหน้าที่กรมประชาสัมพันธ์บางราย เข้าไปช่วยเหลือ นช.ทักษิณ ในการถ่ายทอดสดจากต่างประเทศเข้ามา ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เกิดจากการเปิดเผยของผม แล้วเมื่อวานผมก็เปิดเผยต่อ ว่าเจ้าหน้าที่กรมประชาสัมพันธ์ที่ทำนั้น คนนึงอยู่ จ.น่าน คนนึงอยู่ จ.เชียงใหม่ เพราะฉะนั้นแล้วเรื่องพวกนี้ข้อเท็จจริงมีอยู่แล้ว ทุกคนก็รู้ แต่ว่าไม่มีใครทำอะไรเลย
พิภพ – คือการเรียกร้องรัฐบาลและทหารทำหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ นี่ประเด็นแรกนะครับ ส่วนจะทำอะไร ผมคิดว่า ทั้ง 2 ฝ่าย รู้เอง ประเด็นสอง อาจมีการถกเถียงกันว่า นักโทษชายทักษิณ มีสิทธิ และมีเสรีภาพเพื่อแก้ต่างตัวเองในที่ถูกพิพากษาหรือไม่ ตามรัฐธรรมนูญแล้ว นักโทษชาย ทักษิณ ชินวัตร มีสิทธิ และเสรีภาพ แต่ต้องต่อสู้ในกระบวนการยุติธรรม แต่เมื่อนักโทษชายทักษิณ ได้หลบในการแถลง และต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรม และเมื่อศาลตัดสินแล้ว ย่อมไม่มีสิทธิและเสรีภาพในการที่จะพูดนอกศาล โดยใช้สื่อ ผมอยากย้ำคำนี้ “ใช้สื่อและคลื่นสาธารณะที่เป็นของรัฐ” สื่อคลื่นทั้งหมดเป็นของรัฐหมด ไม่ใช่รัฐบาลนะ เป็นของรัฐหมดไม่มีสิทธิ์ใช้
เพราะฉะนั้น การที่รัฐบาลต้องทำหน้าที่ ในการดูแลเรื่องการใช้สิทธิเสรีภาพของประชาชน จะต้องจำแนกระหว่างบุคคลที่ถูกกล่าวหา และถูกนำตัวไปขึ้นศาล ได้ให้สิทธิและเสรีภาพในการต่อสู้คดีอย่างเต็มที่หรือไม่ ปรากฏว่า ในกระบวนการยุติธรรมได้ให้สิทธิและเสรีภาพในการต่อสู้คดีของ พ.ต.ท.ทักษิณ อย่างเต็มที่ แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ สละเอง หนีหมายศาลเอง เพราะฉะนั้นต้องแยกให้ดี เพราะฉะนั้นการที่เราบอกให้ทำหน้าที่ให้ครบ คือตัวนี้ ว่าใครควรมีสิทธิ มีหน้าที่ มีบทบาทในที่สาธารณะ ตอนนี้นักโทษชาย ทักษิณ ชินวัตร ไม่มีสิทธิและอภิสิทธิ์ใดๆ ในฐานะที่เป็นนักโทษ เพราะฉะนั้น รัฐบาลต้องดูแลเรื่องพวกนี้
จำลอง – ผมขอเรียนชี้แจงในฐานะที่เป็นทหารคนเดียว ที่นั่งตรงนี้ ว่า ทหารเราเรียนมา ฝึกมา กินเงินเดือน เพื่อทำหน้าที่รักษาความมั่นคงของชาติ บัดนี้ ความมั่นคงของชาติถูกกระทบอย่างรุนแรง ทหารจะวางเฉยไม่ได้ จะต้องออกมาชี้แจง และบอกประชาชน ว่า จะแก้ไขปัญหานี้อย่างไร
ถาม – และถ้าเกิดการชุมนุมของเสื้อแดงยังยืดเยื้อต่อไป ตามที่เขาบอกว่าจะอยู่นาน จนกว่าจะไล่รัฐบาลได้ ทางเสื้อเหลืองจะมีการออกมาไหม
จำลอง – มันเป็นเรื่องของเขา เขาจะทำยังไง แล้วแต่เขา ส่วนเราติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และเราจะพิจารณาตามสถานการณ์ เป็นระดับไป ที่ออกมาพูดวันนี้ คือเตือนไม่ให้มีการวางเฉย ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลหรือทหาร และเราอยู่เฉยไม่ได้ ต้องติดตามสถานการณ์ เมื่อถึงตอนนั้นจะทราบเองว่า เราควรทำอะไร
ถาม – การที่ท่านบอกว่า ให้ทหารออกมาเพื่อความมั่นคงของชาติ
จำลอง – ผมบอกให้ออกมาชี้แจงนะครับ และบอกกับประชาชนว่าจะแก้ไขปัญหาอย่างไร ประเดี๋ยวจะเข้าใจว่า ให้ทหารออกมาทำอย่างนู้นอย่างนี้ ไม่ใช่นะ ต้องชัดเจน ที่ผมพูดไปชัดเจนมากเลย เพราะเป็นหน้าที่ทหารโดยตรง อย่างพวกเราเรียนมาก็เรื่องนี้ ฝึกมาก็เรื่องนี้ กินเงินเดือนก็เรื่องนี้ โดยตรง คือการรักษาความมั่นคงของชาติ และบัดนี้ ความมั่นคงของชาติถูกกระทบรุนแรงจะวางเฉยได้อย่างไร
ถาม – จะมีวิธีไหนห้ามไม่ใช้ความรุนแรง
จำลอง – แล้วแต่ เขาเรียนมา เขาฝึกมา เขากินเงินเดือน เขาย่อมรู้ว่า สถานการณ์แบบนี้แก้ไขอย่างไร เขาจะวางเฉยต่อไปไม่ได้ เราไม่ต้องไปชี้ว่า ทหารต้องทำอย่างนี้ มันเป็นหน้าที่เขาอยู่แล้ว
พิภพ – ทหารได้ดูแลสื่อ ที่ได้ขึ้นไปจากของรัฐ ไม่ว่าช่อง 7 ช่อง 5 ก็ดี เพราะฉะนั้น เห็นได้ว่า หน้าที่ตามรัฐธรรมนูญเมื่อได้สื่อไปแล้ว สิ่งที่ต้องทำ อย่าไปคิดไกล ว่าเลือกรัฐประหาร ทำอันแรกที่สุด ดูข้อเรียกร้องข้อ 4 คือ ทำแถลงความจริงคดีทุจริต ในการปฏิบัติหน้าที่ของรัฐบาลพรรคไทยรักไทย แทนที่จะเอาคลื่นความถี่ทั้งหมดไปให้กลุ่มทุนมอมเมาประชาชนเรื่องบริโภคนิยม อันนี้ก็เป็นหน้าที่ทหาร หน้าที่รัฐบาล อยู่ในข้อ 4 ไม่ใช่ปล่อยให้นักโทษชายทักษิณ พูดเอาแต่ได้ฝ่ายเดียว และไม่ยอมต่อสู้คดี แถลงคดี เพื่อจะบอกว่าตัวเองไม่ผิด เพราะอะไร กลับมาพูดนอกศาล ขณะเดียวกัน รัฐบาลกลับไม่ทำหน้าที่ รวมทั้งทหารซึ่งเป็นผู้ดูแลสื่อของรัฐ ที่จะแถลงความจริง คดีทุจริตทั้งหมดในระบอบทักษิณ ผ่านสื่อของรัฐ
เพราะฉะนั้นการทำของรัฐบาล และของทหารที่ดูแลสื่อ รวมทั้งหน่วยราชการ มีการกระทำหลายวิธี สิ่งที่พันธมิตรฯต่อสู้ตลอดเวลาคือ ทำความจริงให้ปรากฏครับ
สมเกียรติ – ทหารควรทำหน้าที่ตามพระราชบัญญัติการรักษาความสงบเรียบร้อยภายในประเทศ กอ.รมน. ที่ตั้งกันไปเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา มีการตั้งทหารไปเป็นรองผู้ว่าทุกจังหวัด และมีผู้อำนวยการ กอ.รมน.ยับยั้งการกระทำที่ทำลายความมั่นคงแห่งชาติ ผมอยากให้ทหารได้ทำหน้าที่นี้ นอกจากจะใช้สื่อของทหารที่เอาไปผูกขาดตัดตอนหาผลประโยชน์ ทำประโยชน์ให้ชาติสักครั้งหนึ่ง อันนี้หมายถึงข้อเรียกร้องทหาร และก็ทหารเป็นหน่วยงานเดียวที่ซุ่มซ่อนรอคอยโอกาสจะเอาแต่รัฐประหารอย่างเดียว เอาประโยชน์ เวลาชาติบ้านเมืองต้องการ ทหารกลับซื่อบื้อ เป็นส่วนใหญ่นะครับ
ถาม – ถามกรณี พล.อ.พัลลภ ก่อนหน้านี้ที่ท่านเคยออกมาแสดงจุดยืนเหมือนจะอยู่ข้างพันธมิตรฯ แต่ตอนนี้เหมือนออกมาแฉเรื่องต่างๆ แล้วไปอยู่ฝั่งเสื้อแดง
พล.ต.จำลอง – เรื่องนี้ขอให้เหมือนเดิมครับ คือขอไม่พูดถึงเพื่อน หยิกเล็บก็เจ็บเนื้อ
สนธิ – ผมขออนุญาตพูดแทนท่าน พล.ต.จำลอง ศรีเมือง นะครับ คุณพัลลภ ปิ่นมณี ชอบพูดคำว่า Old soldiers never die,they just fade away ท่านชอบโม้คำนี้ ซึ่งเป็นคำขวัญของอดีตจอมพลDouglas MacArthur นั่นก็คือ ทหารเก่านั้นไม่เคยตาย เพียงแต่หายไปเท่านั้น แต่สำหรับในกรณีท่านพัลลภนั้น ท่านคือ old soldiers dead live away ตายไปเรียบร้อยแล้ว ผมอยู่ในเหตุการณ์ทั้งหมด ผมพูดแทน พล.ต.จำลอง ได้ เพราะ พล.ต.จำลอง ท่านเป็นสุภาพบุรุษมาก ท่านพูดชัด หยิกเล็บเจ็บเนื้อ พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี นั้นมีความต้องการที่จะเข้ามาเป็นแกนนำในพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ตรงกันข้ามกับข้อเท็จจริงที่ท่านพูดให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ว่า พล.ต.จำลอง ไปเชิญท่านมา ไม่ใช่ อยากเป็น ระหว่างการประชุมกันอยู่นั้น พล.ต.จำลอง เสียอีกเป็นคนเดียวที่โพร่งขึ้นมาในที่ประชุม บอก เฮ้ยสนธิไอ้ลภนี่เป็นไม่ได้นะแก แกนนำ ไอ้ลภเป็นอย่างมากที่ปรึกษา นั่นคือประเด็นสำคัญ แล้ว พล.อ.พัลลภ ก็โกรธที่ เมื่อ พล.ต.จำลอง หายไป ไปติดคุกอยู่ตอนนั้น ที่แกไม่ได้ถูกตั้งเป็นแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แกก็เลยเปลี่ยนเข็มของแกทันที ข้อที่ 2. แกชอบพูดเสมอว่า พล.ต.จำลอง สร้างปัญหาให้แกตลอดเวลา พล.ต.จำลอง ไม่เคยสร้างปัญหาให้เพื่อนรุ่น 7 เลย พวกสื่อมวลชนหลายคนซึ่งรู้ไม่ทันเหตุการณ์เมษาฮาวาย ต้องรู้ว่า ตอนที่ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ นั้น ได้ปราบกบฏ จปร.รุ่น 7 เมษาฮาวาย พล.ต.จำลอง เป็นเลขานายกฯ คือเลขาฯ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ หลังจากนั้น พล.ต.จำลอง ก็ลาออกไปสมัครเป็นผู้ว่าฯ กทม. ในการสมัครเป็นผู้ว่าฯ กทม. พล.ต.จำลองด้วยความรักเพื่อน เห็นว่า รุ่น 7 ตกต่ำ ก็ดึงเพื่อน รวมทั้งคุณพัลลภ ปิ่นมณี เข้าไปเป็นที่ปรึกษาผู้ว่าฯกทม. เพื่อช่วยเหลือเพื่อน เพราะฉะนั้นเหตุผลที่บอกว่า คุณจำลอง ไม่ได้รักเพื่อน ทำให้เพื่อนเดือดร้อน ไม่จริง
ข้อที่ 3 สำคัญที่สุด คุณพัลลภ ปิ่นมณี เป็นคนที่ไม่สมควรกระทำอย่างยิ่ง ที่เอาคำพูดในห้องไปพูดคุยกัน คำถามมีอยู่ดังนี้ สิ่งซึ่งคุณพัลลภพูด มีอยู่ว่า จริงหรือไม่จริง เราไม่รู้ แต่ที่เรารู้คือ คุณพัลลภบินไปหาคุณทักษิณ คำถามที่ไม่เคยมีใครตอบคือ ไปพบทำไม สมัยก่อนเห็นเป็นศัตรูกันตลอด และทำไมต้องไปพบ และไปพบหลังจากที่ไม่ได้เป็นแกนนำ และพอไม่ได้เป็นแกนนำก็กล่าววาจาข่มขู่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เป็นระยะ
เพราะฉะนั้น คุณพัลลภ ในที่สุดก็ถูกซื้อตัว เป็นหมากๆ หนึ่ง ซึ่งนักโทษชายทักษิณ เอามาเพื่อทำลายความน่าเชื่อถือ จนวันนี้ก็ไม่รู้ ไม่มีใครรู้ว่า คุณพัลลภพูดจริง หรือ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ พูดจริง แต่ที่แน่ๆ นักโทษชายทักษิณได้ประโยชน์จาก คุณพัลลภ ปิ่นมณี ส่วนคุณพัลลภจะได้แค่รองเท้ากอล์ฟอันเดียว หรือตามด้วยถุงกอล์ฟที่ยัดเงินใส่ด้วย อันนั้นไม่มีใครรู้ คุณพัลลภย่อมรู้แก่ใจด้วยตัวเอง ขอบคุณมากครับ
http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9520000035946
เมษายน 8, 2009 ที่ 7:25 am
paplam
http://www.managerradio.com/
เมษายน 8, 2009 ที่ 7:58 am
plemmar
http://www.managerradio.com/radio/DetailRadio.asp?program_no=1031&mmsID=1031/1031-0546.wma+&program_ID=23274
เมษายน 8, 2009 ที่ 9:32 am
parplemmar
เสื้อแดงเหิมเผาโลงศพ “พระองค์ท่าน…” กลางเมืองโคราช
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 8 เมษายน 2552 14:48 น.
คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น
หมายถึงใคร
แกนนำเสื้อแดงโคราชกับข้อความท้าทายข้างโลงศพ
เผาเย้ยต่อหน้าตำรวจโคราช
ภาพ นักโทษชายทักษิณที่พวกเสื้อแดงบูชา
เผยถ้อยคำหมิ่นเหม่ เขียนไว้ข้างโลงศพของเสื้อแดงโคราชลิ่วล้อทักษิณ “พระองค์ท่าน… พลเอกเปรม… พันธมิตรฯ… รัฐบาลโจร… ชาตะ… มรณะ 8 เม.ย.52” โดยตำรวจโคราชได้แต่ยืนมอง หน้าลานอนุสาวรีย์ย่าโม
เว็บบล็อกโอเคเนชั่น ได้เผยแพร่ภาพหมิ่นเหม่ต่อความรู้สึกของคนไทยทั้งชาติ จากฝีมือของกลุ่มคนเสื้อแดง โดยระบุวานนี้ (7 เม.ย.) บริเวณลานอนุสาวรีย์ย่าโม นางสาวปภัสชนัญญ์ ฉิ่งอินทร์ แกนนำกลุ่มคนของแผ่นดินลูกหลานย่าโม พร้อมสมาชิกกลุ่มประมาณ 20 คน ได้นำโลงศพที่ถูกทำขึ้นด้วยไม้อัดตีเป็นโลง ติดแผ่นอิงก์เจ็ต ทั้ง 4 ด้าน ด้านหน้าและหลัง มีข้อความว่า พระองค์ท่าน… พลเอกเปรม… พันธมิตรฯ… รัฐบาลโจร… ชาตะ… มรณะ 8 เม.ย.52 ส่วนด้านข้างโลงศพมีรูปภาพของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ และรูปภาพของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ติดอยู่ด้วย โดยในโลงศพได้มีการนำเอาเศษฟางมาบรรจุใส่ไว้จนเต็ม
จากนั้น นางสาวปภัสชนัญญ์ แกนนำกลุ่มคนโคราชลูกหลานย่าโม ได้ใช้น้ำมันก๊าดราดลงในโลงศพก่อนที่จะใช้ไฟแช็กจุดไฟม้วนกระดาษที่ได้เตรียมไว้โยนลงไปในโลงศพจนไฟลุกท่วม ใช้เวลาไม่ถึง 2 นาที โลงศพที่ติดรูปภาพของ พล.อ.เปรม และ รูปภาพนายอภิสิทธิ์ก็ถูกไฟเผาจนเหลือแต่เถ้าถ่าน ท่ามกลางสายตาชาวโคราชที่ผ่านไปผ่านมาบริเวณนั้นเป็นจำนวนมาก โดยทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมือง ต้องส่งเจ้าหน้าที่มาควบคุมดูแลรักษาความปลอดภัย จำนวนกว่า 10 นาย ซึ่งมี พ.ต.อ.บุญเลิศ ว่องวัจนะ ผู้กำกับการ สภ.เมืองนครราชสีมา มาคอยสังเกตการณ์ด้วยตนเอง
http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9520000039861
เมษายน 8, 2009 ที่ 9:34 am
parplemmar
http://www.managerradio.com/radio/DetailRadio.asp?program_no=1072&mmsID=1072/1072-0025.wma++&program_ID=23271
เมษายน 8, 2009 ที่ 9:35 am
parplemmar
http://www.managerradio.com/radio/DetailRadio.asp?program_no=1025&mmsID=1025/1025-1918.wma&program_ID=23276
เมษายน 8, 2009 ที่ 9:36 am
parplemmar
http://www.managerradio.com/radio/DetailRadio.asp?program_no=1074&mmsID=1074/1074-0008.wma+&program_ID=23281
เมษายน 8, 2009 ที่ 9:37 am
parplemmar
http://www.managerradio.com/radio/DetailRadio.asp?program_no=1044&mmsID=1044/1044-0571.wma+&program_ID=23283
เมษายน 8, 2009 ที่ 9:38 am
parplemmar
http://www.managerradio.com/radio/DetailRadio.asp?program_no=1032&mmsID=1032/1032-1454.wma+&program_ID=23267
เมษายน 8, 2009 ที่ 9:38 am
parplemmar
http://www.managerradio.com/radio/DetailRadio.asp?program_no=1065&mmsID=1065/1065-0019.wma+&program_ID=23190
เมษายน 8, 2009 ที่ 9:39 am
parplemmar
http://www.managerradio.com/radio/DetailRadio.asp?program_no=1070&mmsID=1070/1070-0041.wma&program_ID=23278
เมษายน 8, 2009 ที่ 9:54 pm
doobi
คนตุลาฯ นับหัวม็อบแดงไม่เกิน 2 หมื่น-“สมเกียรติ”คาด 3 วันไม่ชนะ ลงใต้ดินแน่
9 เมษายน 2552 06:32 น.
อดีตคนเดือนตุลาฯ คาด”ม็อบแดง”คนไม่เกิน 2 หมื่น เตือนหัวโจกอย่าแอบอ้างยิ่งใหญ่กว่า 14 ตุลาฯ ชี้ “แม้ว”ข้อมูลพลาด โดนลูกน้องหลอก จวกทำตัวเป็น “สุนัขในรางหญ้า”ขวางรัฐบาลแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ด้าน “สมเกียรติ”มองยุทธ์ศาสตร์ “นช.ทักษิณ”หวังผลระยะยาวตั้งรัฐไทยใหม่ ประกาศสงคราม ปชช. เดินแผนค่อยๆ เปลี่ยนความคิดคน แต่พลาดเลือก“ป๋าเปรม”เป็นเป้า คาดหาก 3 วันไม่ชนะ เล่นเกมใต้ดินแน่
คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายการ “คนในข่าว”
รายการ “คนในข่าว” ออกอากาศทาง เอเอสทีวี-ทีวีของประชาชน ช่วงเวลา 20.30-21.30 น. วันที่ 8 เม.ย. นางสาวรัตน์ติกรณ์ จารุเกษตรวิทย์ ดำเนินรายการ โดยมีนายชัยวัฒน์ สุรวิชัย ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาการเมืองภาคประชาชน และนายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเป็นแขกรับเชิญ ร่วมวิเคราะห์การชุมนุมของคนเสื้อแดงและยุทธศาสตร์การเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
**คาดม็อบแดงมาไม่เกิน 2 หมื่น
กรณี พ.ต.ท.ทักษิณ อ้างว่าถ้าคนเสื้อแดงตาย 1 คน เขาจะกลับเข้ามานำทัพนั้น นายชัยวัฒน์กล่าวว่า ขอถามว่า ในอดีตตอนเป็นหัวหน้าพรรคพลังธรรม ขณะที่ลูกพรรคกำลังต่อสู้ในการเลือกตั้ง แต่ในที่สุด พ.ต.ท.ทักษิณก็ทิ้งพรรค จนได้ ส.ส.มาแค่คนเดียว ดังนั้นจึงขอเตือนแกนนำคนเสื้อแดง ไม่ว่านายวีระ มุสิกพงศ์ หรือใครก็ตาม จะประสบชะตากรรมแบบนี้ คือในที่สุด ก็จะถูก พ.ต.ท.ทักษิณทิ้งหนีไป
ส่วนที่ พ.ต.ท.ทักษิณและแกนนำคนเสื้อแดงอ้างว่า การชุมนุมวันที่ 8 เม.ย.ยิ่งใหญ่กว่า 14 ตุลาคม หรือพฤษภาทมิฬนั้น นายชัยวัฒน์ในฐานะอดีตผู้ต้องหาคดีกบฏเรียกร้องรัฐธรรมนูญ ในช่วงเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 กล่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณเชื่อในการสื่อสาร คิดว่าถ้าสื่อสารออกไปโดยพูดซ้ำบ่อยๆ แล้วคนจะเชื่อ และเก่งในการตัดสินใจ แต่ต้องมีข้อมูล ซึ่งคราวนี้ พ.ต.ท.ทักษิณพลาดเพราะอยู่ไกล และไม่มีข้อมูลที่เพียงพอ จึงถูกคนที่ต้องการสร้างผลงานที่บอกว่าถ้าคนมา 2-3 แสนก็จะได้ค่าใช้จ่าย แต่ตนในฐานะวิศวกรและพรรคพวกลองคำนวณดูแล้ว ผู้ชุมนุมครั้งนี้ไม่น่าเกิน 2 หมื่นคน จะเห็นว่าตั้งแต่เริ่มต้นชุมนุม 10 กว่าวันก่อนหน้านั้น ยังออกจากสนามหลวงไม่ได้ เพราะคนยังน้อยอยู่ เพราะฉะนั้นที่อ้างว่ายิ่งใหญ่กว่า 14 ตุลา หรือพฤษภาทมิฬนั้น อยากถามพี่น้องที่อยู่ในเหตุการณ์เดือนตุลาฯ ว่า ปล่อยให้ พ.ต.ท.ทักษิณมาแอบอ้างได้อย่างไร
อย่างไรก็ตาม นายชัยวัฒน์ ย้ำว่า การชุมนุมครั้งนี้ เป็นการตัดสินใจที่พลาดอย่างยิ่งของ พ.ต.ท.ทักษิณ เหมือนครั้งหนึ่งที่มีการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. พ.ต.ท.ทักษิณให้โหรที่มีประวัติดีมาช่วย แต่โหรคนนั้นทำตามใจ พ.ต.ท.ทักษิณ เลือกตั้งครั้งนั้นจึงแพ้อย่างย่อยยับ พ.ต.ท.ทักษิณโชคดีครั้งเดียวตอนอยู่พรรคพลังธรรม เพราะคนในพรรคไม่มีผลประโยชน์เวลา พ.ต.ท.ทักษิณทำผิดเขากล้าวิจารณ์ แต่ตอนไปอยู่ไทยรักไทย ลุกน้องทุกคนเงียบหมด เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณบริหารแบบเผด็จการ เป็นซีอีโอ ไม่ไม่ใครกล้าเกียง มีอะไรให้เจ้านายพูดหมด
**ยุทธศาสตร์ “แม้ว”หวังผลยาว-เปลี่ยนโครงสร้างประเทศ
ด้านนายสมเกียรติ กล่าวว่า การชุมนุมครั้งนี้เป็นการจัดตั้งกองทัพส่วนตัวที่แข็งขัน ที่หวังประโยชน์ระยะยาว ประโยชน์ระยะสั้นอาจไม่ได้ แต่ระยะยาวจะลดทอนสถาบันลงได้ ฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณจึงบอกว่าจะเปลี่ยนแปลงเป็นรัฐไทยใหม่ แม้เขาจะอายุ 60 ปีก็ยังไม่สาย และพร้อมที่จะเหนื่อยตอนอายุ 60 อีกครั้ง เขาจะเริ่มต้นต่อสู่กับข้อถกเถียงในสังคมไทยเพื่อไปสู่เป้าหมายสูงสุด คือ ต้องการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของประเทศ นี่คือยุทธศาสตร์ของเขา และยุทธศาสตร์ที่ 2 คือการได้อำนาจรัฐ ซึ่งเขาเคยได้มาแล้วสมัยรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ แต่อยู่ไม่ได้ เพราะเป็นอำนาจรัฐที่ชั่วร้าย เป็นหุ่นเชิด
นายสมเกียรติ กล่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ อาจไม่ได้ต้องการผลตอนอายุ 60 ปี หรอกการจะโค่นล้มสถาบันหลักในทันทีนั้นทำไม่ได้ เพราะกองทัพยังอยู่ พันธมิตรฯ ก็ยังอยู่ ผู้เลื่อมใสในระบอบการปกครองเดิมก็ยังอยู่ แต่เขาหวังผลในระยะ 10 ปีข้างหน้า เหมือนการล้มราชวงศ์เนปาล ที่กลุ่มกบฏลัทธิเหมาประกาศตั้งแต่ปี 2539 และโค่นล้มสำเร็จในเดือนเมษายน 2551 ซึ่งตอนนั้นเอ็นบีทีเอามาฉายซ้ำหลายรอบ เป็นการเปลี่ยนจากระบบกษัตริย์มาเป็นสาธารณรัฐ โดยใช้สภาและการเลือกตั้ง แต่ก่อนหน้านั้นมีการต่อสู้โดยกลุ่มกบฏลัทธิเหมาจนนำไปสู่การเจรจา และกลุ่มกบฏก็เปลี่ยนมาเป็นพรรคการเมืองลงเลือกตั้งและยึดสภาได้ในที่สุด ทั้งที่กลุ่มกบฏลัทธิเหมามีนักรบแค่ 2 หมื่นคน แต่เขาต่อสู้ไปเรื่อยๆ เหมือน พ.ต.ท.ทักษิณที่โฟนอินเข้ามาเรื่อยๆ เพื่อเปลี่ยนความคิดคน ถ้ารัฐไม่ตอบโต้ คนก็จะเชื่อว่า “รัฐไทยใหม่”ที่เขาจะสร้างขึ้นจะทำให้สังคมไทยดีขึ้นจริงๆ
“คิดว่าทักษิณไม่ต้องการเผด็จศึกตอนนี้ แต่หวังผลในระยะ 1-10 ปีข้างหน้า ซึ่งเหตุการณ์บ้านเมืองจะแปรปรวน สภาพไร้การบังคับทางกฎหมายจะเกิด แค่ชิมลาง เอาคน 20 คนไปรุมนายกฯ รัฐบาลยังทำอะไรไม่ได้ ต่อไปเขาจะมีเวทีเต็มที่ ทั้งในสภา ทั้งกองกำลังส่วนตัว ม็อบเสื้อแดง เพระราฉะนั้นอย่าให้ฝ่ายความมั่นคง สมช.ตอบโต้แค่ระดับยุทธวิธี แค่เอาคนไปล้อมบ้านป๋าไว้ เพราะเขาต่อสู้ทางยุทธศาสตร์ เรื่องการเปลี่ยนความเชื่อของคน”นายสมเกียรติกล่าว
นายสมเกียรติ กล่าวต่อว่า อำนาจรัฐไทยตอนนี้ กำลังทำลายประเทศทางอ้อม โดยไม่หักล้างข้อกล่าวหาของทักษิณ ทำให้คนในชาติหลงเชื่อในคำโฆษณาการ ไม่ใช่แค่พูดว่า ตอนนี้เป็นประชาธิปไตย ต้องดูแลไม่ให้นอกกรอบของกฎหมาย แต่เป็นสิทธิเสรีภาพที่จะทำได้ ซึ่งมันไม่ใช่ สิ่งที่ทักษิณพูดมันเป็นโฆษณาชวนเชื่อ เพราะฉะนั้นช่อง 11 ไม่ใช่โทรทัศน์แล้ว แต่มันเป็นอาวุธที่ต้องเอาออกมาสู้ ไม่ใช่ปล่อยให้พวกงี่เง่าไปพูด
นายสมเกียรติ กล่าวอีกว่า พ.ต.ท.ทักษิณจะใช้วิธีค่อยๆ ให้การศึกษาคน ออกแบบให้เห็นว่า คนนั้นคนนี้เป็นศัตรูของประชาชน เช่น บอกว่าองคมนตรี เป็นศัตรูประชาธิปไตย วางแผนยึดอำนาจจากประชาชน ตอนแรกก็ตีเหมารวม ต่อมาก็แยกออกมา 2-3 คน และแยกองคมนตรีออกมาจากสถาบันสูงสุด รวมทั้งพยายามดึงเอาผู้ที่ถูกตัดสิทธิทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็น 111 ศพ 109 ศพ มาเป็นพวกด้วย
**ยุทธวิธีพลาด เลือกตี “ป๋า”
อย่างไรก็ตาม นายสมเกียรติ กล่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณดำเนินยุทธวิธีพลาดที่เลือกเป้าที่แข็งที่สุดในประเทศไทย คือการดจมตี พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ได้เห็นจังหวะก้าวของ พล.อ.เปรมที่ไปที่กองทัพภาคที่ 2 และคำประกาศของ พล.ร.ท.พะจุณณ์ ตามประทีป ว่าท่านไม่หนีไปไหน ทำให้เห็นถึงความสงบนิ่ง
“ยุทธิวิธีทักษิณผิดพลาดที่ไปล้อมบ้าน พล.อ.เปรม แกนนำเสื้อแดงคนหนึ่งที่เคยทำงานกับผม บอกว่าวันนี้ยิ่งใหญ่ที่สุด ผมอยากหัวเราะก๊าก เพราะมันไม่จริง โฆษกของพวกเขาถึงได้เลื่อนประกาศวันแตกหักออกไปเป็นพรุ่งนี้ 4 โมงเย็น จากที่เขาเคยบอกว่า จะประกาศวันแรกเลยให้เป็นวันแตกหัก วันที่ 8 เมษาฯ เป็นวันสุดท้ายของชีวิต พล.อ.เปรม ที่จริงมันเป็นวันสุดท้ายของพวกเสื้อแดงมากกว่า คุณลองบุกเข้าไปสิ มวลชนอันไพศาลทั่วประเทศจะออกมา ในที่สุดคุณก็ต้องถอนร่น แยกออกเป็น 3 เวที
“ผมอยากให้ลองเทียบดู ระหว่าง พ.ต.ท.ทักษิณกับ พล.อ.เปรม คนหนึ่งโกงชาติฉิบหาย คนหนึ่งซื่อสัตย์สุจริต คนหนึ่งปล้นแผ่นดิน คนหนึ่งตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน มันเทียบกันได้อย่างไร”นายสมเกียรติกล่าว
** “แม้ว”พลาดโดนคนใกล้ชิดปอกลอก
ด้านนายชัยวัฒน์ กล่าวเสริมว่า โดยนิสัยของ พ.ต.ท.ทักษิณแล้ว เป็นคนใจร้อน ต้องการประสบความสำเร็จระยะสั้น แต่เขาพลาดที่หลงไปคิดว่าคนไม่เอาระบอบเดิมแล้ว เพราะไปเชื่อคนใกล้ชิดที่ให้ข้อมูล ขอบอกว่าตอนนี้พ.ต.ท.ทักษิณไม่มีมิตรแท้ มีแต่มิตรเทียม มิตรปอกลอกที่หลอกใช้ และต่างคนต่างก็หลอกใช้กัน
นายชัยวัฒน์ กล่าวต่อว่า ในด้านการทำธุรกิจ พ.ต.ท.ทักษิณไม่เคยประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจอย่างตรงไปตรงมา แต่ประสบความสำเร็จในธุรกิจที่ใช้อำนาจ เช่น สัมปทานดาวเทียม สัมปทานการสื่อสาร ในทางการเมืองก็เช่นกัน ถ้าเล่นการเมืองตามระบอบประชาธิปไตยเขาก็ไม่ประสบความสำเร็จ แต่เขาประสบความสำเร็จเรื่องการใช้เงิน
“เขาไปอยู่พรรคพลังธรรม ตอนที่ผมอยู่ แล้วเขาก็ได้ข้อสรุปว่า นี่เขาพูดเลย ว่า โดยระบบการเมืองแบบนี้ พรรคพลังธรรมเป็นพรรคที่ดีมาก ตั้งแต่ได้สัมพันธ์กับพรรคต่างๆ มา แต่อุดมการณ์แบบพรรคพลังธรรมไม่สามารถที่จะทำให้ได้จัดตั้งรัฐบาลได้ เพราะฉะนั้นเขาขอเว้นวรรควิธีการแบบพรรคพลังธรรม นั่นคือเขาจะซื้อเสียง เพื่อให้เข้าไปมีอำนาจ เมื่อได้เป็นรัฐบาลมีอำนาจแล้ว เขาจึงจะใช้วิธีการแบบพรรคพลังธรรม แต่ปรากฏว่าพอเขาได้อำนาจแล้ว เขากลับคอร์รัปชั่น ยิ่งมีอำนาจมากยิ่งคอร์รัปชั่นมาก”นายชัยวัฒน์กล่าว
**เปรียบ “แม้ว”สุนัขในรางหญ้า
นายชัยวัฒน์กล่าวต่อว่า พ.ต.ท.ทักษิณเป็นคนเห็นแก่ตัวมาก ในภาวะที่เศรษฐกิจของประเทศกำลังมีปัญหาวิกฤติอย่างนี้ เขากลับเห็นว่าอย่าปล่อยให้พรรคประชาธิปัตย์ได้มีโอกาสทำงาน ต้องหาทางขัดขวาง เพราะถ้าพรรคประชาธิปัตย์แก้ปัญหาได้จะทำให้ประชาชนลืมสิ่งที่เขาทำไว้ ตอนนี้ พ.ต.ท.ทักษิณจึงเหมือนสุนัขในรางหญ้า คือหญ้ามันเป้นของวัวของควาย สุนัขมันกินหญ้าไม่ได้ แต่มันก็หวงไว้ เพราะเมือตัวเองไม่สามารถกินได้ คนอื่นก็อย่าได้กิน สรุปคือเขาจะเอาแต่ได้คนเดียวทั้งที่คนส่วนใหญ่เดือดร้อน
นายชัยวัฒน์ กล่าวต่อว่า ตนรู้จักคนในพรรคเพื่อไทยหลายคนเขาเบื่อระอากับ พ.ต.ท.ทักษิณค่อนข้างมาก กับคนไม่กี่คน สิบกว่าคนที่มีบทบาท เขาด่าตลอดเวลา อยากฝากไปถึงนายวีระ ในฐานะเพื่อนกันว่า สมัยที่ตนอยู่พรรคพลังธรรมนั้น ทางพรรคอยากจะดึงนายวีระเข้ามาร่วมด้วย แต่มีผู้หญิงคนหนึ่งคัดค้าน และอีกคนคือ พ.ต.ท.ทักษิณ เขาบอกว่า “ไอ้วีระมันโดนคดี เอาเข้ามามีแต่เสีย” นายวีระจึงไม่ได้เข้าพรรคพลังธรรม นายวีระอาจจะรู้เรื่องนี้แล้วก็ได้ แล้วตอนนี้ก็หลอกใช้ พ.ต.ท.ทักษิณ หรือต่างคนต่างหลอกใช้กันอยู่ก็ได้
** 3 จุดแข็งของระบอบทักษิณ
นายสมเกียรติ กล่าวว่า ระบอบทักษิณที่เติบโตมา ตั้งแต่ปี 2544 ยังมีจุดแข็งอยู่ 3 จุด คือยังครองเสียข้างมากในสภาได้ นี่คือจุดที่เขาต้องการยุบสภา ซึ่งพรรครัฐบาลกลัว เขาจึงชอบอ้างอิงอำนาจของประชาชนอยู่เสมอ เป็นเรื่องที่เราไม่สามารถทำคำชี้แอจงไปถึงประชาชนได้ เพราะระบบสื่อสารของเราล้มเหลว มีนโยบายใหม่ๆ เข้าไปได้บ้างเล็กน้อย เช่น เบี้ยยังชีพคนแก่คนละ 500 บาท อสม.คนละ 600 บาท 9.7 แสนคน เรียนฟรี 12 ล้านคน
จุดแข็งที่ 2 คือ เขาสร้างคู่ต่อสู้ได้ เพื่อแยกทำลายทีละองค์กร โดยสถาบันองคมนตรี เขาก็พุ่งไปที่คนแก่ 2 คน ที่แข็งที่สุด ซึ่งถ้าเขาเอาลงได้ สถาบันก็จะสั่นคลอน ขณะที่กองทัพก็ซื่อบื้อไร้ราคา และจุดแข็งที่ 3 ตอนนี้ระบบเศรษฐกิจมันพังทลายทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณเอาไปพูดยังไงเขาก็ดีไปหมด เพราะเศรษฐกิจมันซวนเซรัฐบาลแก้ยังไงก็ยังไม่เห็นผลเด่นชัด มันทำให้เห็นว่าระบอบทักษิณยังมีจุดแข็งในจุดอ่อน จึงไม่อยากให้ประมาทว่าเขามาได้แค่นี้ไปเยาะเย้ย เพราะรัฐห่วยๆ ในไทยมันก็มี
**สงครามประชาชนเริ่มแล้ว-ระวังเกมใต้ดิน
นายสมเกียรติ กล่าวต่อว่า สถานการณ์ขณะนี้ มันเหมือนกับตอนกบฏลัทธิเหมาประกาศสงครามในเนปาล เพราะมีการประกาศสงครรมประชาชน จะสร้างรัฐไทยใหม่ เพราะฉะนั้นจึงถือว่าเราอยู่ในสงคราม สื่อมวลชนที่รัฐมีต้องใช้เป็นอาวุธในการต่อสู้ ตอนนี้ไทยคม 5 มันจะพังทลายประเทศไทย ถ้าไม่จัดการ
นายสมเกียรติ กล่าวต่อว่า สำหรับบทบาทพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยนั้น จะยังคงปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ ต่อต้านระบอบทักษิณ แต่ถ้ารัฐบาลเพลี่ยงพล้ำจริงๆ เราคงมาปรึกษาหารือกัน เราคงยกประเทศไทยให้ระบอบทักษิณที่ชั่วร้ายและเป็นทุนสามานย์ไม่ได้ แต่การประกาศของเราต้องดูจังหวะก้าวให้ดี ไม่เช่นนั้นพันธมิตรฯ ก็จะกลายเป็นสุนัขล่าเนื้อไป เราขอให้สถาบันต่างๆ ในสังคมออกมาร่วมกันปกป้อง แต่ถ้าไม่ไหวจริงๆ เมื่อถึงเวลานั้น เราจึงจะมาปรึกษาหารือกัน
นายสมเกียรติ กล่าวตอนท้ายว่า หาก 3 วันหลังจากนี้ ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก็จะเข้าหลักสงครามประชาชน คือก่อความรุนแรงให้เหตุการณ์บานปลาย เป็นสงครามประชาชน ถ้าก่อความรุนแรง สร้างเงื่อนไขให้ทหารฆ่าประชาชนได้ ก็จะเป็นข้ออ้างในเวทีสากลได้ทันที นี่คือหลักของสงครามประชาชน คือถ้าต่อสู้บนดินไม่ได้ผลก็ไปต่อสู้ใต้ดิน
http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9520000040150
เมษายน 8, 2009 ที่ 10:04 pm
doobi
“โค่นอำมาตย์” เจตนา โค่น “ใคร”!?
9 เมษายน 2552 07:39 น.
การเคลื่อนขบวนออกมาชุมนุมใหญ่ของคนเสื้อแดงตามคำบัญชาการของนักโทษชาย ทักษิณ ชินวัตร เมื่อวานนี้( 8 เมษายน) ได้เปิดให้เห็นเป้าหมายที่เคยอำพรางเอาไว้ก่อนหน้านี้ออกมาให้เห็นชัดเจนขึ้นไปอีกขั้น
ภาพการเคลื่อนขบวนไปขับไล่ “ป๋าเปรม” พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ให้ลาออกจากตำแหน่งประธานองคมนตรีถึงบ้านพักสี่เสา เทเวศร์ ทำเห็นถึงเจตนาที่แท้จริง ของคนสั่งการอยู่นอกประเทศ
การประกาศยกระดับการชุมนุมของแกนนำบนเวที แต่ในความหมายที่แท้จริงก็คือการใช้ถ้อยคำหยาบคาย จาบจ้วงด่าทอ พล.อ.เปรม อย่างเสียหายเท่านั้น โดยไม่ยอมให้ข้อมูล ความรู้ใดๆ กับชาวบ้าน ซึ่งเสี่ยงต่อความรุนแรง เนื่องจากเป็นการยั่วยุให้มวลชนเกิดความเกลียดชังอย่างไร้เหตุผล
ที่ผ่านมาหากสังเกตมาตลอดช่วงไม่กี่สัปดาห์ก่อนหน้านี้ บรรดาแกนนำ รวมไปถึง นักโทษชายทักษิณ ที่ปลุกระดมผ่าน โฟนอิน ระบบวิดีโอลิงก์ ต่างเบนเป้ามามุ่งเน้นโจมตีสถาบันองคมนตรี ซึ่งในที่สุดก็เน้นถล่มเฉพาะ พล.อ.เปรม
และล่าสุดในตอนเย็นวันเดียวกันก็ได้ออกแถลงการณ์เนื้อหาหลักๆ ยื่นคำขาดให้ ลาออกจากตำแหน่งพร้อมกับองคมนตรีอีก 2 คน คือ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ชาญชัย ลิขิตจิตถะ รวมทั้งให้ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
ขณะเดียวกันสิ่งที่น่าสนใจก็คือคนเสื้อแดงคุยโวว่าเป็นการชุมนุมของมวลมหาประชาชน และยิ่งใหญ่ กว่าเหตุการณ์วันที่ 14 ตุลาคม 2516 แต่หากพิจารณาในความเป็นจริงก็คือ มีคนออกมาร่วมไม่กี่หมื่นคนเท่านั้น เพราะไม่ว่าจะมองด้วยสายตากี่ครั้งก็ตามไม่มีทางมีปริมาณเทียบเท่า หรือแม้แต่ใกล้เคียงกันก็ยังเป็นไปไม่ได้
ส่วนที่อ้างว่าเป็นการยกระดับการชุมนุม และเป้าหมายเพื่อประชาธิปไตยนั้น หากตรวจสอบโดยละเอียดก็น่าจะออกมาในทางตรงกันข้าม เพราะแม้ว่าส่วนหนึ่งต้องยอมรับว่ามาด้วยใจ ด้วยความศรัทธา หลังจากได้รับข้อมูลกรอกหูซ้ำๆ อยู่ทุกวัน
แต่ส่วนใหญ่กลับเป็นมวลชนจัดตั้ง ผ่านทางหัวคะแนน ผู้นำชุมชนต่างๆ ผ่านทาง ส.ส.ของพรรคเพื่อไทยทั่วประเทศ มีการระดมคนขึ้นรถบัส รถตู้ รถยนต์ทุกประเภท และก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นเดียวกันว่า มีการใช้ “ปัจจัย” ให้เป็นค่าเดินทางทั้งประเภทเหมาจ่าย ทั้งรายวัน มาด้วยอย่างแน่นอน
ที่บอกว่าต่อสู้เพื่ออุดมการณ์เพื่อประชาธิปไตยนั้น หรือจะนำประชาชนออกมาต่อสู้กับเผด็จการทหารนั้น เอาเข้าจริงกลายเป็นว่า ทั้งลูกๆ และอดีตภรรยาของหัวหน้าม็อบไม่ว่าจะเป็น พจมาน ดามาพงศ์(ชินวัตร) พานทองแท้ พิณทองทา แพทองธาร ชินวัตร พร้อมกับ “น้องเขย” สมชาย วงศ์สวัสดิ์ รวมทั้งสมาชิกคนสำคัญอื่นๆ ต่างเก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋าบินหนีไปต่างประเทศกันแล้ว
แม้จะยังไม่อาจสรุปได้ในเวลานี้ว่าการหลบออกไปจะเป็นการส่งสัญญาณลึกๆว่าจะเป็นการชุมนุมขั้นแตกหัก พร้อมก่อความรุนแรง แบบ “ไม่ต้องห่วงหน้าพวงหลัง” แบบให้มวลชนเสื้อแดงออกหน้าไปตายแทนหรือไม่
อย่างไรก็ตาม เมื่อย้อนกลับมาพิจารณาดูเป้าหมายของคนเสื้อแดงที่หันหัวเรือมามุ่งโจมตี พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ พร้อมๆ กับประดิดประดอยวาทกรรม “อำมาตยาธิปไตย” หรือแม้กระทั่ง เขียนข้อความ “โค่นอำมาตย์” เป็นฉากหลังบนเวที
มันก็ส่อเจตนาให้เห็นชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆว่า เป้าหมายแท้จริง ที่ซ่อนอยู่หลังผ้าม่านกั้นเป็นฉากหลังนั้นคืออะไรกันแน่
เพราะเวลานี้สังคมเริ่มรับรู้กันไปแล้วว่า การถล่ม “ป๋าเปรม” เป็นเพียงเป้าหมายลวง เพื่อตรึงมวลชนที่ไร้เดียงสาไม่ให้ถอยออกมา แต่เป้าหมายหลักก็คือ โค่นล้มสถาบัน แต่เวลานี้เมื่อประเมินสถานการณ์ดูแล้วรู้ว่ายังล้มไม่ได้ ก็ต้องเขย่า ลิดรอนให้สั่นสะเทือนไปถึงเบื้องบน
ขณะเดียวกันการยื่นคำขาดให้ประธานองคมนตรีและองคมนตรีลาออกนั้นถือว่าเป็นการก้าวล่วงพระราชอำนาจหรือไม่ เพราะการดำรงตำแหน่งและการพ้นจากตำแหน่งรู้หรือไม่ว่าเป็นไปตามพระราชอัธยาศัยและพระราชวินิจฉัยส่วนพระองค์
ดังนั้นข้อเรียกร้องของกลุ่มเสื้อแดง และ นักโทษชาย ทักษิณ ชินวัตร นอกจากเป็นไปไม่ได้แล้วยังเป็นเรื่องที่เข้าข่ายจาบจ้วง ล่วงละเมิดพระราชอำนาจหรือไม่ !!
เมษายน 8, 2009 ที่ 10:06 pm
doobi
ครอบครัว”ชินวัตร”เผ่น สัญญาณ”แม้ว”ทิ้งทวนแตกหัก (ผ่าประเด็นร้อน)
การแถลงข่าวของนายเนวิน ชิดชอบ แกนนำพรรคภูมิใจไทย ที่โรงแรมสยามซิตี เมื่อวันอังคารที่ผ่านมาได้ใจผู้คนไม่น้อย ขณะเดียวกันก็จี้ใจดำนักโทษชายแม้วอย่างตรงจุดโดยเฉพาะ 2 ข้อเรียกร้อง ตบท้ายของนายเนวินที่ต้องการวัดใจพิสูจน์ธาตุแท้ของนักโทษชายแม้วที่ว่า หากจงรักภักดีต่อสถาบันเบื้องสูงจริงอย่างที่อ้างขอให้สั่งการไปยังบรรดาแกนนำม็อบเสื้อแดงให้ยุติการจาบจ้วงกระทบต่อสถาบันเบื้องสูง และหากเห็นแก่ชาติบ้านเมืองและประชาชนจริงก็ขอให้ยุติการเคลื่อนไหวของม็อบเสื้อแดงในทันที
ล่าสุด นักโทษชายแม้ว ก็เผยให้เห็นธาตุแท้ตัวตนที่แท้จริงของตัวเองด้วยการเดินหน้าปลุกระดมสั่งกองทัพเสื้อแดงให้ทำสงครามขั้นแตกหักจนกว่าจะได้รับชัยชนะ ขณะเดียวกันเวทีม็อบเสื้อแดงก็ยังเปิดฉากถล่มพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ และระบอบอมาตยาธิปไตยอย่างดุเดือดหยาบคาย พร้อมกับยกทัพไปปิดล้อมบ้านพักสี่เสาเทเวศร์ของ พล.อ.เปรม
ก็คงเป็นอย่างที่ นายเนวิน แถลงโดยชี้ให้เห็นว่า เป้าหมายของขบวนการเสื้อแดงคงไม่ใช่แค่การโค่นล้มรัฐบาล แต่มีเป้าหมายที่ไกลกว่านั้น เพราะชัดเจนว่า องคมนตรีเป็นบุคคลซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงคัดเลือกจากผู้ที่ได้รับการไว้วางพระราชหฤทัย อีกทั้งรัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ชัดเจนว่า การแต่งตั้งและพ้นจากตำแหน่งขององคมนตรีเป็นพระราชอำนาจและเป็นไปตามพระราชอัธยาศัย การกดดันให้ปลดองคมนตรีจึงเป็นการแสดงเจตนาก้าวล่วงพระราชอำนาจอย่างอุกอาจเหิมเกริม
และยิ่งเมื่อย้อนไปทบทวนพฤติกรรมของ นักโทษชายแม้ว และบรรดาแกนนำม็อบเสื้อแดงหลายต่อหลายคนในอดีตที่ส่อเจตนาจาบจ้วงบ่อนทำลายสถาบันเบื้องสูงทำให้อดสงสัยไม่ได้ว่า การเปลี่ยนแปลงประเทศตามเจตนาของ นักโทษชายแม้ว ซึ่งมีกองทัพเสื้อแดงเป็นเครื่องมือหมายถึงการเปลี่ยนแปลงการปกครองที่มุ่งหวังจะล้มล้างสถาบันเบื้องสูง
การแถลงของ นายเนวิน น่าจะมีผลทำให้คนเสื้อแดงที่มีเจตนาบริสุทธิ์และยังจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์จำนวนไม่น้อยเริ่มเข้าใจข้อเท็จจริงมากขึ้นว่าการเคลื่อนไหวของขบวนการเสื้อแดงที่มี นักโทษชายแม้ว เป็นผู้บงการแท้ที่จริงแล้วมีเป้าหมายแอบแฝงที่ส่อเจตนาเป็นภัยต่อสถาบันสูงสุด ขณะเดียวกันการเคลื่อนไหวทั้งหลายทั้งปวงล้วนทำเพื่อ นักโทษชายแม้ว เพียงคนเดียวนั่นคือ ฟอกโทษความผิดคดีทุจริตทั้งหมด ทวงสมบัติมูลค่า 76,000 ล้านบาท ที่ถูกฟ้องยึดตกเป็นของแผ่นดินคืน และหวังฟื้นระบอบทักษิณให้กลับมายิ่งใหญ่มีอำนาจยึดครองประเทศอีกครั้ง
คนเสื้อแดงจำนวนไม่น้อยเริ่มหูตาสว่างและถอยฉากไม่ยอมตกเป็นเครื่องมือให้ นักโทษชายแม้ว หลอกใช้อีกต่อไปจึงไม่มาร่วมการแสดงพลังทำสงครามขั้นแตกหักของม็อบเสื้อแดงครั้งนี้ซึ่งจะเห็นได้ว่า จำนวนม็อบเสื้อแดงที่มาร่วมชุมนุมในวันที่ 8 เม.ย.มีจำนวนน่าจะประมาณ 30,000 คนเท่านั้น ทั้งๆ ที่แกนนำม็อบเสื้อแดงประกาศตั้งเป้าไว้ก่อนหน้านี้ว่า จะมีพลังคนเสื้อแดงจากทั่วประเทศร่วมชุมนุมในกทม.ครั้งนี้ถึง 300,000 คน
และอาจจะเป็นเพราะพลังเสื้อแดงที่น้อยกว่าเป้าหมายมากทำให้แผนที่จะปฏิวัติโดยพลังประชาชนของ นักโทษชายแม้ว กลายเป็นฝันสลายไปในทันที เพราะฉะนั้นไพ่ใบสุดท้ายสำหรับ นักโทษชายแม้ว ในการทำสงครามขั้นแตกหักจึงเหลือเพียงการจุดชนวนให้เกิดความรุนแรงด้วยการลอบก่อเหตุร้ายจุดไฟเผาบ้านป่วนเมืองทำให้เกิดความระส่ำระสายจนนำไปสู่การอุปโหลกน์จัดตั้งรัฐอิสระในพื้นที่ภาคเหนือและภาคอีสานของประเทศซึ่งเป็นหนึ่งในแผนที่วางไว้แต่เดิม หรืออาจเป็นการเปิดทางให้ นักโทษชายแม้ว ใช้เป็นเงื่อนไขขอลี้ภัยการเมืองในต่างแดน
ในภาวะที่ นักโทษชายแม้ว อยู่ในสภาพเลือดเข้าตาแนวแนวโน้มที่จะเกิดการลอบก่อวินาศกรรมด้วยการลอบวางเพลิงไปทั่ว หรือการลอบวางระเบิดหลายจุดพร้อมกันมีความเป็นไปได้สูง ซึ่งคณะทำงานปฏิบัติการทางการเมือง(วอร์รูม)ของพรรคประชาธิปัตย์ก็มีการประเมินแนวโน้มสถานการณ์ขณะนี้ว่าอยู่ในภาวะที่น่าเป็นห่วงจากการก่อจลาจล การวางเพลิงหรือการปิดการจราจรให้กลายเป็นอัมพาต เพื่อให้บ้านเมืองเกิดความปั่นป่วนวุ่นวาย
ขณะที่หน่วยงานด้านความมั่นคงทั้งของกองทัพและฝ่ายตำรวจก็มีรายงานข่าวกรองที่สอดคล้องกันว่า มีความเคลื่อนไหวของคนมีสีกลุ่มหนึ่งที่รับใช้ระบอบทักษิณซึ่งชำนาญการด้านการก่อวินาศกรรมมีแผนที่จะก่อเหตุร้ายในช่วงนี้เพื่อสร้างสถานการณ์จุดชนวนให้นำไปสู่ความรุนแรง
ท่ามกลางสถานการณ์ของบ้านเมืองที่กำลังอยู่ในภาวะตึงเครียดพร้อมที่จะเกิดเหตุรุนแรงทุกขณะก็มีรายงานข่าวว่า ล่าสุดคนในครอบครัว”ชินวัตร”พากันเผ่นเอาตัวรอดบินไปตั้งหลักในต่างประเทศ โดยข่าวแจ้งว่า คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ อดีตภริยานักโทษชายแม้ว พร้อมบุตรสาวคนเล็กของ นักโทษชายแม้วคือ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร บินไปฮ่องกง ส่วน นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายคนโต บินไปดูไบ ขณะที่น.ส.พิณทองทา ชินวัตร บุตรสาวคน อง บินไปยังอังกฤษ
การที่ครอบครัว”ชินวัตร”เผ่นบินไปตั้งหลักนอกประเทศครั้งนี้ทำให้นึกถึงเหตุการณ์ในอดีต ช่วงที่ระบอบทักษิณกำลังใกล้จะล่มสลาย โดยก่อนหน้านั้นสถานการณ์ทางการเมืองตึงเครียดสุดขีดจนมีข่าวว่า คุณหญิงพจมานและบรรดาคนในครอบครัวชินวัตรหอบทรัพย์สินขนออกนอกประเทศเป็นว่าเล่น และภายหลังครอบครัวชินวัตรทั้งหมดก็บินไปพำนักอยู่ที่ประเทศอังกฤษก่อนที่จะเกิดการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 ก.ย.2549 ไม่นาน และก่อนหน้าที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจะมีคำพิพากษาลงโทษจำคุกนักโทษชายแม้วเป็นเวลา 2 ปีในคดีทุจริตการจัดซื้อที่ดินย่านรัชดาภิเษก นักโทษชายแม้วก็ไหวตัวชิงหลบหนีโทษความผิดด้วยการลอบบินออกนอกประเทศ
การบินออกนอกประเทศของครอบครัว”ชินวัตร”อย่างพร้อมหน้าพร้อมตาเช่นนี้เหมือนเป็นสัญญาณของการเอาตัวรอดและบ่งชี้ว่า สถานการณ์ได้มาถึงขั้นแตกหักพร้อมที่จะเกิดการนองเลือดกลียุคได้ทุกขณะ โดยคนที่นั่งบงการอยู่บนภูและรอเก็บเกี่ยวประโยชน์อย่างสบายใจเฉิบคือนักโทษชายแม้ว ขณะที่บรรดาคนเสื้อแดงตกเป็นเครื่องมือถูกหลอกให้ไปเสี่ยงตายเพื่อคนคนเดียว
ทีมข่าวการเมือง
วันที่ 9/4/2009
http://www.naewna.com/news.asp?ID=156339
เมษายน 9, 2009 ที่ 2:46 am
doobi
http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9520000040172
เมษายน 9, 2009 ที่ 2:49 am
doobi
ผบ.ทอ.ชี้พฤติกรรมถ่อยแดง เลียนแบบพรรคคอมมิวนิสต์
9 เมษายน 2552 11:26 น.
พล.อ.อ.อิทธิพร เตือนกลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดง อย่าหลงเชื่อคำยุยงปลุกปั่นแกนนำ ชี้วิธีการปลุกระดมและคำศัพท์ที่ใช้ลอกเลียนแบบคอมมิวนิสต์เมื่อในอดีต สะกิดต่อมสำนึกขับไล่องคมนตรีเท่ากับเป็นการก้าวล่วงพระราชอัธยาศัย แนะในกลับไปศึกษาประวัติศาสตร์เมื่อครั้งเสียกรุงอยุธยาเป็นอุทธาหรณ์
วันนี้ (9 เม.ย.) พล.อ.อ.อิทธพร ศุภวงศ์ ผู้บัญชาการทหารอากาศ (ผบ.ทอ.) กล่าวถึงสถานการณ์การชุมนุมของคนเสื้อแดงว่า ทุกครั้งที่มีการชุมนุมก็เป็นเรื่องน่าห่วง แต่การปฏิบัติของทหารจะเป็นผู้ช่วยเจ้าพนักงาน ไม่ใช้อาวุธ และผู้บังคับบัญชาได้พูดชัดเจนว่า จะไม่ใช้กฎหมายพิเศษ ทุกคนคาดหวังว่าการชุมนุมจะเป็นไปโดยสงบ ไม่มีความรุนแรง เหมือนกับที่แกนนำคนเสื้อแดงประกาศไว้ เพราะถ้าทำสิ่งที่อยู่นอกเหนือกฎหมาย ไม่ยอมรับกติกา บ้านเมืองก็จะอยู่ในสภาพที่ไม่เรียบร้อย ไม่มีขื่อไม่มีแป
ส่วนกรณีที่ผู้ชุมนุมเรียกร้องให้ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ลาออกจากตำแหน่ง พล.อ.อ.อิทธพร กล่าวว่า คนที่เรียกร้องต้องไปศึกษารัฐธรรมนูญให้ถ่องแท้ เพราะรัฐธรรมนูญกำหนดหมวดองคมนตรีไว้ตลอดว่า ให้ทำหน้าที่ให้คำปรึกษาพระมหากษัติรย์ ดังนั้นอะไรที่เป็นสิ่งก้าวล่วงก็ไม่บังควร
พล.อ.อ.อิทธพร ยังเล่าย้อนประวัติศาสตร์การเสียกรุงของไทย 2 ครั้ง ที่มาจากความไม่สามัคคีของคนไทย โดยเฉพาะครั้งที่ 2 ปี 2310 ซึ่งตรงกับวันสงกรานต์ และขณะนี้ก็ใกล้วันสงกรานต์แล้ว ถ้าเรายังมัวแต่ทะเลาะกันบ้านเมืองก็จะมีปัญหาตลอด ขอให้คนไทยย้อนนึกถึงคำศัพท์ที่คนสร้างเงื่อนไขพูด ทั้ง “วันเสียงปืนแตก” และ “ปฏิวัติประชาชน” เป็นศัพท์ของคอมมิวนิสต์เก่าทั้งนั้น
พล.อ.อ.อิทธพร ยังเรียกร้องให้ประชาชนตระหนักถึงประวัติศาสตร์ชาติ ที่ขณะนี้มีเรียนกันน้อยลงเรื่อยๆ ทำให้คนไทยรักชาติน้อยลง ไม่นึกถึงประเทศชาติ ต้องดูด้วยว่าสิ่งที่ทำขณะนี้ประเทศได้ประโยชน์อะไรหรือไม่ การรับฟังข้อมูลข่าวสารต่างๆ ไม่ควรจะฟังใครก็แล้วแต่ที่มาปลุกปั่น ยุยง จริงบ้างไม่จริงบ้าง ใครพูดไม่ตรงหรือคิดไม่ตรงกับตัวเองก็โจมตีไปหมด
http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9520000040231
เมษายน 9, 2009 ที่ 4:08 am
krungthep
เกมสยบ “ทักษิณ” เก็บฉาก “เสื้อแดง” ?
หากผ่านพายุฤดูร้อนไปได้ ประเทศไทยจะเข้าสู่โหมดการปฏิรูปการเมือง “ภาคพิเศษ”
หากผ่าน “มรสุมโลหิต” จากเครือข่ายกองกำลัง “เสื้อแดง” ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีไปได้ รัฐบาลจะต้องปรับตัว-ฟื้นฟูสถานะ เสถียรภาพ-ฐานะประเทศ ให้พ้นจาก “มรสุมเศรษฐกิจ”
ตามแนวทางของ “พรรคร่วมรัฐบาล” ที่ใกล้ชิด “พรรคประชาธิปัตย์”
ที่ต้องการลดกระแสร้อนแรงทางการเมืองด้วยการแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 “ทุกมาตรา ที่ไม่เป็นประชาธิปไตย? โดยการทำประชาพิจารณ์ เรียงรายมาตรา
และความเชื่อมั่นว่ารัฐสภาจะเป็นทางออกของความขัดแย้งทางการเมือง เพราะ “นักการเมือง” มีความถนัด-เชี่ยวชาญในการแก้ปัญหา “ในสภา”
ทั้งพรรคประชาธิปัตย์และพรรคร่วมรัฐบาลเห็นพ้องต้องกันว่าการแก้รัฐธรรมนูญจะเป็นหนทางแก้ปัญหาชาติ
แม้ “บุคคลนอกสภา” อย่าง “ทักษิณ” จะไม่ต้องการร่วมเจรจาซึ่งหน้าหาทางออก
และแม้ “พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร” จะกลับลำต้องการเจรจา โดยมีเข็มมุ่งที่ไม่ใช่เพื่อ “บ้านเมือง” แต่เพื่อ “ให้ตัวเองพ้นผิด และเพียงต้องการ “เอาสมบัติคืน” เท่านั้น
แม้ผู้แสดงสัญลักษณ์ “แดง” ที่มี
2 ขั้ว ขั้วแรก พวกต่อต้านเผด็จการจุดยืนประชาธิปไตยไม่เปลี่ยนแปลง ขั้วที่สอง ทำการเมืองเพื่อประโยชน์ส่วนตัวเพื่อ “ทักษิณ”ผันแปรตามข้อต่อรอง “ทักษิณ”
แต่ยังมี “ขั้วแดง-นปช.” ที่พร้อมแสดงปฏิกิริยาทุกอย่าง รวมทั้งต้องการเดินขบวนไปแสดงสัญลักษณ์การต่อต้าน “สถาบันองคมนตรี” ที่บ้านสี่เสาเทเวศร์ เพราะต้องการให้ “มีเรื่อง”
แม้รัฐบาลไม่ต้องการให้ “มีเรื่อง” แต่ก็อาจไม่สามารถหลีกเลี่ยง
ล่าสุด “เนวิน ชิดชอบและพวก” เปิดแถลงข่าวตัดกระแสปลุกระดมมวลชนของทักษิณ ณ โรงแรมสยามซิตี
(7 เมษายน) แฉเบื้องหลังการเมืองหลังวันที่ 19 กันยายน 2549 ใครกันแน่ที่หักหลัง
ใครกันแน่ที่เนรคุณ ?
นายเนวินได้แฉการกระทำของ พ.ต.ท. ทักษิณ ที่ทำให้นายสมัคร สุนทรเวชหลุดจากการเป็นนายกรัฐมนตรี ว่าเป็นการกระทำที่รับไม่ได้
“ผมเคยทำงานยอมตาย เผชิญหน้ากับทหาร และคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ไม่รู้ว่าวันรุ่งขึ้นจะมีชีวิตอยู่หรือไม่ นั่นเป็นสิ่งที่พวกผมทำงานให้ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่จากสิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณทำกับนายสมัคร ผมยอมรับไม่ได้กับการกระทำแบบไม่มีน้ำใจต่อกันแบบไม่ใช่ลูกผู้ชาย”
ไฮไลต์สำคัญ นายเนวินน้ำตาคลอและเสียงสะอื้น ก่อนจะกล่าวด้วยเสียงสั่นเครือ
“ผมเป็นคน เป็นมนุษย์ ไม่ใช่ทาส ฝากพี่น้องประชาชน ผมเคยตกเป็นเครื่องมือ เป็นหมาล่าเนื้อ วันไหนไม่ตามใจก็กลายเป็นคนเนรคุณ นี่คือชีวิตของพวกผม อยากให้ประชาชนเอาชีวิตของพวกผมเป็นอุทาหรณ์”
“ถ้าที่ผ่านมาสิ่งที่ผมทำงานให้ พ.ต.ท.ทักษิณ จะมีความหมายอยู่บ้าง ผมไม่เคยขออะไร มีแต่เอาชีวิตเข้าแลกให้ วันนี้ผมอยากจะกราบขอ พ.ต.ท.ทักษิณ 2 เรื่อง 1.กราบให้ท่านสั่งคนของท่านหยุดล่วงเกินพระราชอัธยาศัยและคนของพระเจ้าอยู่หัว 2.หากท่านรักประเทศไทยอย่างที่เคยพูด ก็ขอให้ท่านหยุดสนับสนุนการเคลื่อนไหว”
ขณะที่ “คนในรัฐบาล” วิเคราะห์ร่วมกับ “ฝ่ายความมั่นคง” ระดับ “ผู้บัญชาการ” แห่งกองทัพ คาดการณ์กรณี “เลวร้าย” ของเหตุการณ์วันที่ 8 ตุลาคม 2552 ไว้ว่า
“หากเกิดการปะทะหรือจลาจล รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งจะประกาศภาวะ ฉุกเฉิน โดยจะมีการสร้างความเข้าใจเพิ่มเติมว่า การดำเนินการครั้งนี้ไม่ใช่เป็นการยึดอำนาจของฝ่ายใด แต่เป็นการประกาศเพื่อให้บุคคลที่มีหน้าที่ออกมาจัดการให้บ้านเมืองสงบเรียบร้อย”
ข้อวิเคราะห์นี้มีการเชื่อมต่อกับ “ข้อมูล” ของ “กองทัพ” ที่มีรายงานว่า “การปะทะ” ที่เกิดจากการ “เซตติ้ง” นั้นได้เกิดขึ้นแล้วตั้งแต่วันที่ 3 เมษายน 2552 ที่บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา
แนวรบชายแดนนั้นต้องการดึง “กองกำลัง” ในพื้นที่กองทัพภาคที่ 1 และภาคที่ 2 ออกไปตรึงแนวชายแดน ทำให้กองกำลังที่จะทำงาน “มวลชน” ในพื้นที่ “สีแดง” ลดจำนวนลงอย่างมีนัยสำคัญ
แทบทุกหน่วยข่าว มีความเห็นสอดคล้องกันว่า การปะทะที่ชายแดนเกิดจากการ “บัญชาการร่วม” ในบ้านพักของ “ผู้มีอำนาจ” ในชายแดนฝั่งตรงข้ามประเทศไทย กับ “อดีตผู้มีอำนาจ” ของฝั่งไทย
ทั้ง 2 ฝั่ง “ต่อรอง” ผลประโยชน์ในพื้นที่ทับซ้อนบริเวณ “อ่าวไทย”
ดังนั้น ทุกพื้นที่ ทุกเป้าหมายของการปะทะต้องการดึงเหตุการณ์ 8 เมษายน 2552 ให้ไปไกลที่สุด-เลวร้ายที่สุด
โดยมี “ตัวเร่ง” ที่เป็นปัจจัยสำคัญ 2 ประเด็น คือ ตัวเร่งแรกที่มาจากระบบ “ศาล” ซึ่งเป็นไปตามวาระและสถานการณ์เข้าใกล้ “การยึดทรัพย์” จำนวนมหาศาล
ตัวเร่งตัวที่สองเป็นดีกรีทวีคูณ คือ การ “รบแพ้” ในสภาผู้แทนราษฎรเมื่อ ส.ส.เลือดแท้จาก “เพื่อไทย” แบ่งมือไปนับคะแนนให้ฝ่ายตรงข้าม กรณีอภิปรายไม่ไว้วางใจ
ดังนั้น “คนในรัฐบาล” หรือ “บุคคลที่น่าเชื่อถือ” อาจเปล่งวาจา “วรรคทอง” ยุติต่อสู้ระหว่าง “เสื้อแดง-ทักษิณ” กับ “ฝ่ายรัฐบาลและสถาบัน”
“วอร์รูม” รัฐบาลเตรียมคีย์เวิร์ดสำคัญที่ “ทุกฝ่าย” ต้องการได้ยินและนำไปปฏิบัติคือ “8 เมษายนนี้จะเป็นวันที่คนได้พิสูจน์ว่ารักประเทศ ต้องการให้ประเทศสงบ-สันติ หรือรักทักษิณมากกว่ารักประเทศ”
อาจมีคำรณรงค์ “ถ้ารักบ้านเมืองต้องการทำดีถวายเป็นพระราชกุศล
ให้อยู่บ้าน”
หากผ่านพายุฤดูร้อน-และมรสุมโลหิต “8 เมษายน” ไปได้ จะมีการเปลี่ยนแปลงทิศทางการเมืองในรัฐบาลอย่างน้อย 2 วาระ
วาระแรก จะมีการดึงพรรคประชาราช ของ “นายเสนาะ เทียนทอง” เข้าร่วมรัฐบาล เป็นพรรคลำดับที่ 8 ต่อท้ายพรรคประชาธิปัตย์, ชาติไทยพัฒนา, เพื่อแผ่นดิน, รวมใจไทยชาติพัฒนา, ภูมิใจไทย, กิจสังคม และพรรคราษฎร
วาระสองจะปรับคณะรัฐมนตรีแบบ “ปรับเล็ก” โดยอาจผลัดเปลี่ยนให้นายชาติชาย พุคยาภรณ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์พ้นจากตำแหน่ง
และเสริมทีมเลือดแท้จากกลุ่ม “เพื่อนเนวิน” แห่งพรรคภูมิใจไทยเข้าไปแทน
จบรายการ “สู้แล้วรวย” และเก็บฉาก “นักรบเสื้อแดง” ชั่วคราว
http://norsorpor.com/ข่าว/n1417414/เกมสยบ%20%20ทักษิณ%20%20เก็บฉาก%20%20เสื้อแดง
เมษายน 9, 2009 ที่ 6:16 am
krungthep
“ศุภชัย” ท้าหัวขวดเปิดคลิป “ยี้ห้อย” พบ “ป๋า” ซัดเพ้อเจ้อ
9 เมษายน 2552 15:38 น.
“โฆษกภูมิใจไทย” ท้าหัวขวดเปิดคลิป “เนวิน” พบ “ป๋า” ซัดเพ้อเจ้อพูดร้อยเรื่องจริงแค่เรื่องเดียว อัดแค่นิทาน จวก “พร้อมพงศ์” โฆษกรูปหล่อจ้อเรื่องเท็จ สอนมวยถ้าอยากยกระดับเพื่อไทยต้องพูดความจริง
วันนี้ (9 เม.ย.) นายศุภชัย ใจสมุทร โฆษกพรรคภูมิใจไทย กล่าวถึงการที่นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง และนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ ระบุว่ามีคลิปวิดีโอที่บันทึกภาพว่านายเนวิน ชิดชอบ แกนนำพรรคภูมิใจไทย นั่งรถตู้เข้าพบ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี ในคืนวันที่ 6 เม.ย.ก่อนการแถลงข่าวตอบโต้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีว่า ยืนยันว่าไม่เป็นความจริง เพราะในคืนนั้นตนกับนายเนวินยังนั่งร้องคาราโอเกะด้วยกันที่พรรคภูมิใจไทย ไม่มีการขึ้นรถตู้ไปพบ พล.อ.เปรม แต่อย่างใด หากแกนนำเสื้อแดงมีคลิปวิดีโออย่างที่กล่าวอ้างจริงก็ขอท้าให้นำมาเปิดเผย
“หากมีจริงขอท้าให้เอาออกมาเปิดเผยเลย ที่พูดอย่างนี้เป็นความเพ้อเจ้อ ใครๆ ก็รู้ว่าไม่เกี่ยว ที่นายณัฐวุฒิพูดบนเวทีก็เป็นการพูดเอามัน เพราะในอดีตนายณัฐวุฒิเป็นยักษ์โต้วาที พูดมาร้อยเรื่อง เป็นเรื่องจริงแค่เรื่องเดียว นอกนั้นเป็นนิทาน ส่วนนายพร้อมพงศ์ก็เป็นพระเอกรูปหล่อจ้อเรื่องเท็จ เพ้อเจ้อไปเรื่อย เรื่องนี้ไม่ใช่ละครจักรๆ วงศ์ๆ การเป็นโฆษกพรรคการเมือง ต้องเอาเรื่องจริงมาพูด ไม่ใช่พูดด้วยลีลาพระเอกหนัง พระเอกมิวสิกวิดีโอ ถ้าอยากให้พรรคเพื่อไทยมีมาตรฐานสูงก็ต้องยกระดับการพูดของตัวเอง ต้องพูดความจริง” นายศุภชัย กล่าว
นายศุภชัยกล่าวว่า ส่วนที่มีกระแสว่านายเนวินแถลงข่าวเพื่อแลกกับการไม่ถูกดำเนินคดีเรื่องกล้ายางนั้น ถ้าผิดก็ต้องผิดกันทุกคน ไม่เว้นแม้กระทั่งอดีตรัฐมนตรีที่อยู่ฝั่งคนเสื้อแดง หากผิดก็ต้องติดคุกไม่จำเป็นต้องต่อรอง แต่ที่ผ่านมานายเนวินมั่นใจในความบริสุทธิ์ของตนเอง ถ้าจะหลุดจากคดีนี้ก็หลุดด้วยพยานและหลักฐาน
ขณะที่นายเชิดชัย วิเชียรรรณ ส.ส.อุดรธานี พรรคภูมิใจไทย กล่าวในเรื่องเดียวกันว่า เป็นการพูดที่ไร้ความจริง โดยเป็นการพยายามโยงองคมนตรีทำให้เสียหายและเกิดความเข้าใจผิดจึงขอยืนยันว่า ในวันและเวลาดังกล่าว นายเนวินได้อยู่ร่วมงานเปิดที่ทำการพรรคภูมิใจไทยจนถึงเวลา23.30น.จึงเดินทางกลับซึ่งมีพยานอยู่มากมายรวมทั้งพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งเป็นการพูดที่ไร้ความรับผิดชอบของโฆษกดาราน้ำเน่า
“ถ้ามีคลิปดังกล่าวจริง ผมพร้อมขอเอาตำแหน่ง ส.ส.เดิมพัน แต่ถ้าคลิปดังกล่าว ไม่มีภาพจริง นายพร้อมพงศ์จะต้องแสดงความรับผิดชอบด้วย และคราวหลังควรเอา ส.ส.มาพูด ไม่ใช่เอาโฆษกละครน้ำเน่ามาพูดอย่างนี้”นายเชิดชัย กล่าว
http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9520000040480
เมษายน 9, 2009 ที่ 9:11 am
parplem
จะสู้เพื่อใคร
ผมเห็นการต่อสู้ เพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยมาหลายครั้งแล้ว ไล่ตั้งแต่เหตุการณ์ 14 ต.ค. 16 ซึ่งถือว่าเป็นตำนานการต่อสู้ของนิสิต นักศึกษา ภาคประชาชนร่วมกันขับไล่รัฐบาลของ “จอมพลถนอม กิตติขจร” หรืออย่างเหตุการณ์ “พฤษภาทมิฬ ปี 2535” ที่มีการขับไล่ทหารภายใต้ชื่อย่อว่า สภารักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.)
แม้กระทั่ง การเคลื่อนไหวของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ใครจะชอบหรือจะชัง แต่ที่ชัดเจนคือ “แม่ทัพ” หรือบรรดาแกนนำจะอยู่ร่วมในการต่อสู้ด้วยตลอด ไม่ว่าบทสรุปที่เกิดจากการเคลื่อนไหวจะแพ้หรือชนะ ผิดกับ การเคลื่อนไหวของแกนนำ นปช. หรือคนเสื้อแดง ในขณะนี้ที่มีแม่ทัพหรือผู้บัญชาการชื่อ “พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร” อยู่ต่างประเทศ
นี่ยังไม่เท่าไหร่ครับ เพราะดันไปมีข่าวว่าทั้ง “คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์” หรือแม้กระทั่งบุตรชายและบุตรสาว ซึ่งเปิดตัวหนังสือ “คนอื่นเรียกนายกฯ แต่เราเรียก…พ่อ” วันนี้อพยพกันไปอยู่ต่างประเทศหมดแล้วครับ รวมถึงนายกฯนอมินีที่ชื่อ “สมชาย วงศ์สวัสดิ์” พร้อมด้วยครอบครัวก็ไม่ขออยู่ในบ้านเกิดเมืองนอนในช่วงนี้เหมือนกัน ผมเชื่อว่าถ้ามีสัญญาณออกมาอย่างนี้ใครเป็น “แนวหน้า” ที่เคลื่อนไหวโดยไม่มีอามิสสินจ้างก็คงเสียวอยู่เหมือนกัน
ผมถึงอยากบอกว่า การต่อสู้ของแกนนำ นปช. หรืออดีตนายกฯทักษิณ ที่เรียกร้อง “ประชาธิปไตย” เป็นการเคลื่อนไหวที่แปลกประหลาดที่สุดในโลกก็ว่าได้ เพราะคนเป็นแม่ทัพหรือคนคอยบัญชาการรบไม่กล้าเป็น “ทัพหน้า” ลุยสู้ด้วยตัวเอง
ถ้าหากมี “มือที่สามสร้างสถานการณ์” หรือเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารตัดสินใจสลายการชุมนุม ชาวบ้านที่ชักชวนมา หรือชุมนุมด้วยความบริสุทธิ์ คงได้รับผลกระทบไปเต็ม ๆ หรือการอพยพครอบครัว “ชินวัตร” และ “วงศ์สวัสดิ์” เผ่นไปต่างประเทศ มีสัญญาณบางอย่างว่า อาจจะเกิดเหตุรุนแรงขึ้นในบ้านเมืองหรือไม่
ดูยุทธวิธีการต่อสู้ของ “นายใหญ่” แล้วทำให้ผมคิดไปถึงข้อมูลที่ “นายเนวิน ชิดชอบ” ออกมาแถลงกับสื่อมวลชนเมื่อวันที่ 7 เม.ย.ที่ผ่านมา ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับ “นายสมัคร สุนทรเวช” อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งตอนนี้คงหมดทุกข์หมดโศกหลังจากถูกเชิดให้เป็นนายกฯนอมินี มาพักหนึ่ง
ผมเชื่อว่าคนอายุ 74 ปี ซึ่งมีศักดิ์ศรีเป็นถึงหัวหน้าพรรคประชากรไทย เข้ามารับตำแหน่งนายกฯ ถ้าหาก วันใดวันหนึ่งเจ้าของพรรคตัวจริง ไม่อยากให้เข้าไปรับตำแหน่งฝ่ายบริหารต่อ บอกกันตรง ๆ ว่า “ผมหมดรักแล้ว” อยากจะขอตำแหน่งหัวหน้าพรรคคืน ไม่ต้องใช้วิธีการ “หักหลัง” หรือหลอกไปฆ่ากันทางการเมือง โดยไปบอกกับ ส.ส.กลุ่มเพื่อนเนวิน ว่า ไม่ให้สนับสนุนนายสมัคร อีกต่อไป
แต่นายใหญ่กลับไปล็อบบี้ ส.ส.พลังประชาชน หรือพรรคร่วมรัฐบาล ไม่ให้เข้าร่วมประชุม จนทำให้สภาต้องล่มไปโดยปริยาย เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นตัวตนที่แท้จริงของคนชื่อ “ทักษิณ ชินวัตร” ได้อย่างชัดเจนว่า วันใดวันหนึ่งถ้าหากทำงานให้หมดประโยชน์ ก็จะเขี่ยทิ้งลงถังขยะทันที
ผมจึงเชื่อว่า วันหนึ่งถ้าหาก “นายใหญ่” หมดรักหรือคิดว่าใช้งานบรรดาแกนนำ นปช. เสร็จงาน หรือพลาดพลั้งไป เพราะสู้ครั้งนี้เดิมพันสูงท้าชนกับ “สถาบันองคมนตรี” พ.ต.ท.ทักษิณ และครอบครัว คงไม่กลับมาบ้านเกิดเมืองนอนอีกต่อไปแล้วล่ะครับปล่อยให้บรรดา ชาวบ้านที่สวมใส่เสื้อแดงต้องรับกรรม หากมีการกระทำที่หมิ่นเหม่กับข้อกฎหมาย
แค่นี้หลายคนก็พอมองออกแล้วว่า ใครจริงใจ หรือ หลอกใช้.
‘เขื่อนขันธ์’
http://www.dailynews.co.th/web/html/popup_columns/default.aspx?CategoryID=37&NewsType=2
เมษายน 9, 2009 ที่ 11:27 pm
sakthorng
ประชาธิปไตยส่วนตัว-สู้แล้วรวย !?
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 10 เมษายน 2552 07:58 น.
คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น
การเคลื่อนไหวแบบนี้ถือว่าหมิ่นเหม่ต่อการเกิดจลาจล อย่างไรก็ตามการหันมาใช้วิธีการปิดถนน และสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนในวงกว้าง เชื่อว่าทางฝ่ายเสื้อแดงเลือดเข้าตาแล้ว ต้องการปิดเกมให้เร็วที่สุด แต่ขณะเดียวกันนับจากนี้ไปแรงกดดันจะหันกลับไปหาฝ่ายผู้ชุมนุมเอง และไม่ได้รับการยอมรับอย่างแน่นอน
ปรากฏการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นกับสังคมไทยและกำลังเกิดขึ้นกับกลุ่ม “คนเสื้อแดง” เวลานี้กำลังถูกท้าทายและถูกตั้งคำถามอย่างหนักว่า เป็นการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ประชาธิปไตยแบบไหน และเพื่อใคร รวมทั้งมีใครบ้างที่ได้ประโยชน์
ที่สำคัญเวลานี้สังคมไทยเริ่มรับรู้และจับได้ไล่ทันแผนการอันอำมหิตของนักโทษหนีคุกคนหนึ่งที่กำลังจับชาวบ้านเป็นตัวประกัน กำลังทำทุกทางเพื่อเอาตัวเองให้รอด และได้ประโยชน์ โดยไม่นำพาว่าคนอื่นหรือประเทศชาติจะได้รับความเสียหายเพียงใด
การบัญชาการปลุกระดมอยู่นอกประเทศ และล่าสุดได้อพยพสมาชิกคนสำคัญในครอบครัวหลบหนีออกนอกประเทศเพื่อความปลอดภัย โดยทยอยออกไปตั้งแต่วันที่ 6-7-8 เมษายน เป็นต้นมา ไม่ว่าจะเป็น พจมาน ณ ป้อมเพชร อดีตภรรยา และลูกๆ เช่น พานทองแท้ พิณทองทา แพรทองธาร ชินวัตร รวมทั้ง “น้องเขย” สมชาย วงศ์สวัสดิ์ หรือแม้กระทั่ง พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร ก็ได้ข่าวว่าหลบร้อนไปอยู่ใต้หวัน เช่นเดียวกัน
ขณะที่การปรากฏตัวกลางวงม็อบเสื้อแดง เมื่อบ่ายวันที่ 8 เมษายน ของเครือญาติคนสำคัญ เช่น เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ และ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็มีสิ่งน่าพิรุธ เพราะเกิดขึ้นหลังจากที่ข่าวการหลบหนีออกนอกประเทศของลูกเมีย เริ่มสร้างความระส่ำระสายให้กับ ม็อบและบรรดาผู้สนับสนุน จึงต้องโผล่หน้าออกมาให้เห็น
แต่ถ้าสังเกตให้ดีจะพบว่าแต่ละคนปรากฏตัวเพียงแค่แวบเดียว ไม่เกิน 15 นาทีเท่านั้น และแต่ละคนถ้าพิจารณาตามลักษณะการแต่งตัวแล้วเหมือนกับการเตรียมพร้อมสำหรับการเดินทาง เพราะมีเพียงสวมผ้าพันคอสีแดง หรือบางคนก็สวมเสื้อยืดดีแดงทับอยู่ภายนอกเท่านั้น
พร้อมจะเผ่นหนีออกไปทุกเมื่อ !!
หลายฝ่ายจึงเริ่มวิเคราะห์ออกมาตรงกันว่า เป็นการส่งสัญญาณเชิงลึกว่าจะมีการเปลี่ยนวิธีการหันมาใช้ความรุนแรง ก่อจลาจล ในบ้านเมือง เพื่อสร้างแรงกดดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงตามที่ นักโทษชายทักษิณ ชินวัตร ต้องการเท่านั้น โดยไม่สนใจว่าบ้านเมืองจะฉิบหายวายป่วง ชาวบ้านส่วนใหญ่จะเดือดร้อนอย่างไร
แต่ก็อ้างว่านี่คือการเรียกร้องเพื่อประชาธิปไตยอย่างแท้จริง
แต่หากมาทำความเข้าใจกับประชาธิปไตยของ ทักษิณ ชินวัตร และกลุ่มคนเสื้อแดงที่ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหลายฝ่ายมองว่าเป็นประชาธิปไตยส่วนตัวเท่านั้น เป้าหมายเพื่อสร้างแรงกดดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสูงสุด
ขณะเดียวกันเมื่อหันมาพิจารณาข้อเรียกร้องในแต่ละข้อนอกจากมีความสับสนกลับไปกลับมาแล้วยังเป็นไปไม่ได้อีกด้วย
เพราะหากไล่เรียงไปแต่ละข้อตั้งแต่เริ่มต้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการให้นำรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 เรียกร้องให้ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งมีทั้งลาออกและยุบสภาทั้งสภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภา เพื่อเลือกตั้งใหม่
ถัดมาก็เปลี่ยนแปลงใหม่ แบบรายวัน เบนเป้าบีบให้ “ป๋าเปรม” พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ลาออกจากประธานองคมนตรี รวมทั้งองคมนตรีอีกสองคนคือ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ และ ชาญชัย ลิขิตจิตถะ
ซึ่งข้อเรียกร้องอย่างหลังหากพิจารณาให้ดีจะพบว่า ไม่มีทางเป็นไปได้ หรือเป็นไปได้ยาก เนื่องจากตำแหน่งองคมนตรีเป็นพระราชอำนาจและพระราชวินิจฉัยส่วนพระองค์ ดังนั้นการยื่นข้อเรียกร้องดังกล่าวถือว่าเข้าข่ายการก้าวล่วงพระราชอำนาจ
อีกทั้งระหว่างการปักหลักชุมนุมที่หน้าบ้านสี่เสาเทเวศร์และหน้าทำเนียบรัฐบาล บรรดาแกนนำต่างใช้วาจาหยาบคายด่าทอด้วยเรื่องส่วนตัว สร้างความเกลียดชัง แต่อ้างว่านี่คือการยกระดับการชุมนุม
อย่างไรก็ดีเมื่อการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง ภายใต้การบัญชาการโดยตรงของ นักโทษชายทักษิณ ชินวัตร ที่เริ่มมาตั้งแต่วันที่ 8 เมษายน เป็นต้นมา แต่ปรากฏว่ามีคนเข้าร่วมไม่มากตามที่คาดหมาย และนับวันมีจำนวนเริ่มลดลงเรื่อยๆ
ทำให้เส้นตายที่ประกาศเอาไว้เมื่อเวลา 16.00 น.ก็ไม่ได้ผล จนต้องเพิ่มแรงกดดันเป็นการชุมนุมขั้นแตกหักนั่นคือการกระจายไปปิดถนนตามจุดสำคัญทั่วกรุงเทพมหานคร
ซึ่งการเคลื่อนไหวแบบนี้ถือว่าหมิ่นเหม่ต่อการเกิดจลาจล อย่างไรก็ตามการหันมาใช้วิธีการปิดถนน และสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนในวงกว้าง เชื่อว่าทางฝ่ายเสื้อแดงเลือดเข้าตาแล้ว ต้องการปิดเกมให้เร็วที่สุด แต่ขณะเดียวกันนับจากนี้ไปแรงกดดันจะหันกลับไปหาฝ่ายผู้ชุมนุมเอง เนื่องจากไม่ได้รับการยอมรับอย่างแน่นอน
และอีกด้านหนึ่งทำให้สังคมเริ่มเข้าใจมากขึ้นว่า การต่อสู้เรียกร้องครั้งนี้เป็นเพียงการเรียกร้องเพื่อผลประโยชน์ของคนเพียงคนเดียว ทำทุกทางเพื่อให้เป็นโมฆะ เพื่อให้ทักษิณพ้นโทษ ได้ทรัพย์สินคืนมาและกลับคืนสู้อำนาจอีกครั้ง โดยไม่สนใจความพินาศฉิบหายของบ้านเมือง
หากเป็นประชาธิปไตยก็เป็นประชาธิปไตยส่วนตัว
ขณะที่บรรดาแกนนำหากสังเกตให้ดีก็จะพบว่าที่ยิ่งต่อสู้ยิ่งหน้าตาสดชื่น เหมือนกับว่าสู้แล้วรวย อะไรประมาณนั้น !!
http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9520000040762
เมษายน 10, 2009 ที่ 9:33 pm
praak
พระเอก(ผู้ร้าย)ตัวจริง….?
เดือนเมษายน 2552 ถูกบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ชาติไทยว่าเป็นอีกหนึ่งช่วงเวลาแห่งความวุ่นวายในประเทศมากที่สุด เป็นการเพาะบ่มเชื้อไฟเพลิงฟืน มาตั้งแต่ 19 ก.ย. 2549 ไต่ระดับความร้อนแรงในการหลอมประเด็นเหตุการณ์และเป้าหมายบุคคล จนสถานการณ์สุกงอม(จริง?) ในวันที่ 8 เม.ย.2552
เป็นการทำสงครามของ คนเสื้อแดง-นายใหญ่ ที่เชื่อมั่นสุดขีดว่าตนและพวกเป็น “ประชาธิปไตยแท้” ที่มีเป้าหมายสูงสุดในการโค่น “อำมาตยธิปไตย-เผด็จ การ” ที่มีป๋าเปรมเป็นหัวขบวน ต่อด้วยนายกอภิสิทธิ์ และรัฐบาลประชาธิปัตย์ ที่อยู่ในบัญชีที่ต้องขับไล่(ตามความเชื่อของเสื้อแดง)
เป็นที่น่าสังเกตุว่าในการเคลื่อนไหวของนายใหญ่-พรรคของเขา-คนเสื้อแดง ระยะแรกๆ(หลังการรัฐประหาร 19 ก.ย.) จะกระแทกไปที่ตัวบุคคลใน คมช. – ตุลาการ-พรรคประชาธิปัตย์-พันธมิตร และชูการต้านเผด็จการและยกฝ่ายตัวเองเป็นประชาธิปไตยของจริง
จนต่อมาเมื่อมีรัฐบาลพิเศษที่ว่ากันว่าเกิดจากสูตรผสมของกองทัพ-ประชาธิปัตย์-พันธมิตร-กลุ่มเนวิน บริหารราชการแผ่นดินได้2เดือนเศษๆที่ดำเนินการอันส่อเค้าว่าจะเอาจริงกับการตามล่าตัวนายใหญ่(จะยึดพาสปอร์ต-เครื่องราช-ถอดยศ-จะตัดโฟนอิน) พร้อมกับจะยึดทรัพย์สินเข้าหลวงให้หมด(จากคดีความ) ทำให้นายใหญ่ต้องหันมาสู้แบบหมาจนตรอก(ครั้งหนึ่งเคยเป็นหมาเชื่อง) ส่งสารมายังไทยบ่อย ถี่ โจมตีจุดอ่อนของรัฐบาลประชาธิปัตย์ในเรื่อง “เศรษฐกิจ” ที่ปักหัวดิ่งตามแรงโน้มถ่วงของเศรษฐกิจโลก(ล่าสุดธนาคารโลกออกมาระบุจีดีพีไทยจะติดลบ2.7)
พร้อมกับเปิดตัวละคร “ศัตรู” ในระดับอำมาตยธิปไตย อย่างองคมนตรี-ตุลาการ (แต่เดิมนายใหญ่มักจะกล่าวถึงอย่างอ้อมๆ ไม่ระบุชื่ออย่างชัดเจน )มีคนตั้ง ข้อสังเกตุว่าถ้าลำพังไล่แค่รัฐบาลอภิสิทธิ์(ที่ไม่ปรากฎแผลชัดเจนมาก)อาจเรียกคนไม่ได้มากพอ
แต่ถ้ารบกับอำมาตย์จะได้แนวรบเพิ่มขึ้นจากบางกลุ่มที่ต้องการล้มอำมาตย์แม้อาจจะไม่ชอบนายใหญ่ แต่เมื่อมีเป้าหมายศัตรูเดียวกันก็หันมาร่วมมือเพื่อ ภาระกิจพิเศษ(เช่นเครือข่ายหนี้สินชาวนาแห่งประเทศไทย เข้าร่วมสมทบคนเสื้อแดงด้วย-หรือพวกแดงซ้าย) ซึ่งจะว่าไปแล้วก็เหมือนกับคราวที่กลุ่ม พันธมิตรล้มนายใหญ่ มีหลายแนวร่วมที่ไม่เห็นด้วยกับกลุ่มพันธมิตร แต่เห็นว่านายใหญ่ร้ายกว่าต้องกำจัด จึงจำต้องร่วมกัน และเมื่อล้มได้แล้วบางส่วนก็ แยกย้าย บางส่วนก็ทะเลาะเรื่องที่ยังไม่สมประโยชน์ซึ่งกันและกัน
แต่ทว่าคนเสื้อแดง-นายใหญ่ มีจุดอ่อนอยู่ที่เรื่อง “ความจงรักภักดีต่อสถาบัน” ..ที่ถูกกลุ่มที่อยู่ตรงข้ามผลักไปสู่หลักเขตของการเป็นคนที่ไม่จงรักภักดี ด้วย เพราะมีหลายเรื่องราว หลายคำพูดของนายใหญ่ถูกวิพากษ์ว่าล่อแหลม หมิ่นเหม่ หรือไม่ ส่วนคนเสื้อแดงนั้นมีหลายคนที่ติดคุกอยู่ บางคนหนีคดีอยู่และอีก ไม่น้อยที่กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาคดี และยิ่งคนเสื้อแดง-นายใหญ่ชนกับองคมนตรีที่มีความใกล้ชิดกับเบื้องสูงมาก จึงหลีกเหลี่ยงไม่ได้ที่จะถูกตั้งคำ ถามว่าเป้าประสงค์แท้จริงคืออะไร?
ทางนายใหญ่ก็พยายามแก้เกมด้วยการโฟนอิน-วีดีโอลิงค์ครั้งหลังๆจะพยายามโชว์ว่าตัวเองนั้นมีความจงรักภักดีสูงสุด ไม่เคยมีความคิดที่จะล้มล้างสถาบัน อย่างที่เคยถูกกล่าวอ้างแต่อย่างใด ส่วนคนเสื้อแดงก็พยายามบอกว่าองคมนตรีไม่ใช่สถาบันจึงแตะต้องได้
นอกจากนี้คนเสื้อแดงยังมีจุดอ่อนอีกประการที่ว่าเคลื่อนไหวครั้งนี้เพื่อคนๆเดียว จนคนเสื้อแดงต้องพลิกเกมออกมาระบุว่านายใหญ่เป็นแค่แกนนำคนเสื้อ แดงเท่านั้น ไม่ได้เป็นหัวหน้าคนเสื้อแดง และสิ่งที่กระทำอยู่คือการเรียกร้องประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ซึ่งเป็นอุดมการณ์ที่สอดคล้องกับของนายใหญ่ที่เรียก ร้องเรื่องประชาธิปไตยมาโดยตลอด(ตอนหลังถูกโต้สื่อเผยข้อมูลว่านายใหญ่เคยได้รับบุญคุณเป็นสัมปทานดาวเทียมจากบิ๊กจ๊อดรสช. ผู้ปฎิวัติ-และครั้ง หนึ่งนายใหญ่เคยพูดว่า “ประชาธิปไตยเป็นเพียงแค่เครื่องมือ ประชาธิปไตยไม่ใช่เป้าหมาย” )
การดับเครื่องชนของคนเสื้อแดง-นายใหญ่ภายใต้ข้อเรียกร้องที่ทำตามได้ยากยิ่ง(แถลงการณ์ฉบับที่ 1 วันที่ 8 เม.ย.ได้ระบุข้อเรียกร้อง3ข้อ 1 ให้ป๋า-พล.อ.สุ รยุทธ-ชาญชัยลาออกจากองคมนตรี 2.นายกฯอภิสิทธิ์ ลาออก 3. ให้นักประชาธิปไตยมีส่วนร่วมในการการปฎิรูปการเมือง)
ซึ่งนายใหญ่-คนเสื้อแดงก็รู้ดีว่าข้อเสนอเหล่านี้ไม่มีทางเป็นความจริงได้ การเปลี่ยนแปลงใดๆ จะไม่เกิดขึ้นถ้าหากยังชุมนุมกันอย่างสงบ ดังนั้นจึงเกิดปราก ฎการณ์คำขู่หลายครั้งของนายใหญ่เช่น-Thailand need Change-เปลี่ยนประเทศไทย-พลิกแผ่นดิน-สงครามประชาชน -ปฎิวัติประชาชน-วันเสียงปืนแตก ฯลฯ อันสอดรับกับคำกล่าวของแกนนำคนเสื้อแดงในทำนองว่า- ถ้าเสื้อแดงแพ้ ทั้งประเทศก็อยู่กันไม่ได้-ถ้าจะชนะต้องมีการนองเลือด-ถ้าอยู่อย่างสงบไม่ได้ ก็ไม่ ต้องอยู่กัน-เสื้อแดงตาย 10 คน แลกกับอำมาตย์ตาย 1 คน- ถ้าจะต้องปล้นโจรก็ต้องปล้นกัน ฯลฯ
นอกจากการส่ง “สาร-ด้วยคำพูด” ไปยังศัตรูแล้ว “สาร-การกระทำ” ที่เกิดขึ้นในห้วงตั้งแต่1-8 เม.ย.2552 นั้นก็ดูเหมือนจะเป็นเรื่องตั้งใจทำให้สถานการณ์ พัฒนาไปสู่ความรุนแรงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเสื้อแดงในต่างจังหวัดตามไปราวีนายกฯและรัฐมนตรีที่ลงพื้นทีต่างจังหวัด หรือเสื้อแดงปะทะกับกลุ่มที่ต่อต้าน และมาหนักข้อเมื่อมีการรุมล้อมทุบรถนายกฯ และเรื่องที่ตร.จับกุมทีมมือปืนเตรียมเด็ดหัวองคมนตรีชาญชัย พร้อมกับทางด้านฝ่ายความมั่นคงของรัฐก็ออก มาเตือนเรื่องมือที่ 3 ออกมาสร้างสถาการณ์ปั่นป่วนบ้านเมือง ว่าจะมีการเผาสถานที่ราชการ เผาธนาคาร สร้างความวุ่นวาย ป่วนเมือง เพื่อนำไปสู่สงครามการเมืองอย่างที่นายใหญ่-คนเสื้อแดง หวังและตั้งใจ?
และกว่าจะหล่อหลอมจนมาถึงวันแดงเดือดในวันที่ 8 เม.ย. นั้นมีปรากฎการณ์แหลมๆ เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและไม่บังเอิญ เช่น
ปรากฎการณ์องคมนตรีพร้อมใจกันแสดงจุดยืนและท่าที่ ตั้งแต่ป๋าเปรม-สวัสดิ์-อำพล-พล.อ.พิจิตร จนมาถึง ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล(โมษกกระทรวงมหาดไทย) ที่ออกมาปกป้องประธานองคมนตรีกันพร้อมเพรียง พร้อมกับตอบโต้นายใหญ่กลับ(กรณีพล.อ.พิจิตร)รวมไปถึงกลุ่มบุคคลที่ออกปกป้ององคมนตรีกันอีก หลายชุด ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มที่สงขลา ที่โคราช กลุ่มสยามสามัคคี หรือนายกฯ คนในรัฐบาลเลือดสะตอเข้มข้น(อย่างถาวร มท.3-บอกกราบเท้าป๋าเปรมได้)ที่ ออกมาติติง หนักเบาต่างกันไป
ปรากฎการณ์เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย เอริค จี จอห์น ได้เดินทางเข้าพบป๋าเปรมที่บ้านสี่เสาเทเวศน์ (2เม.ย.2552)
ปรากฎการณนายใหญ่เรียกร้อง 4ข้อ1. ขอรัฐธรรมนูญปี 40 กลับคืนมา 2. ยุบสภาทั้ง ส.ส.และ ส.ว.ตามรัฐธรรมนูญปี 25403. องค์กรอิสระที่ไม่อิสระจริง ก็ ให้อยู่รักษาการ จนกว่าการเลือกตั้ง ส.ส.และ ส.ว.เสร็จสิ้น ค่อยมาคัดสรรกันใหม่ตามกติกา4. คืนสิทธินักการเมืองที่ถูกแบน (3เม.ย.2552)
ปรากฎการณ์ท่านผู้หญิงวิระยา ชวกุล ประธานคณะกรรมการและเลขาธิการมูลนิธิบำรุงขวัญทหาร ตำรวจ อาสาสมัครชายแดนในพระบรมราชินูปถัมภ์ ได้ ให้สัมภาษณ์ “ไทยรัฐ” ว่าไม่เชื่อว่านายใหญ่ไม่จงรักภักดี และพูดพาดพิงถึงประธานองคมนตรี (4 เม.ย.2552)
ปรากฎการณ์วิชิต ปลั่งศรีสกุล ทนายความนายใหญ่ไปฟ้องร้อง “พล.อ.พิจิตร กุลละวณิชย์” องคมนตรี ในข้อหาฐานหมิ่นประมาท ที่แฉเอาเงินกว่าแสนล้าน ไปฟอกที่เกาะเคย์แมน โดยใช้คำสัมภาษณ์สื่อมวลชนของท่านผู้หญิงเมื่อวันที่4 เม.ย.2552เป็นหลักฐานด้วย (6 เม.ย.2552)
ปรากฎการณ์ พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม อดีตหัวหน้าสำนักงานเลขาธิการคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ(คมช.)และอดีตสนช. ในนามกลุ่มสยามสามัคคี ประกาศมอบรางวัลเงิน 1 ล้านบาท เป็นค่าหัวให้กลุ่มบุคคลที่สามารถนำนายใหญ่มาดำเนินการตามกฎหมายได้(6 เม.ย.2552)
ปรากฎการณ์ นายกฯอภิสิทธิ์ออกทีวีลั่นจะดำเนินการเด็ดขาดตามกฎหมาย หากชุมนุมกระทบความมั่นคง-สถาบันหลักของชาติ… “เรามีหน้าที่ในการที่จะ ปกป้องคุ้มครองสถาบันหลัก ปกป้องคุ้มครองคนดี ปกป้องคุ้มครองผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมือง ” …(6 เม.ย.2552)
ปรากฎการณ์คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน- สภาหอการค้าไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย แสดงจุดยืนไม่เห็น ด้วยกับม็อบเสื้อแดงที่พยายามจะสร้างสถานการณ์ให้เกิดการนองเลือดเพราะจะเป็นการซ้ำเติมเศรษฐกิจของประเทศที่บอบช้ำอยู่แล้ว..(7 เม.ย.2552)
ปรากฎการณ์ เนวิน ชิดชอบ ออกมารินน้ำตาจงใจแฉประเด็นนายใหญ่หักหลังสมัครตอนเลือกนายกฯ(ข่าวว่านายใหญ่ล๊อบบี้ให้เลือกสมชายแทน) เพื่อดิส เครดิตเสื้อแดงที่ระบุว่านายกอภิสิทธิมาแบบไม่ถูกต้อง(7 เม.ย.2552)
ปรากฎการณ์นายใหญ่เผยว่าตัวเองเป็น “พระเอก” … “ตอนบ่ายก็ได้ดู ละครน้ำเน่า แต่ว่า เล่นไม่เนียน ดันไปเอาผู้ร้ายมาเป็นพระเอก ผู้ร้ายก็เป็นผู้ร้ายทั้งปี ผู้ร้าย ดันมาสอนพระเอกให้รู้จักเรื่องของความจงรักภักดี ” …(นายใหญ่วิดีโอลิงค์ 7 เม.ย.52)
งานนี้แน่นอนว่านายใหญ่เป็น “พระเอกตัวจริงเสียงจริง” ของคนเสื้อแดง ที่แดงเข้มบางส่วนนั้นภักดีกับนายใหญ่ในระดับเดียวกับเหลืองเข้มที่เห็นสนธิ- จำลองเป็นพระเอกตลอดกาล และต้องยอมรับว่าไม่ว่าปรากฎการณ์คนเสื้อแดงเคลื่อนพลจริง(8 เม.ย.2552)จะเกิดขึ้นจากสาเหตุใดก็ตาม นายใหญ่ก็เป็น พระเอกในบทละครที่เขาออกเงินสร้างเอง เขียนบทเอง เล่นเอง กำกับเอง และเลือกผู้ร้ายด้วยตัวเอง ในทางกลับกัน พระเอกอย่างนายใหญ่ ก็กลายเป็นผู้ร้าย เป็นนักโทษในสายตาของคนที่อยู่ฝั่งตรงกันข้าม และกำลังจะเป็นผู้ร้ายที่ปลุก สร้างสถานการณ์นำไปสู่ความรุนแรงหรือไม่ ? อย่างไร?
ทางข่าววงในระบุว่าแผนการของเสื้อแดงนั้นในช่วง26มี.ค.-7 เม.ย. นั้นเป็นระยะที่1 เป็นช่วงโหมไฟ สุ่มไฟ เรียกคน จากต่างจังหวัดเข้าเมืองกรุง และบาง ส่วนก็ชุมนุมหน้าศาลากลาง จนมาถึง 8 เม.ย.-10 เม.ย. ถ้าไฟจุดติด แล้วยืดเยื่อได้ ก็จะลากยาวไปให้เลยสงกรานต์ 11 เม.ย.-15 เม.ย. แล้วเว้นระยะ ต่อรอง- เจรจา โหมไฟอีกรอบ แล้วไปกำหนดหมุดหมายเด็ดขาด ชุมนุมใหญ่อีกครั้งในวันที่ 30 เม.ย. อันมีนัยยะต่อเนื่องถึงวันที่ 1 พ.ค. อันเป็นวันแรงงานแห่งชาติ ซึ่งจะเป็นสัญลักษณ์ของชนชั้นแรงงาน ชนชั้นถูกปกครองจะลุกขึ้นสู้กับชนชั้นขุนนาง ชนชั้นปกครอง
และในยุทธศาสตร์การต่อสู้นั้น ต้องมีตัวเปิดและตัวปิด ในขณะนี้ตัวเปิด(สามเกลอ-แกนนำนปก.-คนทรท.บางคน) ทำงานอย่างขยันขันแข็ง ก้าวร้าว ดุดัน ปลุกเร้ามวลชน ส่วนตัวปิดอย่างหมอมิ้ง-อ้วน ภูมิธรรม-พันธศักดิ์-จตุรนต์-ยงยุทธ และสหายดาวแดงบางคน ที่กำลังเดินเกมใต้ดิน ซุ่มซ่อน รอคอย วันเวลา ที่เหมาะที่ควร แล้วก็ออกมาปิดเกม นั้น ทางฝ่ายความมั่นคงรัฐก็จับตาอย่างใกล้ชิด
โดยในวันดีเดย์(8 เม.ย.2552)การชุมนุมก็เป็นไปอย่างที่วางแผนคือเคลื่อนพลจากทำเนียบไปยังบ้านป๋าเปรมได้สมปราถนาโดยไม่มีเหตุร้ายรุนแรงใดๆ แต่มีการยืนเงื่อนไข และกำหนดเวลา (ซื้อเวลา)และเมื่อพลบค่ำ “พระเอกตัวจริง” ก็วีดีโอลิงค์มาอีกมีใจความว่า “ไม่นำม็อบกลับมือเปล่าปชต.เต็มใบติดมือชื่นใจสีแดงมามาก” (SMSไอเอ็นเอ็น21.02)
ในขณะเดียวกันรัฐบาลก็พยายามเบรคเครดิสนายใหญ่ด้วยข่าว”ลูกเมียหนีออกนอก”…พร้อมกันนั้นนายกฯยังออกมากระทุ้งว่าข้อเรียกร้องของเสื้อแดงสับสน และไร้ราคา และไม่สนองข้อเสนอของเสื้อแดงทุกประการ(8 เม.ย.2552)
ต่อมาในวันรุ่งขึ้น(9เม.ย.) เสื้อแดงเดินเกมดุดันขึ้น ดาวกระจายไปล้อมศาลรัฐธรรมนูญ พรรคประชาธิปัตย์ กระทรวงต่างประเทศ แต่ที่แสบสุดๆ คือเข้ายึดปิดล้อมอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ที่ส่งแรงสะเทือนระดับ8.5 ริกเตอร์ ชาวบ้านผู้ไม่เกี่ยวข้องเดือดร้อนจากการจราจรที่ติดขัดอย่างหนัก(นายใหญ่ต้องออกมาขอโทษประชาชนแต่จำต้องทำ) จนผู้นำรัฐบาลต้องออกโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจ แจงเหตุและสำทับว่าจะบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด
กลยุทธที่สร้างความเดือดร้อนนี้ เสื้อแดงพยายามอ้างถึงคราวที่ “เสื้อเหลืองยึดสนามบิน” และพยายามจะเดินตามรอยเท้าพันธมิตรเพื่อตอกย้ำว่ากฎหมายมี2มาตราฐาน แต่การเดินเกมของเสื้อแดงแบบนี้ก็เสียฐานมวลชนไปพอสมควร ในโลกอินเตอร์เนต ออกมารุมประณามเสือแดงกันหนาแน่น และนักรบไซเบอร์บางคนยังระบุว่าการทำให้คนกรุงเดือดร้อน จะเป็นเหมือน “การออกใบอนุญาติให้รัฐใช้กำลังจัดการกับเสื้อแดง”(พิสูจน์ว่าชนชั้นกลางในเมืองคำนึงถึงเรื่องของตนเองมาเป็นอันดับหนึ่ง)
แต่สิ่งที่น่าจับตาที่สุดคือการประชุมอาเซียน+3 ที่พัทยา ที่เสื้อแดงกระจายกำลังมุ่งหมายจะไปขัดขวางไม่ให้เกิดการประชุม ซึ่งข่าววงในระบุว่าถ้าเสื้อแดงขัดขวางและมีการพยายามทำให้เกิดความวุ่นวาย ทางรัฐยอมไม่ได้ จะมีการประกาศใช้สถานการณ์ฉุกเฉิน และเข้าควบคุมมวลชน ซึ่งก็สุ่มเสี่ยงกับการขยายปริมณฑลของความขัดแย้งออกไปอีก
สงครามศึกครั้งนี้น่าจะอีกยาว ต้องติดตามว่าจะมีสถานการณ์อะไรที่รุนแรง (อันอาจเกิดจากมือที่3-4)อันนำไปสู่เงื่อนไขที่จะทำให้เป้าหมายของคนเสื้อแดง สัมฤิทธิ์ผลหรือไม่? และนายใหญ่จะได้รับบท “พระเอก” ต่อไปได้อีกนานแค่ไหน?
http://www.innnews.co.th/specialnews.php?nid=166058
เมษายน 10, 2009 ที่ 9:50 pm
praak
อยากให้ท่านทักษิณอ่าน
โดย poorless เมื่อ ส เมษ 11, 2009 12:21 am
ถึง ท่านทักษิณ
เป็นธรรมชาติของทุกคน ที่ต้องการแก้แค้น เมื่อถูกกระทำอย่างไรก็ตาม แม้เป็นเรื่องที่ยากจะยอมรับ ทำใจ ให้อภัย ยากมากกก แค่ไหน ลำบากยากเย็นเพียงไร ก็อย่างตกเป็นเครื่องมือของการแก้แค้น เครื่องมือของมาร ที่ไฟแค้นนั้นจะทำลายทุกอย่างแม้แต่จุดกำเนิดของตัวเอง จุดสิ้นสุดของความแค้นนั้นไม่มี ไม่มีความสุข แต่อาจจะมีความทุกข์มากกว่า จากตราบาป
ผมเข้าใจดีว่า ไม่มีใคร อะไรเลวร้ายไปทั้งหมด และไม่มีอะไรที่ดีสมบูรณ์แบบ ไม่ว่าจะยังไง ท่านก็ทำให้ผมรัก ทำให้การดำเนินชีวิตมีกำลังใจ แต่บัดนี้ การล้างแค้นมีแต่เผาผลาญทำลายตัวเองด้วยไฟแห่งความแค้น
ผมเข้าใจว่า มันยากที่จะให้อภัย ยากมากกก มันเจ็บปวด มันเดือดร้อน มันกระทบถึงคนที่รักยิ่งชีวิต แต่…ก็จำเป็นต้องให้อภัยครับ เพราะในใจลึกๆท่านรู้ดีว่า จุดจบของการล้างแค้นไม่เคยสวยงาม ไม่เคยมีความสุข เต็มไปด้วยตราบาป แม้ว่าบางอย่างสมควรจะเป็นการเอาคืนก็ตาม
ผมไม่อยากเห็นคนที่มีความคิดดีๆ ที่เคยอยากช่วยสังคม คนไทย ตั้งแต่วัยเด็กอย่างท่านต้องจบลงด้วยการล้างแค้น
ยิ่งท่านดำเนินการอะไรมากเท่าไหร่ คนที่รักท่านก็ยิ่งเหลือน้อยลงไปทุกทีๆ ผมรู้ว่าท่านรับไม่ได้กับความไม่ยุติธรรมในโลก แต่ความเป็นจริง ชีวิตนี้ไม่เคยมีความยุติธรรม ผมก็โดนผมเข้าใจ ตัวเราที่รู้ดีที่สุด ถ้าท่านหยุด ยังมีคนเข้าใจท่าน คนรักท่าน คนที่พร้อมจะสู้ กู้เอาชีวิตของท่านกลับมา แต่ยิ่งท่านสู้ แก้แค้น เอาคืน ท่านก็ยิ่งแต่จะเหลือคนที่รักท่านอยู่เงียบๆน้อยลงทุกทีๆ
ไฟแห่งการแก้แค้นจะเผาทำลายวิญญาณ และทุกอย่างให้มอดไหม้ไปไม่เหลือหลอ
คำตอบของทางออก เป็นสิ่งที่ทำยาก คาดไม่ถึง คือ การให้อภัยตัวเอง แล้วให้อภัยคนอื่น ปล่อยให้กฎแห่งกรรมจัดการต่อ รับรองความไม่ยุติธรรม ความไม่ถูกต้องจะได้รับการสะสางอย่างที่มันควรจะเป็น ให้ท่านรอเฝ้าดู สิ่งใดที่เข้าใจท่านผิดก็จะเป็นกรรมต่อตัวผู้นั้น ใครที่ทำลายชื่อเสียงท่าน ก็ย่อมได้รับความเดือดร้อนในภายหลังเช่นกัน เชื่อผม เชื่อมั่น ศรัทธาในกฎแห่งกรรม กฎอันทรงพลังที่สุดในจักรวาล กฎที่ไม่มีใครผู้ใด หลีกหนีได้ ผมสังเกตพบมาหลายครั้งแล้วว่า กฎแห่งกรรมไม่เคยทำให้ผมผิดหวังเลย ตรงกันข้ามกลับให้ผลลัพธ์ที่เกินกว่าความสาสม
หยุดเถอะครับ เอาเวลาของท่านไปค้นหาความสงบในใจ พักผ่อนใจ ปล่อยให้เวลารอสภาวะแห่งกรรมปรากฏ และทางที่ดีท่านไม่ควรต้องไปสนใจผลแห่งกรรม ท่านทำเพียงแค่ “สงบ”
การปฏิบัติธรรม จะช่วยท่านได้ทุกอย่าง ทิ้งดาบ 1 เล่มที่ถือไว้เพื่อแก้แค้น แล้วยอมรับดาบ 1,000 เล่ม เพื่อการช่วยเหลือจิตใจตนเองและผู้อื่น ผมอยากให้ท่านมีความสุข สงบ ท่านเคยชีวิตคนอื่นมามากมาย ท่านปรีดิ พนมยงค์ หรือว่า อิมซังอ๊ก ท่านก็รู้ว่า การทำความดีนั้นเป็นเรื่องที่ยากเย็นขนาดไหน โดนอะไรทัดทานไว้บ้าง หรือมีใครไม่เข้าใจบ้าง
ผมหวังว่า ท่านจะได้อ่าน ได้เห็น ด้วยความรัก ความหวังดี อย่างที่สุดไม่ได้ เวลาจะเป็นเครื่องเยียวยา
ให้อภัยเถอะครับ แล้วทุกสิ่งทุกอย่างจะกลับมา
คนที่รัก “ตาดูดาว เท้าติดดิน
เมษายน 10, 2009 ที่ 9:54 pm
praak
‘นักโทษหนีคุก’ ยกหางตัวเองเป็น ‘นักปฏิวัติ’
โดย ความจริงวันนี้ เมื่อ ศ เมษ 10, 2009 11:17 pm
นักโทษคนนี้วางหมากผิดมาตั้งแต่แรก ที่เลือกใช้แกนนำที่ไร้ความสามารถในการนำฝูงชน ขาดการวางแผนอย่างเป็นระบบ อีกทั้งน้ำเลี้ยงที่ส่งมาก็ถูกแย่งกันดูดโดยบรรดาหัวคะแนน มีการหักหัวคิวไปมาก ทำให้เงินที่ตกลงกับชาวบ้านไว้นั้น ได้กันไปแบบไม่เต็มจำนวนเหมือนที่ตกลงไว้ แม้ชาวบ้านที่ไปจะรักนักโทษคนนี้ แต่ก็ต้องการรับค่าจ้างด้วยเหมือนกัน แถมการชุมนุมก็เริ่มเละเทะ ส่อเค้าปั่นป่วน ทำให้ม็อบเสื้อแดงที่อยากมาแสดงออกเฉย ๆ ไม่ได้อยากปะทะ ลดจำนวนลงไปทุกที
นักโทษคนนี้ คิดว่าตัวเองจะสามารถเป็น นักปฏิวัติ ได้
แต่ นักปฏิวัติมันต้องเดินนำหน้าประชาชนต่อสู้กับอำนาจรัฐ นี่กลับไม่ใช่ ปลุกระดมให้ชาวบ้านออกมาสู้ แต่ตัวเองมุดหัวอยู่ไหน บอกให้ชาวบ้านส่งลูกหลานออกมาสู้ แต่ให้ลูกตัวเองหนีหัวซุกหัวซุนไปไหนต่อไหน แถมมาบอกว่าเป็นการวางแผนเดินทางล่วงหน้ามานานแล้ว น่าอายไหม? เห็นลูกออกมาเรียกร้อง อ้อนวอนว่าพ่อโดนกลั่นแกล้ง สถานการณ์ตอนนี้ก็เหมาะแล้วที่ตัวเองจะเรียกร้องให้ดังมากยิ่งขึ้น แล้วทำไมไม่ออกมาอยู่แนวหน้ากับม็อบเสื้อแดง
กลุ่มคนเสื้อแดงคิดกันบ้างไหมว่าตัวเองกำลังสู้เพื่ออะไร?
ประชาธิปไตยเหรอ? ผมว่าไม่ใช่ ประชาธิปไตยที่เรียกร้องกัน ต้องนิรโทษกรรมให้นักโทษคนนี้หรือ? ต้องคืนเงินที่อายัดไว้หรือ?
ข้อ เรียกร้องของนักโทษคนนี้ล้วนแต่ทำเพื่อตัวเองเท่านั้น แต่กลับอ้างการล้มองคมนตรี เพื่อประชาธิปไตยที่แท้จริงมาเป็นหน้ากากให้ดูดี มันช่างน่าสมเพช หลอกได้ก็แต่คนที่ขาดข้อมูลรอบด้าน จนถึงคนที่ขาดสติเท่านั้น
ฉะนั้นแล้ว ฟันธงได้เลยว่าศึกครั้งนี้ นักโทษหนีคุกคนนี้ ไม่มีทางที่จะชนะได้อย่างแน่นอน
เมษายน 13, 2009 ที่ 9:21 am
yommacharj
ชุมชนยมราชปรี๊ด! ฮือไล่โจรเสื้อแดง –ทหารผลักดันหลังชนถ.พิษณุโลก
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 13 เมษายน 2552 18:06 น.
ชาวบ้านย่านยมราชสุดทน โจรก่อการร้ายเสื้อแดงป่วนเมือง ลุกฮือขว้างอิฐขว้างหินเข้าขับไล่ ในขณะที่ทหารเคลื่อนกำลังเข้าผลักดันจนล่าถอยถึงหน้าโรงพยาบาลมิชชั่น โดยมีชาวบ้านให้กำลังใจและร่วมด้วยช่วยอีกแรง
วันนี้ (13 เม.ย.)เมื่อเวลา 17.45น. ผู้สื่อข่าวรายงานสถานการณ์การก่อจลาจลจากแยกยมราช ว่า ม็อบเสื้อแดงได้ยืดรถยูโรมาเผาอีกคนหนึ่ง ซึ่งเมื่อเจ้าหน้าที่ดับเพลิงพยายามจะขับรถดับเพลิงเข้าไปดับไฟ แต่ม็อบเสื้อแดงลุกฮือจะเข้าขวาง ทำให้ชาวบ้านชุมชนรถไฟเกิดความไม่พอใจ กรูเข้าไปขว้างก้อนหินใส่เสื้อแดง
นอกจากนั้น ม็อบเสื้อแดงยังเอารถร่วมบริการอีกคันจอดขวางทางขึ้นสะพานข้ามแยกยมราช และจุดไฟเผาอีกคัน
เมื่อเวลา 18.00น. ทหารเคลื่อนกำลังมาถึงทางรถไฟแยกยมราชแล้ว ท่ามกลางเสียงโห่ร้องยินดีของประชาชนละแวกนั้น อย่างไรก็ตาม ทหารได้เปิดเคลื่อนขยายเสียงชี้แจงเหตุผลที่ทหารจำเป็นต้องเข้าเคลียร์พื้นที่เพราะม็อบเสื้อแดงเข้ามาก่อความวุ่นวาย
ทหารได้พยายามผลักดันม็อบเสื้อแดงจนล่าถอยถอยไปทางด้านถนนพิษณุโลกตรงหน้าโรงพยาบาลมิชชั่น จากนั้นม็อบเสื้อแดง ได้หันกลับมาดาหน้าเข้าหาทหารที่ตรึงกำลังอยู่ พร้อมกับปาระเบิดขวดเข้าใส่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งม็อบเสื้อแดงส่วนใหญ่จะมีถือติดมือจำนวนมาก
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในระหว่างที่ทหารประจันหน้ากับม็อบเสื้อแดงนั้น พบว่าประชาชนละแวกนั้นจำนวนมาก ต่างรายล้อมรอบทหาร และยืนอยู่หน้าทหารหันไปประจันกับม็อบเสื้อแดงโดยถือหินถือไม้ โห่ไล่ม็อบเสื้อแดง ขณะเดียวกันก็ให้กำลังใจทหารในการปราบปราม
http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9520000041811
เมษายน 13, 2009 ที่ 9:22 am
yommacharj
ชาวเพชรบุรี ซ.5 และ ซ.7 ไม่ทน ระดมพลเกือบพัน ต้าน “กบฎเสื้อแดง”
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 13 เมษายน 2552 17:52 น.
ชาว เพชรบุรี ซ.5 และ ซ.7 เขตราชเทวี กรุงเทพฯ ระดมชายฉกรรจ์นับร้อยออกมารับมือกับกบฎเสื้อแดงที่ออกมาคุกคามย่านที่อยู่อาศัยของพวกเขา
คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น
ASTVผู้จัดการออนไลน์ – ชาวบ้านย่านเพชรบุรี ซ.5 และ 7 เลิกพึ่งตำรวจ รวมพลเกือบพันคนสู้กับกบฎเสื้อแดงที่มาคุกคาม ยิงปืนเข้าใส่มัสยิด-ทุบทำลายทรัพย์สินชาวบ้าน
ช่วงเวลาประมาณ 17.00น. วันนี้ (13 เม.ย.) ในย่านกิ่งเพชร ถ.เพชรบุรี เขตราชเทวี กทม. มีรายงานว่าชาวบ้านและผู้พักอาศัยบริเวณ เพชรบุรี ซอย 5 และ ซอย 7 ได้รวมตัวกันหลายร้อยคนเพื่อออกมาต่อต้านการคุกคามของกลุ่มกบฎแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ที่มาก่อกวนบริเวณดังกล่าว โดยมีการยิงปืนลูกซองใส่กลุ่มชาวมุสลิม ใช้อาวุธปืนยิงเข้าไปยังกระจกมัสยิดมัสยิดดารุ้ลอะมาน (มัสยิดพญาไท) ได้รับความเสียหาย นอกจากนี้ยังมีการทุบและทำความเสียหายแก่ทรัพย์สินของชาวบ้าน เช่น รถยนต์ รถมอเตอร์ไซค์ อีกด้วย
มีรายงานว่าก่อนเกิดเหตุ กลุ่มคนเสื้อแดงได้ขับรถมาบริเวณซอยดังกล่าวแล้วเห็นคนเสื้อเหลืองกำลังเล่น น้ำอยู่ภายในซอย จึงได้ก่อเหตุรุนแรงขึ้น
ทั้งนี้กลุ่มคนเสื้อแดงเมื่อถูกขับไล่ให้ล่าถอยออกไป ก็มีการข่มขู่ชาวบ้านในบริเวณนั้นว่าจะยกพลกลับมาเอาคืน ด้านประชาชนในบริเวณดังกล่าวซึ่งอาชีพค้าขาย และเป็นนักเรียน นิสิต นักศึกษา ก็ได้รวมตัวกันเพิ่มมากขึ้นจากไม่กี่ร้อย จนปัจจุบันมีจำนวนเกือบหนึ่งพันคน เพื่อมาจัดการกับผู้ก่อความไม่สงบ
ในเวลาต่อมา เจ้าหน้าที่ตำรวจได้พยายามเข้าระงับเหตุ แต่ก็กลับมีปากเสียงกับชาวบ้านในบริเวณดังกล่าว เนื่องจากชาวบ้านเห็นว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ทำหน้าที่จัดการกับผู้ก่อความไม่สงบ แต่กลับมาเจรจากับชาวบ้านผู้ได้รับความเดือดร้อน ส่งผลให้เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องล่าถอยไป
ถึงขณะนี้กลุ่มคนเสื้อแดง ผู้ขับขี่มอเตอร์ไซค์ รวมถึง แท็กซี่ที่สวมเสื้อแดง-โพกผ้าแดง ที่ผ่านไปมาในย่านดังกล่าวต่างถูกชาวบ้านเข้ารุมประณามและรุมประชาทัณฑ์
http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9520000041808
เมษายน 14, 2009 ที่ 8:55 pm
pantip
แดงมุดเล่นใต้ดิน ยุติชุมนุมจับ13แกนนำตร.ยัดนุ่น’เพ็ญ-ตู่’หนีจัดทัพกลับมาสู้ใหม่
ข่าวหน้า 115 เมษายน 2552 – 00:00
แดงเพลี่ยงพล้ำหลังป่วนเมือง ฆ่าชาวบ้านไป 2 ศพ แกนนำดิ้นหนีตาย สั่งสลายการชุมนุมเอง อ้างกลัวม็อบมีภัย ตระกูลชินวัตรเผ่นไปนอกอีกระลอก ตร.ออกหมายจับ 13 แกนนำ “แม้ว” พร้อมสมุนยกพวง “วีระ-ณัฐวุฒิ” นำทีมเข้ามอบตัว ตั้งข้อหาเบาหวิว มั่วสุมประทุษร้าย หัวครกกอดขาตำรวจแน่น ขอนอนห้องแอร์ใน บช.น. ไม่ยอมถูกแยกขังเดี่ยวในค่ายทหาร ขณะที่ “ตุ๊ดตู่-เจ๊เพ็ญ” หนี มุดเล่นเกมใต้ดิน ลั่นสู้ต่อขอซุ่มจัดทัพใหม่อีก 6 เดือน-1 ปีเจอกัน ใบปลิวว่อนฝั่งธน อ้างรูปแดงเป็นศพกับข้อความหมิ่นสถาบัน
การก่อจลาจลของคนเสื้อแดง ภายใต้การบงการของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นักโทษชายหนีโทษจำคุก 2 ปี ในคดีทุจริตการซื้อขายที่ดินย่านรัชดาภิเษก ในขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และบรรดาแกนนำคนเสื้อแดงที่รับคำสั่งอยู่ในเมืองไทย เริ่มเห็นแนวโน้มว่าคนเสื้อแดงจะไม่ได้รับการยอมรับจากสังคมรอบข้าง หลังเข้าไปบุกยิงชาวบ้านย่านนางเลิ้งเสียชีวิตไป 2 รายเมื่อคืนวันจันทร์ และความไม่แน่นอนนี้ ส่งผลให้คนในตระกูลชินวัตรออกเดินทางไปต่างประเทศเพิ่มเติม
รายงานข่าวแจ้งว่า นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ ภริยานายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี น้องสาว พ.ต.ท.ทักษิณ พร้อมด้วย น.ส.ชินณิชา วงศ์สวัสดิ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย บุตรสาว ได้เดินทางออกจากจังหวัดเชียงใหม่ ด้วยเที่ยวบิน MI 701 สิงคโปร์แอร์ไลน์ เมื่อเวลา 11.30 น. วันที่ 14 เมษายน ไปประเทศสิงคโปร์แล้ว
ก่อนหน้านี้ นางพจมาน ณ ป้อมเพชร (ชินวัตร) และ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ได้เดินทางออกนอกประเทศไทยด้วยสายการบินคาเธย์แปซิฟิก เที่ยวบินที่ CX750 ปลายทางเกาะฮ่องกง โดยเดินทางไปตั้งแต่คืนวันที่ 6 เมษายนที่ผ่านมา
ในคืนวันเดียวกันนั้น น.ส.พินทองทา ได้เดินทางออกนอกประเทศ โดยเดินทางไปประเทศอังกฤษ ด้วยสายการบินไทย เที่ยวบินที่ TG 910 และคืนวันที่ 7 เมษายนที่ผ่านมา นายสมชายพร้อมด้วยนายพานทองแท้ ชินวัตร ได้ออกเดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิ ปลายทางนครดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ด้วยสายการบินเอมิเรตส์ เที่ยวบินที่ EX419 ซึ่งคาดว่าการเดินทางออกนอกประเทศของคนในครอบครัวชินวัตรทั้งหมด ก็เพื่อความปลอดภัย และคาดว่าคนทั้งหมดจะไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่นครดูไบ
สำหรับสถานการณ์การชุมนุม ช่วงเช้าวันอังคาร ยังคงมีความตึงเครียด บริเวณแยกยมราช ทหารได้ตรึงกำลังควบคุมพื้นที่กว่า 500 นาย โดยเรียงแถวหน้ากระดานเต็มถนน พร้อมด้วยรถฮัมวี รถถัง และรถหุ้มเกราะ โดยขยับประชิดทำเนียบรัฐบาลเป็นระยะๆ
ผู้สื่อข่าวรายวานว่า มีชาวบ้านที่ร่วมชุมนุมจำนวนหนึ่ง ซึ่งอยู่บริเวณทำเนียบรัฐบาลต้องการจะเดินทางกลับบ้าน ถูกการ์ดเสื้อแดงล็อกไม่ให้ออกมา ส่วนการปราศรัยในช่วงเช้าเป็นที่น่าสังเกตว่าไม่มีแกนนำคนสำคัญขึ้นเวทีปราศรัยแต่อย่างใด
ต่อมาเวลา 09.10 น. เจ้าหน้าที่ทหารได้เสริมกำลังบริเวณตลาดนางเลิ้ง เนื่องจากคนเสื้อแดงยึดรถประจำทาง ขสมก.อีก 2 คัน รวมทั้งมีการเผารถยูโรสาย 509 ตรงบริเวณแยกยมราช โดยที่ชาวบ้านในย่านนั้นต่างพากันนำน้ำมาราดเพื่อดับเพลิง และยังพบว่าคนเสื้อแดงได้ขับรถดับเพลิงมาขวางชาวบ้าน จึงถูกกลุ่มชาวบ้านเข้าสกัดกั้นด้วยการใช้ไม้และก้อนหินขว้างใส่จนต้องล่าถอยไป
ขณะที่เจ้าหน้าที่ทหารเข้ายึดระเบิดขวดจากการ์ดคนเสื้อแดงได้จำนวนมาก และเคลื่อนกำลังเข้าประชิดทำเนียบรัฐบาลมากขึ้นเรื่อยๆ
ทบ.แจงม็อบเหลือ 2 พัน
เวลาใกล้เคียงกัน พล.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก แถลงทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ถึงประกาศกองอำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (กอฉ.) ว่ากองอำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน ขอเรียนให้พี่น้องประชาชนได้รับทราบว่า ขณะนี้กองอำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินสามารถที่จะควบคุมการชุมนุมได้เป็นที่น่าพอใจ จากการตรวจสอบข้อมูลเมื่อ 20 นาทีสุดท้ายที่ผ่านมา การชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงยังคงมีอยู่ที่บริเวณรอบทำเนียบรัฐบาลเพียงแห่งเดียว และมียอดผู้ชุมนุมประมาณ 2,000 คน
ไม่นานนักเริ่มมีข่าวที่ทำให้ประชาชนทั่วประเทศเริ่มโล่งใจ นั่นคือคำปราศรัยของนายวีระ มุสิกพงศ์ แกนนำคนเสื้อแดง ที่ระบุว่า ขอยุติการชุมนุม พร้อมนำผู้ร่วมชุมนุมเดินทางออกมาโดยสงบ โดยให้เหตุผลว่า เพื่อไม่ให้ผู้ร่วมชุมนุมได้รับผลกระทบ หรือเสี่ยงได้รับการบาดเจ็บจากการสลายการชุมนุมของรัฐ
นอกจากนี้ยังมีข่าวอีกว่า นายวีระเตรียมเข้ามอบตัว อย่างไรก็ตาม แม้จะมีข่าวออกมา แต่ทหารบริเวณโดยรอบยังคงตรึงกำลังดูท่าทีอยู่ เพราะยังไม่เชื่อมั่น จนกว่าผู้ชุมนุมจะสลายการชุมนุมก่อนถึงจะมีการปรับกำลังอีกที
ไม่นานนักข่าวการมอบตัวได้รับการยืนยันเมื่อนายวีระ มุสิกพงศ์ และนายสุพร อัตถาวงศ์ แกนนำคนเสื้อแดง เดินออกมาจากเวทีปราศรัยบริเวณสะพานชมัยมรุเชฐ พร้อมกลุ่มผู้ชุมนุมจำนวนหนึ่งมุ่งหน้าไปยังกองบัญชาการตำรวจนครบาล
นายสุพรอ้างว่าเพื่อความปลอดภัยของผู้ชุมนุมจึงจะมาเจรจากับเจ้าหน้าที่ตำรวจ
อย่างไรก็ตาม ระหว่างนี้ผู้สื่อข่าวที่เดินตามมาโดนกลุ่มผู้ชุมนุมขว้างปาขวดน้ำ และถูกด่าด้วยถ้อยคำหยาบคาย เนื่องจากไม่พอใจในการนำเสนอข่าว ขณะที่เจ้าหน้าที่ทหารได้ประกาศให้ผู้ชุมนุมทราบว่ามีรถรับ-ส่ง และประกาศโทษของการฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ให้ประชาชนรับทราบ
ทั้งนี้ การมอบตัวได้มีการเจรจาให้ตำรวจเข้าไปรับแกนนำคนเสื้อแดงในที่ชุมนุม แต่ทาง พล.ต.อ พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ขอให้พบกันครึ่งทาง มาเจอกันบริเวณลานพระบรมนรูปทรงม้า โดย ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจหน่วยปราบจลาจลประมาณ 50 นาย เรียงยืนแถวหน้ากระดานบริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า เพื่อเดินเข้ามาหานายวีระที่ยืนอยู่บริเวณแยกมิสกวัน โดยมีการหยุดยืนหารือกันประมาณ 2 นาที จากนั้นได้เดินมาทางบริเวณสี่แยกหน้ากองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.)
บริเวณหน้า บช.น. ทหารได้จัดตั้งแถวตรึงกำลังและนำรั้วเหล็กมากั้นทำเป็นทางเข้า โดยแยกเป็น 2 ทาง คือบริเวณหน้ากองทัพภาคที่ 1 และบริเวณหน้า บช.น. อย่างไรก็ตาม มีความพยายามของกลุ่มผู้ชุมนุมพยายามที่จะตามนายวีระและนายสุพรเข้าไปเจรจากับเจ้าหน้าที่ภายใน แต่ไม่สามารถผ่านแนวกั้นของทหารได้ เนื่องจากทหารอนุญาตให้เข้าไปเจรจาเพียง 4 คนเท่านั้น คือ นายวีระ นายสุพร และผู้ติดตามอีก 2 คน
เสื้อแดงกลับบ้าน
เวลาประมาณ 12.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจได้พานายวีระไปขึ้นรถขยายเสียงของตำรวจ โดยนายวีระได้ประกาศกับกลุ่มผู้ชุมนุมว่า เจ้าหน้าที่ได้จัดเตรียมรถบัสสองชั้นให้กับประชาชนที่จะเดินทางไปยังสถานีขนส่ง 4 คัน โดยคันที่ 1 และคันที่ 2 จะไปที่สถานีขนส่งหมอชิต คันที่ 3 ไปสถานีขนส่งเอกมัย และคันที่ 4 ไปที่สถานีขนส่งสายใต้ และขอให้ผู้ชุมนุมทยอยกันไป เนื่องจากกลุ่มผู้ชุมนุมมีจำนวนมาก ส่วนผู้ชุมนุมที่รอรถรับ-ส่งให้นั่งรอบริเวณถนนราชดำเนินเท่านั้น นอกจากนี้ยังประกาศให้ผู้ชุมนุมช่วยกันดูแลตัวเอง และหากขาดเหลืออาหารการกินให้แจ้งกับเจ้าหน้าที่ทันที
เมื่อเวลา 12.30 น. กลุ่มผู้ชุมนุมเริ่มทยอยออกจากทำเนียบรัฐบาลเกือบหมด ทั้งนี้ เพื่อความเป็นระเบียบและป้องกันการชุลมุน เจ้าหน้าที่ได้แบ่งผู้ชุมนุมเป็นสองแถว โดยแยกให้ผู้ชุมนุมที่เป็นผู้ชายเรียงแถวออกบริเวณหน้ากองทัพภาคที่ 1 ส่วนผู้หญิงให้มาออกที่บริเวณหน้า บช.น.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรดา ส.ส.พรรคเพื่อไทยกว่า 40 คน นำโดย พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย รองประธานรัฐสภา, นายวิทยา บุรณศิริ ประธานวิปฝ่ายค้าน, นายวิชาญ มีนชัยนันท์ ส.ส.กทม., นายไพจิต ศรีวรขาน, นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล, นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ และนายมานิตย์ จิตต์จันทร์กลับ ได้เดินทางมายังบริเวณด่านสกัดของทหาร บริเวณแยกวัดเบญจมบพิตร เพื่อสอบถามถึงมาตรการการปฏิบัติงานของทหาร และเรียกร้องไม่ให้ใช้ความรุนแรง
แต่ทั้งนี้ทหารยังไม่ยอมให้ผ่านเข้าไปในพื้นที่การชุมนุม โดยขอให้ติดต่อกับผู้บังคับบัญชาการเสียก่อน อย่างไรก็ตาม ส.ส.พรรคเพื่อไทย ได้กล่าวว่า พวกตนไม่ทราบมาก่อนว่าจะมีการยุติการชุมนุม ไม่รู้ว่าเหตุใดแกนนำถึงยอมยุติการชุมนุมครั้งนี้ หรืออาจจะมีเงื่อนไขการเจรจาเกิดขึ้น นอกจากนี้ยังมี ส.ว.อีกกว่า 10 คน เข้ามาสังเกตการณ์เช่นกัน อาทิ นายประสิทธิ์ โพธสุธน ส.ว.สุพรรณบุรี นายยุทธนา ไชยภักดี ส.ว.สรรหา
ขณะที่นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช. ซึ่งยังคงอยู่กับกลุ่มผู้ชุมนุมได้ประกาศว่า ที่ตนนำผู้ชุมนุมมาแล้วไม่สามารถต่อสู้จนชนะได้ จะขอรับผิดชอบ โดยขอให้ผู้ชุมนุมรักษากำลัง ถนอมกำลังเอาไว้ หากมีการเรียกชุมนุมอีกเมื่อไหร่ก็ขอให้เสื้อแดงออกมา หากการชุมนุมครั้งต่อไปมีการเปลี่ยนตัวแกนนำ ก็ยินดีมาร่วมชุมนุมกับกลุ่มเสื้อแดงด้วย
“ที่ผ่านมาพวกผมไม่ได้กลัวตาย ไม่ต้องการเป็นเหมือนไข่ในหิน ขอให้ทุกคนยึดมั่นอุดมการณ์ เราจะต่อสู้เอาประชาธิปไตย และต่อสู้กับอำมาตยาธิปไตย โดยให้ตำรวจผ่าแนวป้องกันมาจับพวกผมได้เลย” แกนนำเสื้อแดงรายนี้กล่าว ก่อนเดินทางเข้าพบตำรวจท่ามกลางความเศร้าโศกของกลุ่มคนเสื้อแดง
ขณะที่ผู้ชุมนุมบางส่วนทยอยเดินทางออกไปด้านสะพานชมัยมรุเชฐ ตรงไปยังย่านยมราช มีชาวบ้านที่ไม่พอใจกลุ่มผู้ชุมนุมยืนดูเหตุการณ์อยู่ได้เข้ารุมระบายความแค้น ซึ่งเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในหลายจุด อาทิ แยกเทวกรรม สะพานอรทัย ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บไปหลายคน
เวลา 14.00 น. นายวีระ นายณัฐวุฒิ นพ.เหวง และนายสุพร เข้ามอบตัวกับ พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผบช.น. อย่างเป็นทางการหลังแกนนำ นปช.ทั้ง 4 คน ได้ส่งผู้ชุมนุมกลับภูมิลำเนาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยทันทีที่ทั้งหมดเดินทางมาถึงกองบัญชาการตำรวจนครบาล ทางตำรวจได้พาขึ้นไปสอบปากคำภายในห้องประชุมชั้น 2 โดยไม่อนุญาตให้สื่อมวลชนหรือผู้ไม่เกี่ยวข้องขึ้นไปโดยเด็ดขาด ในขณะที่บริเวณด้านหน้า บช.น. มีตำรวจ 3-4 นาย พร้อมอาวุธครบมือ กันไม่ให้การ์ดคนเสื้อแดงที่ยังเดินทางมากับขบวนของนายวีระประมาณ 20 คน เข้าไปส่งแกนนำทั้ง 4 คนด้วย ซึ่งก็ได้เกิดการกระทบกระทั่งกันเล็กน้อยโดยไม่มีเหตุบานปลาย
มีรายงานว่า แกนนำที่เข้ามอบตัวที่กองบัญชาการตำรวจนครบาลนั้น มีการแจ้งข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 ผู้ใดกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา หนังสือ หรือวิธีอื่นใดอันมิใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ หรือมิใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นหรือติชมโดยสุจริต ตาม (3) เพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินเจ็ดปี มาตรา 215 ผู้ใดมั่วสุมกันตั้งแต่สิบคนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้ายขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย หรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใด ให้เกิดการวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ถ้าผู้กระทำความผิดคนใดมีอาวุธ ผู้ที่กระทำความผิดต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ถ้าผู้กระทำผิดเป็นหัวหน้า หรือเป็นผู้มีหน้าที่สั่งการในการกระทำความผิดนั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
หมายจับผู้ต้องหาเลขที่ 985/1552 ความผิดตามมาตรา 215 และ 116 ประกอบด้วย 1.พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี 2.นายวีระ มุสิกพงศ์ 3.นายจตุพร พรหมพันธุ์ 4.นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ 5.นายอดิศร เพียงเกษ 6.นายจักรภพ เพ็ญแข 7.นายเหวง โตจิราการ 8.นายสิรวิชญ์ พิมพ์กลาง 9.นายพีระ พริ้งกลาง 10.นายณรงศักดิ์ มณี 11.นายนัฐพง อินทะนาง 12.นายชินวัตร หาบุญพาด และชายไทยไม่ทราบชื่อปรากฏในภาพ
หัวครกโวยไม่อยากไปค่ายทหาร
นายณัฐวุฒิโวยวายหลังการมอบตัวว่า มีความแปลกประหลาดเกิดขึ้นในการทำหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งพวกตนทำผิดคดีอาญา และ พ.ร.บ.จราจร และเกิดเหตุก่อนประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ไม่มีเหตุผลที่ตำรวจจะพาพวกตนไปขังเดี่ยวในค่ายทหาร โดยทราบมาว่านายวีระจะถูกนำตัวไปขังที่ ศรภ.บก.ทท. ส่วนตนถูกนำตัวไปขังที่หน่วยบัญชาการอากาศโยธิน บางเขน และ นพ.เหวง โตจิราการ จะถูกนำตัวไปควบคุมที่ นปอ.ทุ่งสีกัน ดอนเมือง ซึ่งความแปลกประหลาดอีกประเด็นคือ พนักงานสอบสวนค้านประกันในชั้นสอบสวน ทั้งที่ข้อหาไม่ได้ร้ายแรง เป็นการใช้ 2 มาตรฐาน เพราะกลุ่มพันธมิตรฯ เพียงมารับทราบข้อกล่าวหาก็ให้ประกันตัวไปเลย นอกจากนั้น ยังไม่อธิบายเหตุผลว่าทำไมถึงไม่ให้ประกันตัว
ต่อมาเจ้าหน้าที่นำตัวผู้ต้องหาแยกขึ้นรถตู้ไปยังค่ายทหาร แต่ทั้งหมดได้ขัดขืนและเจรจากันอยู่ โดยแกนนำคนเสื้อแดงยืนยันว่าจะให้เจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมตัวที่ บช.น.เพียงแห่งเดียว และไม่ยอมไปค่ายทหารอย่างเด็ดขาด
มีรายงานว่า ศาลยังอนุมัติหมายจับไม่ครบ จึงคาดว่าจะมีแกนนำคนเสื้อแดงถูกออกหมายจับเพิ่ม ทั้งนี้ มีการกดดันให้นำตัวผู้ต้องหาไปแยกขังในค่ายทหาร โดยจะมีทหารมารับตัวไป แต่แกนนำคนเสื้อแดงไม่ยอม จะขออยู่ใน บช.น.ต่อไป และเป็นที่น่าสังเกตว่าทางเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องการให้เป็นเช่นนั้น จนสื่อมวลชนพากันตั้งข้อสังเกตว่า ตำรวจยังคงใส่เกียร์ว่างไม่เลิก
แม้แกนนำคนเสื้อแดงจะสั่งสลายการชุมนุมไปแล้ว แต่ที่แยกวังแดงมีเสียงปืนดังขึ้น 2 นัด เหตุเกิดจากมีรถทหารจีเอ็มซี 1 คัน และรถกระบะบรรทุกทหารมีอาวุธอยู่ในมือ ขับขึ้นผ่านแยกวังแดงมุ่งหน้าสู่คุรุสภา ท่ามกลางบรรยากาศที่ ประชาชนประมาณ 300 คน ชุมนุมกันวิพากษ์วิจารณ์การเมือง และบางคนยืนด่าตำรวจที่ตั้งแถวอยู่ตรงแยกที่จะทะลุไปสวนมิสกวัน ขณะที่รถทหารดังกล่าวแล่นผ่าน ประชาชนเห็นเข้าจึงเกิดความไม่พอใจ โห่ร้อง และขว้างปาขวดน้ำพลาสติกใส่รถทหาร จากนั้นทหารนายหนึ่งจากที่นั่งอยู่ท้ายรถกระบะ 3-4 นาย ได้ยิงปืนขึ้นฟ้า 2 นัด ทำให้ประชาชนที่อยู่บริเวณดังกล่าวไม่พอใจอย่างยิ่ง
คนเสื้อแดงอีกกลุ่มซึ่งถอดเสื้อแดงทิ้งแล้วได้รวมตัวกันที่บริเวณหน้าพลับพลามหาเจษฎาบดินทร์ ถ.ราชดำเนิน ตะโกนด่าทหารที่ตั้งแถวปิดถนนบริเวณสะพานผ่านฟ้าลีลาศอย่างรุนแรง โดยมีชายคนหนึ่งถอดกางเกงหันหน้าไปทางทหาร พร้อมตะโกนด่าด้วยถ้อยคำหยาบคาบ ท่ามกลางรถยนต์ที่วิ่งผ่านไปมาอย่างคับคั่ง
ต่อมาเริ่มมีผุ้ชุมนุมเดินเข้ามารวมกลุ่มมากขึ้น เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ปิดเส้นทางจราจรบริเวณถนนตรงแยกพลับพลามหาเจษฎาบดินทร์ จน พล.ต.อุดมเดช สีตะบุตร ผบ.พล.ร.9 ซึ่งควบคุมกำลังพลที่ปฏิบัติหน้าที่รักษาความสงบฯ บริเวณถนนผ่านฟ้า ได้เดินทางมาดูสถานการณ์ และสั่งการให้ทหารตั้งแถวซ้อนกันสามแถว
สลายม็อบควันหลง
ก่อนจะเริ่มขั้นตอนในการสลายการชุมนุม ตั้งแถวหน้ากระดานวิ่งเข้าใส่ผู้ชุมนุมที่วิ่งหนีร่นถอยไปทางอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ทั้งนี้มีผู้ชุมนุมที่อยู่แถวหน้าถูกกระบองตี พร้อมด้วยผู้ช่วยช่างภาพโมเดิร์นไนน์ทีวี ที่ถูกตีที่ศีรษะและหัวไหล่จนน่วม เพราะถูกเข้าใจผิดว่าเป็นกลุ่มผู้ชุมนุม แต่ทหารได้นำส่งโรงพยาบาลและยังนอนพักรักษาสังเกตอาการอยู่เนื่องจากปวดศีรษะอย่างมาก
สำหรับผลการปฏิบัติ เจ้าหน้าที่ทหารได้ยึดป้ายผ้าข้อความด่ารัฐบาลทรราช-ทหารฆ่าประชาชนไป และจับผู้ชุมนุม 2 -3 คนให้นั่งสงบสติอารมณ์ก่อนปล่อยไป ส่วนเจ้าหน้าที่ทหารเดินแถวกระดานไปถึงแยกคอกวัว ได้มีคำสั่งให้เดินแถวกลับเข้าสู่ที่ตั้งเมื่อผู้ชุมนุมกระจายตัว และบางส่วนถอยร่นที่ท้องสนามหลวง ท่ามกลางประชาชนโดยรอบที่มาเล่นน้ำสงกรานต์ ก่อนที่จะสลายตัวไปในช่วงค่ำ
พล.ต.ท.ธีระเดช รอดโพธิ์ทอง ผู้บัญชาการตำรวจสันติบาล (ผบช.ส.) กล่าวว่า การที่แกนนำ นปช.เข้ามอบตัว น่าจะทำให้สถานการณ์ดีขึ้นมาก แต่ต้องเฝ้าระวังค่ำคืนว่าจะมีอาฟเตอร์ช็อกหรือไม่ ซึ่งได้สั่งให้ตำรวจสันติบาลติดตามความเคลื่อนไหวในเขต กทม., ปริมณฑล และต่างจังหวัด ซึ่งหลังการยุติการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงใน กทม.
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังจากที่กลุ่มผู้ชุมนุมได้สลายตัวไปจากทำเนียบรัฐบาลแล้ว ไม่ปรากฏว่ามีใครพบตัวนายจตุพร พรหมพันธุ์ และนายจักรภพ เพ็ญแข สองแกนนำคนสำคัญของกลุ่มคนเสื้อแดงแต่อย่างใด
แต่นายจักรภพได้ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ “ไทยโพสต์” ว่า สิ่งที่บอกได้ตอนนี้คือผมจะไม่มอบตัว จะเดินหน้าถือธงต่อกับขบวนการเสื้อแดง ที่ไม่มอบตัว มันไม่เป็นประโยชน์ เราต้องเดินหน้าต่อ นี่เพิ่งเริ่มต้นการตั้งเวทีปราศรัยเป็นแค่ขั้นตอนพื้นฐานหนึ่ง แต่ยังมีรายละเอียดอีกเยอะที่จะทำได้
สำหรับรูปแบบขบวนการเสื้อแดงที่จะเดินหน้าต่อไปนั้น นายจักรภพกล่าวว่า ขณะนี้ยังปลอดภัยอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่งที่ไม่ขอเปิดเผย นับจากวันนี้คงยังไม่ได้เจอกัน จะเจอกันอีกทีในวันแถลงข่าวใหญ่ อาจเป็น 6 เดือนถึง 1 ปี หลังการจัดตั้งขบวนการเสื้อแดงแล้วเสร็จ เบื้องต้นเท่าที่สอบถาม พ.ต.ท.ทักษิณก็เห็นด้วยกับผม
ส่วนการประกาศสลายการชุมนุมและการตัดสินใจมอบตัวของแกนนำเสื้อแดงคนอื่นนั้น นายจักรภพกล่าวว่า เป็นการตัดสินใจเฉพาะตัว ทั้งนายวีระและนายณัฐวุฒิคงคิดเห็นว่าจะเป็นประโยชน์ เป็นการรักษาชีวิตผู้ชุมนุม ไม่อยากให้มีการสูญเสีย สำหรับนายจตุพรนั้นตั้งแต่แยกกันออกมาก็ยังไม่เจอกัน ไม่ทราบว่าไปอยู่ที่ใด และไม่ทราบว่าในวันข้างหน้าจะยังเดินหน้าร่วมกับผมและขบวนการเสื้อแดงต่อไปหรือไม่
นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า วันนี้ต้องขอยอมแพ้ไปก่อน แต่ถือได้ว่าการต่อสู้ได้พัฒนาขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง โดยเสื้อแดงที่มาร่วมชุมนุมด้วยจะนำเหตุการณ์ที่ประสบจริงไปถ่ายทอดให้ญาติ เพื่อน และคนในชุมชนได้รับทราบว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร เล่ากันปากต่อปากเหมือนไฟลามทุ่ง ในที่สุดนายอภิสิทธิ์จะบริหารประเทศชาติได้อย่างยากลำบาก ไม่สามารถลงพื้นที่ต่างจังหวัดได้ เพราะต้องเจอเหตุการณ์ยิ่งกว่าถูกเท้าตบอีก นอกจากนี้ตนได้เตรียมแผ่นซีดีบันทึกภาพเหตุการณ์ประชาชนนอนจมกองเลือดหลังจากถูกทหารสลายการชุมนุม โดยจะนำไปประกอบการอภิปรายในที่ประชุมสภา เพื่อชี้ให้เห็นว่าทหารไม่ได้กระสุนกระดาษยิง
ผู้สื่อข่าวถามว่า พรรคเพื่อไทยเตรียมแจกแผ่นซีดีภาพเหตุการณ์การสลายม็อบจนทำให้มีคนเสียชีวิตแจกประชาชนทั่วประเทศ นายสุรพงษ์ตอบว่าเป็นยุทธศาสตร์ของพรรค บอกไม่ได้ และรู้มาได้อย่างไรเพราะเป็นความลับ
เกมใต้ดินโผล่
วันเดียวกันนี้ เริ่มมีขบวนการใต้ดินออกมาตอบโต้รัฐบาลและทหาร มีการแจกใบปลิวภาพคนสวมเสื้อสีแดง ที่ทำให้เข้าใจว่าเป็นศพที่เกิดจากการยิงของทหาร รวมทั้งมีข้อความหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ แจกจ่ายไปทั่วหลายจุดในย่านฝั่งธนบุรี
พ.ต.อ.สุนทร โตรอด ผกก.สน.หลักสอง กล่าวว่า ได้รับรายงานว่ามีการแจกใบปลิวเกี่ยวกับผู้ชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดงที่มีเนื้อหาไม่เหมาะสมเมื่อช่วงบ่าย หน้าห้างโลตัสและเดอะมอลล์บางแค ซึ่งได้สั่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจไปตรวจสอบแล้ว แต่ยังไม่เห็นใบปลิวดังกล่าวว่าเป็นอย่างไร
ขณะที่ พล.ต.ต.สักกฉัฐ กิตติขจร ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 9 (ผบก.น.9) กล่าวว่า ยังไม่ได้รับรายงาน ขอตรวจสอบก่อน เช่นเดียวกับ พล.ต.ท.ธีระเดช รอดโพธิ์ทอง ผู้บัญชาการตำรวจสันติบาล (ผบช.ส.) ก็ยังไม่ได้รับรายงาน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าตลอดทั้งวันทางการออกแถลงข่าววนเวียนกันหลายรอบ นายอภิสิทธิ์แถลงในช่วงเย็นว่า ในแง่ของการเคลื่อนไหวหรือการชุมนุมในทางการเมือง ขอเรียนครับว่าหลังจากที่มีการยุติการชุมนุมที่บริเวณทำเนียบรัฐบาลแล้ว ก็ยังมีการชุมนุมอยู่ในบางจุด เปลี่ยนแปลงไปคือว่าผู้ชุมนุมนั้นจะไม่ได้สวมเสื้อสีแดง แต่ว่าจำนวนบุคคลก็ดี ซึ่งบางทีก็เริ่มต้นหลักสิบ และบางครั้งอาจจะไปถึงหลักร้อย หรือตัวบุคคลก็ดี ซึ่งบางส่วนก็คือผู้ที่เคยชุมนุมอยู่ในบริเวณทำเนียบรัฐบาล ก็ยังมีให้เห็นในช่วงบ่ายที่ผ่านมา ตรงนี้ขอเรียนน้องประชาชนครับว่า รัฐบาลเข้าใจ เข้าใจว่าเวลามีเหตุการณ์เช่นนี้ เวลามีการปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ และการคลี่คลายเหตุการณ์ต่างๆ ความรู้สึกอารมณ์ของผู้ที่เข้าชุมนุมนั้นย่อมจะมีตกค้างบ้างเป็นปกติธรรมดา
สิ่งที่รัฐบาลพยายามจะทำในช่วงบ่ายที่ผ่านมา และบัดนี้ได้บรรลุความสำเร็จไปแล้ว คือการพยายามเข้าใจความรู้สึกตรงนี้ แล้วก็หาวิธีการในการที่จะพูดคุย เพื่อที่จะให้การชุมนุมเหล่านั้นได้ยุติไป ซึ่งจะเป็นแนวทางที่เราใช้ในการดำเนินการต่อไป เพื่อที่จะผ่อนคลายความตึงเครียด อารมณ์ความรู้สึก ซึ่งแต่ละฝ่ายอาจจะยังคงมีอยู่
อย่างไรก็ตามครับ ผมมีความจำเป็นที่จะต้องเรียนเตือนและชี้แจงว่า การชุมนุมซึ่งยังเกิดขึ้นต่อเนื่องในช่วงบ่ายที่ผ่านมา ซึ่งแม้ว่าจะจบลงแล้ว ได้มีความพยายามที่จะหยิบยกเงื่อนไขบางประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือ มีการกล่าวหาในเรื่องของการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐไปกระทำการรุนแรง หรือแม้กระทั่งกล่าวหาว่าฆ่าประชาชน เพื่อเป็นเงื่อนไขในการที่จะให้พี่น้องประชาชนมาชุมนุม ผมขอกราบเรียนยืนยันอีกครั้งหนึ่งว่า ปฏิบัติการที่ผ่านมานั้นไม่มีปฏิบัติการในส่วนไหนของเจ้าหน้าที่ของรัฐที่นำไปสู่การสูญเสียชีวิตของพี่น้องประชาชน ผู้เสียชีวิต 2 รายที่ผมได้เล่าให้พี่น้องฟังก็คือ เป็นเรื่องของการปะทะกันระหว่างกลุ่มผู้ชุมนุมกับประชาชนในชุมชน ซึ่งในที่สุดก็ถูกผู้ชุมนุมทำร้ายและเสียชีวิตไป 2 ท่าน ดังนั้น ขอให้มั่นใจว่าเพราะปฏิบัติการทั้งหลายได้ดำเนินการอย่างโปร่งใส ไม่ได้ทำในลักษณะที่สามารถไปหลบซ่อนได้ สื่อสารมวลชนก็อยู่ในเหตุการณ์
“มาร์ค”วอนแจ้งเบาะแส
ผมอยากจะเรียนพี่น้องประชาชนครับว่า รัฐบาลก็จำเป็นต้องขอความร่วมมือจากพี่น้องประชาชน เนื่องจากว่าก็มีบุคคลซึ่งขณะนี้มีการออกหมายจับที่หลบหนีไป ใครที่ทราบเบาะแส ขอความกรุณาให้ได้แจ้งทางเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องมาด้วย เพื่อประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมาย
นอกจากนี้ ยังมีการแถลงการจับกุมผู้ต้องการเตรียมการเผาธนาคารกรุงเทพ และบริษัทซีพี สำนักงานใหญ่ย่านสีลม โดย พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. แถลงข่าวผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ว่า จับกุมผู้ต้องหา 3 คน ซึ่งผู้ต้องรับสารภาพ 1 คน และไม่รับสารภาพ 2 คน แต่ตำรวจมีหลักฐานยืนยันทั้งหมดว่าจะทำการก่อวินาศกรรม และขอให้ประชาชนเข้าใจว่าเป็นความจริง ไม่ได้สร้างสถานการณ์ขึ้นมา
ด้าน พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ รอง ผบ.ตร.และโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แถลงว่า เจ้าหน้าที่ บก.ตปพ.และ บก.น.8 ได้รับแจ้งจากสายลับว่าได้มีการจ้างวานผู้ต้องหาให้ปาระเบิดที่อาคารซีพี และ ธ.กรุงเทพ สำนักงานใหญ่ สีลม จึงส่งหน่วยสายสืบเข้าทำการจับกุม ซึ่งผู้ต้องหานัดกัน เวลา 20.40 น.ที่สถานีรถไฟฟ้า BTS สถานีช่องนนทรีย์ เมื่อเจ้าหน้าที่ไปถึงพบผู้ต้องหา 3 คน อยู่ในรถยนต์โตโยต้า วีโก้ สีเทา ทะเบียน บท 2541 บุรีรัมย์ มีนายพรชัย (หรืออ๊อด) อักษรวิทย์ อายุ 52 ปี บ้านเลขที่ 335 ซ.มิตรอนันต์ ถ.นครไชยศรี เขตดุสิต กทม., พ.จ.อ.สุริยา (หรืออุ้ย) โพธิ์เงิน อายุ 54 ปี บ้านเลขที่ 60 ม.22 ต.นิคม อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ และนายสกันต์ (หรือหยวก) แสงเฟื่อง อายุ 55 ปี บ้านเลขที่ 8 ม.1 แขวงฉิมพลี เขตตลิ่งชัน กทม.
การจับกุมผู้ต้องหาพบของกลางเป็นระเบิดเพลิงชนิดน้ำมันก๊าซบรรจุขวดน้ำหวานเฮลซ์บลูบอย ขนาด 500 ซีซี จำนวน 6 ขวด ระเบิดเพลิงบรรจุเครื่องดื่มชูกำลังจำนวน 43 ขวด ถังน้ำมันสีฟ้า ขนาด 20 ลิตร จำนวน 1 ถัง ปืนพกสั้นลูกโม่ ยี่ห้อโคลท์ จำนวน 1 กระบอก ปืนพกสั้น ยี่ห้อลูเกอร์ จำนวน 1 กระบอก ปืนพกสั้น ยี่ห้อวอเทอร์ จำนวน 1 กระบอก เครื่องกระสุนปืน จำนวน 77 นัด มีดพกสั้น เครื่องมือช่าง และอุปกรณ์มือถือ จำนวน 6 เครื่อง รวมทั้งได้ตรวจยึดธนบัตรมูลค่าพันบาทที่จ่ายให้ผู้ต้องหาทั้ง 3 คน โดยยึดไว้คนละ 2,000 บาท และจะมีการจ่ายให้กันอีกคนละ 3,000 บาท หลังเสร็จงาน พร้อมแจ้งข้อหามีอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืนไม่ได้รับอนุญาต และพกพาอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืนไปในเมืองโดยไม่มีเหตุอันสมควร จึงควบคุมตัวผู้ต้องหาและของกลางส่งให้พนักงานสอบสวน สน.ทุ่งมหาเมฆ ดำเนินการขยายผล
จากนั้นเวลา 21.25 น. พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก แถลงว่า มีความพยายามบิดเบือนว่ามีทหารมีการยิงประชาชนและมีการเผยแพร่ภาพ 2 ภาพ ทั้งที่ทหารใช้กระสุนซ้อมรบเพื่อที่จะข่มขวัญผู้ชุมนุมเท่านั้น ดังนั้นประชาชนอย่าหลงเชื่อและอย่าได้ออกมาชุมนุมตามคำเชิญชวน โดยภาพที่ 2 คือ นายไสว ทองอ้น ซึ่งถูกกล่าวอ้างว่าเสียชีวิตจากการชุมนุมนั้น จะให้สองนายแพทย์ยืนยันเรื่องดังกล่าว
นพ.ธีระชัย อุกฤษฎ์ทโนรถ ศัลยแพทย์โรงพยาบาลราชวิถี กล่าวว่า ผู้ป่วยมีลักษณะบาดแผลเป็นรู มีเลือดมาก วัดสัญญาณชีพไม่ได้ ผู้ป่วยได้รับการช่วยชีวิตและปั๊มหัวใจ พบเส้นเลือดฉีกขาดบนบาดแผลเป็นรู ตัดขาดเส้นเลือดแดงฉีกขาดที่แขนข้างซ้ายและได้ผ่าตัดต่อผู้ป่วยจนสัญญาณชีพคืนมา ขณะนี้ผู้ป่วยได้พักรักษาตัวที่ห้องไอซียู
พ.อ.นพ.ดุษฎี ทัตตานนท์ ผอ.กองออร์โธปิดิกส์ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ชี้แจงว่า บาดแผลที่เกิดจากอาวุธสงคราม อย่างกระสุนเอ็ม 16 มีความเร็วสูงมาก มีพลังงานในหัวกระสุนมากและชอนไชเข้าไปข้างใน หากไปกระทบกับกระดูกจะทำให้แตก และกระสุนจะระเบิดอีกครั้งทำให้เกิดแผลใหญ่มาก แต่จากบาดแผลของนายไสวที่เป็นรูเข้ากับรูออกนั้นเป็นบาดแผลเล็กไม่ได้ใหญ่ จึงไม่ได้เกิดจากอาวุธของทหารราบคือเอ็ม 16
“นอกจากนี้ผู้ชุมนุมที่ได้รับบาดเจ็บอีก 2 คนที่ถูกยิง พบว่าถูกยิงด้วยอาวุธปืนลูกซองและ .9 มม. ซึ่งเป็นกระสุนที่ไม่ได้ใช้ในหน่วยทหาร ขณะที่เจ้าหน้าที่ทหาร 4 นายที่ได้รับบาดเจ็บถูกยิงด้วยอาวุธปืน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าผู้ชุมนุมมีอาวุธปืน” พ.อ.สรรเสริญระบุ.
http://www.thaipost.net/news/150409/3235
เมษายน 14, 2009 ที่ 11:11 pm
pantip
ตั้งข้อหา”ทักษิณ”กบฏ แค่นี้..คงไม่พอ
บทบรรณาธิการ15 เมษายน 2552 – 00:00
สถานการณ์ความเลวร้ายถึงขั้นเป็นสงครามกลางเมือง เมื่อวันสงกรานต์ 13 เมษายน 2552 สามารถคลี่คลายลงอย่างละมุนละม่อมในที่สุด เมื่อบ่ายวันที่ 14 เมษายนที่ผ่านมา นับว่าทำให้คนไทยทั้งชาติที่เฝ้าติดตามข้อมูลข่าวสารผ่านสื่อต่างๆ ด้วยความกังวลใจ และไม่สบายใจ ต่างถอนหายใจรู้สึกโล่งอกไม่น้อยไปกว่ารัฐบาล โดยการนำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แม้ยังมีกระแสข่าวที่ระบุในทำนองว่า สงครามครั้งนี้ยังไม่จบ และให้ระมัดระวัง “อาฟเตอร์ช็อก” ที่กำลังก่อตัวเตรียมเอาคืนก็ตาม
หลังการสลายกลุ่มเสื้อแดง ภายใต้การนำของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ซึ่งมี “ทักษิณ ชินวัตร” เป็นผู้บงการใหญ่ หลายฝ่ายเริ่มออกมาแสดงความคิดเห็นถึงแนวทางการป้องกันมิให้เกิดประวัติศาสตร์ซ้ำรอย พร้อมกับข้อเสนอแนะที่มองข้ามความสำคัญไม่ได้ นั่นคือ การดำเนินคดีตามกฎหมายกับบรรดาต้นเหตุ และผู้เกี่ยวข้องจุดไฟสงครามระหว่างประชาชนบนท้องถนนกลางกรุงเทพมหานคร เพราะความสูญเสียที่เกิดขึ้นทั้งชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ตลอดจนส่วนราชการนั้น เห็นอย่างชัดแจ้งว่า เป็นความจงใจ ต้องการปลุกเร้าความรุนแรง หวังผลทำให้บ้านเมืองลุกเป็นไฟ
รายชื่อที่เจ้าพนักงานประกาศจับจำนวน 13 คน ตั้งแต่นักโทษหนีคุก 2 ปี ในคดีทุจริต แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. ไปจนถึงอดีตสมาชิกพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน รวมทั้งพรรคเพื่อไทย กล่าวได้ว่าเป็นกระบวนการสมเหตุสมผลตามประมวลกฎหมายอาญาหมวด 2 ความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายในราชอาณาจักร ระบุ มาตรา 113-114 ผู้ใดใช้กำลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย (1) ล้มล้างหรือเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญ (2) ล้มล้างอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร หรืออำนาจตุลาการแห่งรัฐธรรมนูญ หรือ (3) แบ่งแยกราชอาณาจักรหรือยึดอำนาจการปกครองในส่วนใดส่วนหนึ่งแห่งราชอาณาจักร ผู้นั้นกระทำความฐานเป็นกบฏ ผู้ใดสะสมกำลังพลหรืออาวุธ ตระเตรียมการ หรือสมคบกันเพื่อเป็นกบฏ หรือกระทำความผิดใดๆ อันเป็นส่วนของแผนการเพื่อเป็นกบฏ หรือยุยงราษฎรให้เป็นกบฏ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3-15 ปี
แต่ข้อหาฐานความผิดเป็นภัยต่อความมั่นคง เป็นกบฏของแผ่นดิน ตามประมวลกฎหมายอาญาดังกล่าว น่าจะยังไม่ครอบคลุมกับพฤติกรรมที่ทักษิณ ชินวัตร และพวกสมคบกันก่อการณ์ขึ้นตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคมที่ผ่านมา จนถึงเทศกาลสงกรานต์ หากพิจารณาจากสถานการณ์และข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น รวมทั้งมูลค่าความเสียหายต่อประเทศชาติประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปลุกเร้า ยุยงให้เกิดความรุนแรง จนกระทั่งคนเสื้อแดงฆ่าประชาชนผู้บริสุทธิ์ไปถึง 2 คน ไม่ว่าด้วยเจตนา ลุแก่โทสะ หรือเป็นอุบัติเหตุก็ตาม ผู้บงการใหญ่ก็ต้องรับผิดชอบ
นอกจากนั้น หากรวมไปถึงเหตุการณ์ “เจตนาสังหารหมู่” ชาวแฟลตดินแดงโดยไตร่ตรองไว้ล่วงหน้า ด้วยการนำรถแก๊สจอดทิ้งขวางถนนใกล้ชุมชน และยังเปิดวาล์วปล่อยแก๊สออกมา ท่ามกลางคำวอนขอของชาวบ้าน ต้องนับว่าข้อหา “อาชญากร” หรือ “ผู้ก่อการร้าย” ก็มีฐานความผิดต่างกรรม ต่างวาระที่ประมวลกฎหมายอาญาในมาตราอื่นๆ สามารถดำเนินการตามกระบวนการกับผู้บงการใหญ่ “ทักษิณ ชินวัตร” อย่างไม่ต้องสงสัย
ในฐานะของผู้นำก่อการชั่วร้าย ทำลายบ้านเกิดเมืองนอนของตนเอง โดยไม่อิหนังขังขอบต่อชีวิตทรัพย์สินของประชาชนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่แล้ว “ทักษิณ ชินวัตร” ไม่อาจปัดความรับผิดชอบใดๆ ต่อความสูญเสีย และชีวิตของผู้บริสุทธิ์ ตลอดถึงผู้บาดเจ็บอีกนับร้อยราย ทั้งเสื้อแดงและเสื้อสีอื่นๆ ทั้งหลาย เพราะคำพูดทั้งโฟนอิน วิดีโอลิงค์เป็นหลักฐาน พยานได้อย่างดีว่า คนอ้างประชาธิปไตยหน้าเหลี่ยมปลุกปั่น ยุยงให้คนสวมเสื้อแดงลุกขึ้นต่อสู้อำนาจรัฐทุกวิถีทาง ฉะนั้น ข้อหา “กบฏ” ต้องห้อยด้วย “ฆาตกร” จึงจะถูกต้องยุติธรรม.
เมษายน 15, 2009 ที่ 1:21 am
worroom
เมษายน 15, 2009 ที่ 2:16 am
pantip
‘ซวยแน่-แพ้ชัวร์’ ใคร?
เหตุการณ์ร้ายแรงเพราะแบ่งฝ่ายครั้งล่าสุดที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ชัดเจนว่าฝ่ายหนึ่งนั้นเบอร์ 1 คือ “ทักษิณ ชินวัตร” แม้จะมิได้มาออกหน้าอยู่ในไทย แม้จะมีบุคคลอื่น ๆ รับหน้าเสื่อเดินเกมให้ ขณะที่อีกฝ่ายหนึ่ง “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ในฐานะนายกรัฐมนตรี ก็จำเป็น หรืออาจจำใจ แอ่นอกเป็นเบอร์ 1 แก้เกม…
นี่เปรียบเสมือน “เกมวัดดวง” ระหว่าง 2 บุคคล…
ระหว่าง “แม้ว vs มาร์ค” อดีตนายกฯ กับนายกฯ !!
ทั้งนี้ หากจะว่ากันตามหลักโหราศาสตร์ เหตุการณ์ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในเมืองไทยล่าสุด ที่ถึงขั้น “จลาจล” และบานปลายใหญ่โต ก็คงต้อง บอกว่ามีเรื่อง “ดวงเมือง” เข้ามาเกี่ยว
คงจะเป็นเพราะดวงเมือง…อย่างที่ เก่งกาจ จงใจพระ ประธานสถาบันโหราศาสตร์เก่งกาจพยากรณ์ ทายทักไว้ว่า… ดวงเมืองไทยปี 2552 นี้ ตั้งแต่วันที่ 14 ก.พ. ดาวเนปจูนย้ายเข้าราศีกุมภ์ ร่วมกับอาทิตย์และมฤตยู ดาวเสาร์พักร เล็งอาทิตย์ ดาวหลายดวงโคจรวิปริต ถึงวันที่ 2 มี.ค. ดาวมฤตยูเข้าราศีมีน จะมีปัญหาสารพัดทั้งในประเทศและต่างประเทศกระหน่ำเข้าใส่ ดาวเนปจูนสีแดงจะนำความวินาศให้รัฐบาล
ช่วงที่อาจมีเหตุการณ์รุนแรง คือตั้งแต่ช่วงเดือน ก.พ., มี.ค. และ เม.ย. สิ่งที่ต้องระวังในปี 2552 นี้คือ จะมีการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของประเทศ ชาติ !! จึงไม่ควรประมาท
คงจะเป็นเพราะดวงเมือง…อย่างที่ ภิญโญ พงศ์เจริญ นายกสมาคมโหราศาสตร์นานาชาติ พยากรณ์ไว้ว่า… ด้วยอิทธิพลของดาวมฤตยู เป็นดาวที่ลึกลับ จะบันดาลให้เกิดเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้โดยไม่คาดฝัน ดาวมฤตยูโคจรมาในราศีมีน ตั้งแต่วันที่ 2 มี.ค.-31 ธ.ค. 2552 จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ผันแปรโดยฉับพลัน
ปีนี้มีการเกิดสุริยุปราคา 2 ครั้ง โดยครั้งที่ 1 เกิดเมื่อ 26 ม.ค. เกิดจันทรุปราคา 4 ครั้ง ซึ่งจันทรุปราคาเกี่ยวโยงกับเรื่องของประชาชนคนหมู่มาก ส่วนสุริยุปราคาเกี่ยวโยงกับบุคคลสำคัญและการเมืองของประเทศ ใน บางกรณีก็ทำให้เกิดความผันแปรครั้งสำคัญทางการเมือง !!
หรือคงจะเป็นเพราะดวงเมืองช่วงสงกรานต์…อย่างที่ อ.เก่งกาจชี้ ไว้ว่า… การเมืองจะวุ่นวาย สร้างความปั่นป่วนกับเศรษฐกิจและชีวิตของคนจน จะเกิดความวุ่นวาย ทหารจะออกมากำกับการบ้านเมือง นักวิชาการจะมีบทบาทในการแก้ไขสถานการณ์ และตั้งแต่ 20 เม.ย. รัฐบาลจะยิ่งถูกกดดันหนักหลายด้าน
หรือคงจะเป็นเพราะดวงเมืองช่วงสงกรานต์…อย่างที่ อ.ภิญโญก็ชี้ไว้เช่นกันว่า… รัฐบาลจะวุ่นวายสั่นคลอน ทหารจะออกมาใช้อำนาจ นักวิชาการ จะมีบทบาทต่อสังคมและการเมือง คนในชาติยังคงขัดแย้งแตกแยก และช่วง 20 เม.ย.-15 ส.ค. จะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองโดยฉับพลันในส่วนของ รัฐบาล
อิงตามศาสตร์โหร…ที่เกิดจลาจลเพราะดวงเมืองไม่ดี…
ส่วน “แม้ว vs มาร์ค” เทียบดวงกันแล้ว…เป็นเช่นไร ??
ว่ากันถึง “ดวงอดีตนายกฯ ทักษิณ” นั้น อ.เก่งกาจทำนายไว้ล่าสุดเมื่อเร็ว ๆ นี้ สรุปได้ว่า… ปี 2552 นี้ก็ยังดวงไม่ดี จะเสียทรัพย์สินเงินทอง เกิดเหตุร้าย เลือดตกยางออก ยิ่งถึงช่วงปลายปีตั้งแต่เดือน ต.ค.-ธ.ค. 2552 จะมีเรื่องกระทบใจอย่างรุนแรง จะเข้าไปอยู่ในสถานที่ที่มีบรรยากาศน่าหวั่นไหวน่ากลัว พบเหตุตกใจ
“และดาวอาคารจรถึงลัคน์ นี่ถือเป็นตัวฆาต ให้โทษร้ายแรงต่อชีวิต จะรับข่าวร้ายอันรุนแรง หรือเหตุร้ายเกิดแก่บริวาร มีเรื่องทะเลาะวิวาท รวมทั้งมีเรื่องร้ายแรงอื่น ๆ สารพัด” …อ.เก่งกาจระบุ
ขณะที่ ภาณุวัฒน์ พันธุ์วิชาติกุล ประธานสถาบันศาสตร์แห่งชีวิตแห่งประเทศไทย ก็ระบุถึงดวงอดีตนายกฯ ทักษิณไว้ว่า… ปัจจุบันอายุ 60 ย่างขึ้น 61 ปี รอบอายุจะยังเข้าเคราะห์ต่อเนื่องไปอีก 2 ปี ประกอบกับจุดเดินอายุอยู่ที่ริมฝีปากล่าง ซึ่งบอบบาง ไม่มั่นคง ก็ถือว่าดวงชะตายังไม่ดี “จะเดือดร้อน เสื่อมเสียชื่อเสียง เสียเงินเสียทอง และร้ายแรงสุดคืออาจถึงขั้นมีอันเป็นไป”
สำหรับ “ดวงนายกฯ อภิสิทธิ์” ทาง อ.ภาณุวัฒน์ก็ทายทักไว้ว่า… เมื่อเข้าสู่ปีนักษัตรฉลู ปี 2552 แล้ว ดวงของนายกฯ อภิสิทธิ์ที่เคยดีมากก็ จะเริ่มพลิกผันเปลี่ยนแปลง ประกอบกับคณะรัฐมนตรีในรัฐบาลนี้ ก็จะมีคน ที่ดวงไม่ดีเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ การบริหารงานรัฐบาลจะเริ่มปั่นป่วนวุ่นวายมากขึ้นเรื่อย ๆ
“เมื่อย่างเข้าสู่เดือน เม.ย. 2552 รอบอายุจะเริ่มเข้าเคราะห์ คือย่างเข้า 46 ปี ตามอายุจีน และเป็นปีที่ไม่เกื้อหนุน ต่อให้ไม่สาหัส แต่ก็เหนื่อยแน่” …อ.ภาณุวัฒน์ระบุ และยังได้ชี้ไว้อีกว่า… ถ้ารัฐบาลนี้ยังอยู่บริหารประเทศต่อไปได้จนเข้าสู่ช่วงเดือน ก.ค. 2552 ช่วงนั้นผู้นำรัฐบาลก็จะมีเรื่องราวชนิดที่กลืนไม่เข้า คายไม่ออก บอกไม่ถูก ต้องหวานอมขมกลืน อีกทั้งยังต้อง ระวังการเจ็บไข้ได้ป่วยหรืออุบัติภัยด้วย
“นายกฯ เองก็ดวงไม่ดี ฮวงจุ้ยทำเนียบรัฐบาลก็หมดดวง เมื่อประกอบกับคณะรัฐมนตรีเหลือคนดวงดีน้อยลงเรื่อย ๆ ถ้าไม่มีการปรับเอาคน ดวงดีมาเสริม ก็จะยิ่งเริ่มวุ่นวายหนักขึ้นเรื่อย ๆ อาจถึงขั้นคุมเกมไม่อยู่ อาจถึง ขั้นล้มกระดาน รัฐบาลอาจพังได้ง่าย ๆ”…อ.ภาณุวัฒน์ชี้ไว้
ทั้งนี้ เทียบดวงกันแล้ว “ดวงแม้ว-อดีตนายกฯ ทักษิณ” กับ “ดวง มาร์ค-นายกฯ อภิสิทธิ์” ก็ดูจะไม่มีใครดีกว่ากันมากมาย เพราะต่างก็ “มีเคราะห์ ทั้งคู่” ต่างก็มีเกณฑ์ว่าจะย่ำแย่ในมุม-ในบทบาทของตน
เปรียบไปก็อาจจะคล้าย “ตาอิน vs ตานา” แย่งปลากัน
สุดท้ายก็อาจมี “ตาอยู่” สอดแทรกมาคว้าพุงปลาไปกิน
แต่ที่ “ซวยแน่ ๆ” ก็ “คนไทยโดยรวม” เหมือนเดิม !!!.
http://www.norsorpor.com/ข่าว/n1426455/วัดดวง%20%20แม้ว%20VS%20มาร์ค%20%20%20เกมจลาจล%20%20%20ซวยแน่-แพ้ชัวร์%20%20ใคร
เมษายน 15, 2009 ที่ 2:18 am
pantip
“แม้ว” พบจุดจบในเวทีโลก ถูกสื่อชั้นนำอาหรับกระชากหน้ากาก
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 15 เมษายน 2552 05:14 น.
ภาพประกอบบทสัมภาษณ์ทักษิณ บนเว็บไซต์ของอัลจาซีรา
อัลจาซีราห์ – สื่อมวลชนชื่อดังของโลกอาหรับ กระชากหน้ากาก “ทักษิณ” ระบุเคยให้สัญญากลับเมืองไทยทันทีหากรัฐบาลปราบปรามผู้ชุมนุม แต่สุดท้ายก็ไร้เงา จับโกหกบอกผู้สนับสนุนประท้วงอย่างสันติ แต่ดันยึดรถก่อนจุดไฟเผา และก่อความรุนแรง
เว็บไซต์ของ อัลจาซีราห์ ระบุว่า ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้สัญญาว่าจะกลับประเทศทันทีหากรัฐบาลเคลื่อนไหวปราบปรามผู้ชุมนุม ต่อไปนี้คือคำสัมภาษณ์ของเขาต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น โดยเขาหวังว่าวิกฤตการเมืองของประเทศจะแก้ด้วยสันติวิธี
อัลจาซีราห์ : คุณบอกว่าถ้ามีการใช้กำลังกับผู้สนับสนุนของคุณ คุณจะเดินทางกลับประเทศไทย เมื่อไหร่คุณจะกลับไปที่นั่น
ทักษิณ : ใช่ ผมกำลังคิดถึงเรื่องนั้น และผมได้พูดกับผู้สนับสนุนของผม ตอนนี้พวกเขากังวลต่อความปลอดภัยของผม ผมกำลังขบคิดเรื่องนี้ แต่ยังไม่ได้วางแผนอะไร ผมต้องแน่ใจว่าเมื่อผมกลับไปจะไม่ต่อเติมความรุนแรง ผมควรจะกลับไปเพื่อฟื้นฟูสันติ
อัลจาซีราห์ : คุณเร่งเร้าให้แก้ปัญหาแบบสันติวิธีในสิ่งที่ประเทศไทยกำลังเผชิญหน้าอยู่ กระนั้นมันไม่ใช่ผู้สนับสนุนของคุณหรือที่ออกไปบนถนน ยึดและจุดไฟเผารถ ดันมันใส่เจ้าหน้าที่ความมั่นคง จุดไฟเผายาง คุณบอกว่าต้องการล้มรัฐบาล และบางทีการทำแบบนี้มันเป็นการยุยงพวกเขา
ทักษิณ : ตัวนายกรัฐมนตรีเองเคยพูดต่อรัฐสภาเมื่อตอนที่เขาเป็นฝ่ายค้าน เขาบอกว่าถ้ามีการประท้วง แม้มีเพียงคนเดียวหรือมีผู้เข้าร่วมแสนคนเขาก็จะรับฟัง และเราก็หวังเช่นนั้นเหมือนกัน เราหวังว่าเขาจะจำในสิ่งที่พูดต่อรัฐสภาได้
อัลจาซีราห์ : คุณพยายามยุยง แม้แต่ทหาร และขออ้างคำพูดคุณอีกครั้ง คุณพูดว่า “ทหารจงออกมาและร่วมกับพวกเสื้อแดงเพื่อช่วยให้เราได้ประชาธิปไตยเพื่อปวงชน” จริงๆ แล้วคุณต้องการยั่วยุทหารให้ทำรัฐประหารรัฐบาลใช่หรือไม่
ทักษิณ : ไม่ ไม่ ผมไม่เคยขอให้ทหารทำรัฐประหาร ผมบอกว่าถ้าพวกเขาทำรัฐประหาร ประชาชนจะออกมาต่อสู้ มันไม่ควรมีรัฐประหารอีก
ทักษิณ นำภาพผู้ประท้วงอ้างกับอัลจาซีรา
อัลจาซีราห์ : คุณให้อภัยกับสิ่งที่เราได้เห็นจากการกระทำของผู้สนับสนุนคุณหรือ ทั้งบริเวณกระทรวงศึกษาธิการ หรือแม้แต่รถยนต์ของนายกรัฐมนตรี
ทักษิณ : สื่อมวลชนท้องถิ่นไม่ได้รายงานเรื่องราวที่แท้จริง และโฆษกทหารโกหกประชาชน ทหารออกมาพร้อมปืนเอ็ม16 พวกเขายิงที่กลางหัวใจของประชาชน มีผู้เสียชีวิตจำนวนมากและเอาศพไปซ่อน
อัลจาซีราห์ : นี่มันเป็นแค่ข้อกล่าวหาของคุณ…ที่สร้างเรื่องโดยผู้สนับสนุนคุณซึ่งมันยังไม่สามารถยืนยันได้ในตอนนี้
ทักษิณ : ผมอยากเชิญหน่วยงานอิสระนานาชาติเข้าไปยังประเทศไทยและตรวจสอบเรื่องนี้ทั้งหมด อย่าไปเชื่อแหล่งข่าวรัฐบาล แล้วคุณจะได้เห็นมัน
อัลจาซีราห์ : ตอนนี้ทิศทางข้างหน้าจะเป็นอย่างไร
ทักษิณ : ผมอยากเห็นการแก้ไขปัญหาโดยสันติวิธี หากปราศจากความจริงก็ไม่มีสันติภาพ เราต้องการความจริง เราต้องการความยุติธรรม
อัลจาซีราห์ : คุณจะคุยกับนายกรัฐมนตรีหรือไม่
ทักษิณ : ไม่ ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับผม ไม่ต้องพูดถึงผม ผมแค่ต้องการเห็นสถานการณ์ยุติลงด้วยวิถีทางประชาธิปไตย ผมต้องการเห็นประชาธิปไตยที่แท้จริงในประเทศไทย
อัลจาซีราห์ : แล้วต่อไปคุณจะทำอะไร
ทักษิณ : ผมกำลังจับตาดูสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพราะผมกังวลต่อความปลอดภัยของผู้ชุมนุม พวกเขาออกมาเพื่อร้องขอประชาธิปไตยที่แท้จริง พวกเขาไม่เคยร้องขอเลือด แต่ตอนนี้พวกเขากลับได้เลือดติดมือ
http://www.norsorpor.com/ข่าว/n1426680/แม้ว%20%20พบจุดจบในเวทีโลกถูกสื่อชั้นนำอาหรับกระชากหน้ากาก
เมษายน 15, 2009 ที่ 2:24 am
pantip
http://hi5.com/friend/group/3668185–TGO%2521%2521%2B-%2BThaksin%2BGet%2BOut%2521%2521%2Bon%2BH–front-html
เมษายน 15, 2009 ที่ 10:34 am
pantip
ประมวล : “โจรแดง”คลั่ง! ก่อจลาจลทำลายล้างทั่วกรุง
http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9520000042016
เมษายน 15, 2009 ที่ 12:46 pm
pantip
“พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี ” เผย คาดการณ์ไว้แล้ว ผลต้องออกมาเป็นแบบนี้ ชี้ เสื้อแดง ไร้ทิศทาง
พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี อดีตรองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน ( กอ.รมน. ) เปิดเผยว่า ตนปฏิเสธที่จะร่วมเคลื่อนไหวกับ กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แต่ยอมรับว่าเคยพูดคุยกับ คนใน นปช. และได้สอบถามถึง แนวทางการต่อสู้ จากการพูดคุย ทำให้รู้ว่าการเคลื่อนไหว
ไม่มีแผน เพราะเป็นการต่อสู้ไปวัน ๆ เพื่อให้สถานการณ์พาไป ถือเป็นการเคลื่อนไหวที่ ไม่มีทิศทาง ภายใต้การควบคุมของ แกนนำ 3 คน คือ นายวีระ มุสิกพงศ์ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ และนายจตุพร พรหมพันธุ์ ตนจึงไม่เข้าร่วมด้วย เพราะเห็นถึงความไม่ถูกต้อง และคาดการณ์ไว้ก่อนแล้ว ถึงผลที่จะตามมา
พล.อ.พัลลภ กล่าวถึง การก่อเหตุรุนแรงของ นปช. ว่า ไม่ควรเกิดขึ้น เพราะการเคลื่อนไหวต้องพยายามดึงมวลชนมาเป็นพวก แต่กลับไปสร้างปัญหา จนเกิดการต่อต้าน ซึ่งแตกต่างจากการประท้วงในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ปี 2535 ที่ ประชาชน ในกรุงเทพฯ ได้ร่วมมือกันต่อต้านกองทัพ
http://www.innnews.co.th/politic.php?nid=167074
มิถุนายน 1, 2009 ที่ 10:07 am
yuu
ทักษิน
ใครจะทำอะไรข้าได้
-ทหารก็อยู่ในมือญาติข้า
-ตำรวจก็อยู่ในมือพวกข้า
-สภาก็อยู่ในมือพรรคข้า
-สว.ที่ว่าเป็นกลางก็สั่งได้เกินร้อย
-ปปช ข้าก็เตรียมคนไว้แล้ว
-จารุวรรณ จะออกมาแฉเรื่องการใช้งบหลวงอีลุ่ยฉุยแฉกเหรอเป็นไงยังหาห้องทำงานยังไม่เจอเลยเงินเดือนข้าก็ไม่จ่าย
-คดีทุจริตซีทีเอ็กซ์ ข้าไม่สั่งมีใครทำอะไรได้ไหม
-คดีทุจริตกล้ายาง เป็นไงข้าไม่สั่งมีใครทำอะไรได้ไหม
-คดีทุจริตลำใย รายงานมาข้าไม่สั่งมีใครทำอะไรได้ไหม
-คดีทุจริตคลองด่าน ถ้ามาร่วมรัฐบาลแล้วปลอดภัย
-คดีทุจริตเรียกรับเงินของคุณเยาวเรศ ข้าไม่พูดเลย ข้าไม่สั่งมีอะไรไหม
-ปปง ก็คนของข้าสั่งได้
-ตลาดหุ้นก็อยู่ในมือข้าจะบีบก็ตายจะคายก็รอด
-กฟผกำลังจะตามปตท กำไรล้นฟ้า ประชารับกรรม
-ข้าและลูกหลานญาติข้าเป็นเจ้าของ มหาวิทยาลัย โรงพยาบาล โฆษณา ทีวี ประกันภัย สนามกอล์ฟ ลิสซิ่ง เรียลเอสเตส การบิน โทรศัพท์ อินเตอร์เนต( ต่อไปเอ็งจะหายใจต้องไปเติมเงินนะถึงจะมีสิทธิ์หายใจต่ออายุได้)
-ข้าใช้เงินหลวงโปรยยาหอมหาเสียงได้ทุกหย่อมหญ้า
-จังหวัดไม่เลือกสส พรรคข้า ก็ไม่เจริญตลอดชาติต่อคิวท้ายๆ
-ใครพูดด่าข้าก็ปิดรายการมัน ก็ให้ลิ่วล้อไปตรวจบัญชีว่าเสียภาษีครบไหม ส่งคนติดตาม
-ตัวเล็กๆแค่ชิปปิ้งกล้าออกมาแฉว่าข้าเลี่ยงภาษีก็ไปเป็นสุขเป็นสุขแล้ว
-โจรกระจอกภาคใต้ ข้ารู้คนบงการหมดแล้ว
-ปุระชัย จะมาแข็งข้อทำตรงไปตรงมา เป็นอย่างไร
-ไอทีวี ทีได้ประโยชน์เรื่องภาษี ข้าเงียบใครจะทำไม
-คดีทนายสมชาย ก็อยู่ห้องแช่แข็งใครจะทำไม
-ข้าจะใช้เงินหลวงซื้อเครื่องบินประจำตำแหน่งใครจะทำไม
-ข้าไปต่างประเทศ เอาลูกไปด้วยใช้เงินหลวงใครจะทำไม
-ข้าไปเป็นประธานทำพิธีในวัดพระแก้วเลย มีอะไรไหม
-ข้าเมตตาหลวงตามหาบัว มีอะไรไหม
-ข้าไม่แก้ไขเรื่องสมเด็จพระสังฆราชมีอะไรไหม
-ข้าเอาธรณีสงฆ์มาทำสนามกอล์ฟ มีอะไรไหม
-เรื่องข้อสอบรั่ว คนที่เอาข้อสอบมาดู ก็ได้ดีไปแล้วมีอะไรไหม
-ข้าไม่ให้กทม.ทำรถไฟฟ้าฝั่งธนบุรี มีอะไรไหม
-ข้าจะสร้างนครสุวรรณภูมิ กินมะพร้าวทั้งลูก มีอะไรไหม
-เอ็งนะเป็นใครมาบังอาจสั่งสอนข้า ข้าจบด็อกเตอร์ มีเงินติดอันดับโลก ข้ามี19ล้านเสียง 375สส สว ทหาร ตำรวจ ปปช ปปง สนงตรวจเงินแผ่นดิน ทุกกระทรวงทบวงกรม คนของข้าหมด ทำอะไรข้าได้ (สาธุขอให้เวรกรรมที่มันทำทั้งหลายแหล่ รีบติดตามมันทันในเร็ววันนี้เทอญ)
forwarded
ใครอยากให้สังคมไทยมีผู้นำประเทศแบบนี้บ้าง
มิถุนายน 1, 2009 ที่ 10:11 am
yuu
มิถุนายน 2, 2009 ที่ 10:30 am
yuu
สนธิ” งัดหลักฐานทิ่มหน้า “แม้ว” ลวงโลกอ้าง “แดงถ่อย” ถูกฆ่าผ่านสื่อนอก
http://www.manager.co.th/politics/ViewNews.aspx?NewsID=9520000042529
มิถุนายน 20, 2009 ที่ 6:34 am
ChiangraiLink
so good i like it.
มิถุนายน 24, 2009 ที่ 7:37 am
maew
แม้ว เปิดแผนตากสิน 2 หวังก่อสงครามไล่ล่า มาร์ค-องคมนตรี
ไม่ยอมหยุด นช.แม้ว เตรียมเคลื่อนไหวอีก เปิดแผนตากสิน 2 ทุบหม้อข้าวตีเมืองจันท์วาง 7 ยุทธศาสตร์ 6 ยุทธวิธี ก่อสงครามประประชาชน พร้อมจัดชุดไล่ล่า นายกฯ-องคมนตรี-แกนนำพันธมิตรฯ วางแผนชุมนุมใหญ่ 27 มิ.ย.ปิดล้อมทำเนียบอีกรอบ แฉเหตุเสื้อแดงเสนอเปลี่ยนวันชาติ แผนลดบทบาทสถาบันเหลือแค่เป็นสัญลักษณ์ เตรียมยกระดับมาตรการ ดิบ ถ่อย เถื่อน ขวาง ครม.ลงพื้นที่ สร้างสงครามการเมืองทั้งในและนอกสภา
วันนี้ (24 มิ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หน่วยข่าวกรองได้รายงานต่อฝ่ายความมั่นคงของรัฐ เกี่ยวกับ แผนตากสิน 2 ทุบหม้อข้าว-ตีเมืองจันท์ โดยมีเนื้อหา 5 หน้า ยกระดับการต่อสู้ที่เข้มข้นและรุนแรงกว่าแผนตากสิน 1 เพื่อใช้เป็นแนวปฏิบัติในการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดง ซึ่งแผนดังกล่าวแพร่หลายอยู่ในระดับแกนนำ และแนวร่วมตามพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ
สำหรับแผนตากสิน 2 กำหนดไว้ 7 ยุทธศาสตร์ 6 ยุทธวิธี โดยมีเป้าหมายล้มล้างรัฐธรรมนูญปี 2550 ผลักดันให้มีการใช้ร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับนายแพทย์เหวง โตจิราการ แก้ไขกฎหมายทุกฉบับที่เป็นอุปสรรคต่อการกลับประเทศของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เพื่อให้กลับเข้าสู่เวทีการเมืองอีกครั้ง ทั้งนี้ ในแผนตากสิน 2 มีการยกระดับใช้ยุทธวิธีที่รุนแรงมากขึ้นด้วยการเปิด 7 แนวรบล้มรัฐบาล หรือทำให้รัฐบาลต้องเผชิญกับศึกทุกด้านจนอยู่ในสภาพบริหารได้แต่ปกครองไม่ได้
ตอนนี้กลุ่มคนเสื้อแดงก็เริ่มดำเนินตามยุทธวิธีเหล่านี้ ตั้งแต่การสร้างความขัดแย้งภายในประเทศ โดยทำสงครามกับกระบวนการยุติธรรมเพื่อทำลายความน่าเชื่อถือ นำไปสู่ข้อกล่าวหาสองมาตรฐาน ซึ่งตามแผนของคนกลุ่มนี้ต้องการให้มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างตุลาการใหม่ โดยจัดองค์การให้สถาบันตุลาการศาลยุติธรรมกลับมาสังกัดกระทรวงยุติธรรมอีกครั้ง เพื่อให้อยู่ภายใต้การครอบงำของฝ่ายการเมือง ขณะเดียวกันก็จะผลักดันให้เปลี่ยนแปลงวันชาติจากวันที่ 5 ธันวาคม มาเป็นวันที่ 24 มิ.ย.เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของระบอบประชาธิปไตยที่จะลดบทบาทสถาบันพระมหากษัตริย์ให้มีความหมายเป็นเพียงแค่สัญลักษณ์เท่านั้น แหล่งข่าวกล่าว
แหล่งข่าวจากหน่วยงานด้านความมั่นคง ให้รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับแผนดังกล่าวในเรื่องการใช้สื่อสารมวลชนเป็นเครื่องมือว่า นอกจากจะใช้สื่อเทียมทั้งโทรทัศน์ดาวเทียม และการออกหนังสือพิมพ์เฉพาะกาลอย่าง เรดนิวส์ แล้วยังจะใช้สื่อสารมวลชนต่างประเทศกดดันประเทศไทย ผ่านบริษัทล็อบบี้ยิสต์โดยมีเป้าหมายให้ พ.ต.ท.ทักษิณ และนายจักรภพ เพ็ญแข สัมภาษณ์ผ่านสื่อต่างประเทศอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง รวมไปถึงการสร้างข่าวลือเพื่อขยายผลทางจิตวิทยา เช่น พระสุขภาพของพระมหากษัตริย์ ความเสื่อมเสียของพระบรมวงศานุวงศ์ ข่าวด้านลบของนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกระทรวงต่างๆ ในเรื่องทุจริตคอร์รัปชัน และเรื่องชู้สาว สร้างข่าวความขัดแย้งและความแตกแยกระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล รวมทั้งจะมีการแทรกแซงหน่วยงานข่าวของรัฐ โดยใช้เครือข่ายบุคลากรสายข่าวในยุครัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ฝังตัวอยู่ทั้งในสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักข่าวกรองแห่งชาติ ตำรวจสันติบาล ไปจนถึงศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ หรือ ศรภ. ด้วยการสร้างข่าวลือ ปล่อยข่าวลวง เพื่อสร้างความสับสนให้แก่รัฐบาลจนกำหนดแผนงานและยุทธวิธีที่ผิดพลาดด้วย
ที่เลวร้ายที่สุด คือ ยุทธวิธีที่ 5 ในการสร้างสงครามทางการเมือง ที่จะใช้ทั้งเวทีในสภาและนอกสภา ซึ่งมีการระบุว่าสามารถยึดกุมความคิดของกลุ่ม ส.ว.เลือกตั้ง และ ส.ว.สรรหาบางคนได้แล้ว ให้คนเหล่านี้ร่วมกับพรรคเพื่อไทยโจมตีรัฐบาลในสภาจนทำให้ประชาชนสิ้นหวังนำไปสู่การยุบสภา นอกจากนี้ยังใช้เครือข่ายความสัมพันธ์และเงินทุน สนับสนุนการก่อความรุนแรงในชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อสร้างแรงกดดันรอบด้านให้รัฐบาล โดยเริ่มมีการเข้าไปดำเนินการในเรื่อง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้แล้ว ซึ่งตามแผนตากสิน 2 อ้างว่ามีการใช้ศูนย์บัญชาการเสริมอยู่ที่เมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และจะใช้ความสัมพันธ์กับสมเด็จฯ ฮุนเซน สร้างความขัดแย้งบริเวณชายแดน ขยายข้อพิพาทปราสาทพระวิหารและพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล เพื่อเป็นตัวเร่งให้เกิดการปะทะกันทางทหาร รวมทั้งใช้สถานการณ์ปราบปรามชนกลุ่มน้อยของพม่า กดดันสร้างความวุ่นวายบริเวณชายแดนด้านตะวันตกของไทย และยังมีการกำหนดแผนมอบหมายให้นายเหยียนปิง หรือนายชาญชัย รวยรุ่งเรือง เคลื่อนไหวกดดันประเทศไทยบริเวณชายแดนภาคเหนือของไทย ตามแนวเขตพรมแดนประเทศจีนด้วย แหล่งข่าวกล่าว
สำหรับยุทธวิธีสุดท้ายในการพิชิตศึกตามแผนตากสิน 2 ทุบหม้อข้าว-ตีเมืองจันท์ ได้มีการสรุปบทเรียนความพ่ายแพ้กรณีเหตุการณ์ช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมา ด้วยการแปรความคับแค้นเป็นพลังในการจัดตั้งมวลชนตามหัวเมืองต่างๆ จัดกิจกรรมชุมนุมโดยให้ พ.ต.ท.ทักษิณ โฟนอินเพื่อเสริมสร้างขวัญกำลังใจ และจัดตั้งกลุ่มรักษาความปลอดภัย ฝึกฝนอาวุธร่วมกับกลุ่มผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยในเขตพื้นที่อีสาน 4 จังหวัด ประกอบด้วย อ.เสิงสาง จ.นครราชสีมา จ.อุดรธานี จ.กาฬสินธุ์ และจ.นครพนม ซึ่งจะมีการประสานงานกับสำนักป้องกันปราบปรามและควบคุมไฟฟ้า กรมอุทยานฯ สายของนายดำรง พิเดช อดีตอธิบดี และนายยงยุทธ (ติยะไพรัช) เพื่อเป็นกองกำลังติดอาวุธเข้าร่วมในการชุมนุมของคนเสื้อแดง ซึ่งจะมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการชุมนุมใหม่ในลักษณะที่ไม่ยืดเยื้อถ้าไม่จำเป็น แต่จะมีการขยายการชุมนุมจากท้องสนามหลวงไปจนถึงการปิดล้อมทำเนียบรัฐบาล เพื่อแสดงศักยภาพของคนเสื้อแดงอีกครั้ง
การเคลื่อนไหวนับจากวันที่ 27 มิ.ย.ซึ่งเป็นวันชุมนุมใหญ่ของคนเสื้อแดง จะเป็นการปลุกระดมให้มวลชนพร้อมกับการเผชิญอำนาจรัฐ ชนิดตาต่อตาฟันต่อฟัน โดยใช้ความรุนแรงทุกรูปแบบผ่านกองกำลังจัดตั้งและฝึกฝนมาแล้ว เช่น อดีตสหายผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย เจ้าหน้าที่ป้องกันไฟป่า การ์ดอาสา และกลุ่มนักศึกษารามคำแหงภายใต้การควบคุมของนายอารี ไกรนรา ซึ่งคนกลุ่มนี้มีการจัดตั้งหน่วยจรยุทธ์ หรือทีมไล่ล่าบุคคลสำคัญและเป็นปฏิปักษ์ต่อคนเสื้อแดง ตั้งแต่บุคคลระดับสูง องคมนตรี บุคคลในฝ่ายรัฐบาลมีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีเป็นเป้าหมายแรก ตามมาด้วยนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายเทพไท เสนพงศ์ เป็นต้น นอกจากนี้ แกนนำพันธมิตรฯ ทั้ง 5 คน กับนายสุริยะใส กตะศิลา และแนววร่วม เช่น น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง นายปราโมทย์ นาครทรรพ และนายปีย์ มาลากุล ก็เป็นเป้าหมายที่จะถูกลอบทำร้ายโดยกองกำลังติดอาวุธเหล่านี้ด้วย แหล่งข่าวกล่าว
ในหน้าสุดท้ายของแผนตากสิน 2 ทุบหม้อข้าว-ตีเมืองจันท์ ยังมีการกำหนดคำขวัญของการต่อสู้ไว้ว่า ผนึกกำลังสู้ครั้งสุดท้าย เพื่อนายใหญ่ โดยระบุกกลุ่มทุนที่ให้การสนับสนุนงบประมาณการต่อสู้ครั้งนี้ว่า ประกอบด้วย พ.ต.ท.ทักษิณ และคนในตระกูลชินวัตร อาทิ นายพายัพ นางเยาวเรศ และน.ส.ยิ่งลักษณ์ ส่วนกลุ่มทุนอื่น อาทิ นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล บริษัทธุรกิจในเครือชินคอร์ปและมูลนิธิไทยคม
สำหรับแผนตากสิน 2 ทุบหม้อข้าวตีเมืองจันท์นี้ ทางฝ่ายความมั่นคงได้รายงานสรุปและส่งเนื้อหาทั้งหมดให้นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงพิจารณาแล้ว ซึ่งที่ผ่านมาหน่วยงานด้านความมั่นคงได้มีการประชุมเพื่อกำหนดแนวทางรับมือการชุมนุมของคนเสื้อแดงแล้วหลายครั้ง โดยมีการกำชับว่า เจ้าหน้าที่ของรัฐทุกคนไม่ว่าจะเป็นตำรวจหรือทหารจะเกียร์ว่างไม่ได้ ต้องทำหน้าที่ของตัวเองโดยเคร่งครัด ใช้บทเรียนจากปัญหาที่เกิดขึ้นในช่วงเดือนเมษายนมาปรับปรุงการทำงาน จะปล่อยให้กลุ่มคนเสื้อแดงปิดล้อมทำเนียบรัฐบาลอีกครั้งไม่ได้โดยเด็ดขาด เพราะจะทำให้ภาพลักษณ์ของประเทศเสียหายในสายตาต่างชาติ
มิถุนายน 24, 2009 ที่ 7:40 am
maew
ไม่ยอมหยุด “นช.แม้ว” เตรียมเคลื่อนไหวอีก เปิดแผนตากสิน 2 ทุบหม้อข้าวตีเมืองจันท์วาง 7 ยุทธศาสตร์ 6 ยุทธวิธี ก่อสงครามประประชาชน พร้อมจัดชุดไล่ล่า “นายกฯ-องคมนตรี-แกนนำพันธมิตรฯ” วางแผนชุมนุมใหญ่ 27 มิ.ย.ปิดล้อมทำเนียบอีกรอบ แฉเหตุเสื้อแดงเสนอเปลี่ยนวันชาติ แผนลดบทบาทสถาบันเหลือแค่เป็นสัญลักษณ์ เตรียมยกระดับมาตรการ “ดิบ ถ่อย เถื่อน” ขวาง ครม.ลงพื้นที่ สร้างสงครามการเมืองทั้งในและนอกสภา
วันนี้ (24 มิ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หน่วยข่าวกรองได้รายงานต่อฝ่ายความมั่นคงของรัฐ เกี่ยวกับ “แผนตากสิน 2” ทุบหม้อข้าว-ตีเมืองจันท์ โดยมีเนื้อหา 5 หน้า ยกระดับการต่อสู้ที่เข้มข้นและรุนแรงกว่าแผนตากสิน 1 เพื่อใช้เป็นแนวปฏิบัติในการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดง ซึ่งแผนดังกล่าวแพร่หลายอยู่ในระดับแกนนำ และแนวร่วมตามพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ
สำหรับแผนตากสิน 2 กำหนดไว้ 7 ยุทธศาสตร์ 6 ยุทธวิธี โดยมีเป้าหมายล้มล้างรัฐธรรมนูญปี 2550 ผลักดันให้มีการใช้ร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับนายแพทย์เหวง โตจิราการ แก้ไขกฎหมายทุกฉบับที่เป็นอุปสรรคต่อการกลับประเทศของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เพื่อให้กลับเข้าสู่เวทีการเมืองอีกครั้ง ทั้งนี้ ในแผนตากสิน 2 มีการยกระดับใช้ยุทธวิธีที่รุนแรงมากขึ้นด้วยการเปิด 7 แนวรบล้มรัฐบาล หรือทำให้รัฐบาลต้องเผชิญกับศึกทุกด้านจนอยู่ในสภาพบริหารได้แต่ปกครองไม่ ได้
“ตอนนี้กลุ่มคนเสื้อแดงก็เริ่มดำเนินตามยุทธวิธีเหล่านี้ ตั้งแต่การสร้างความขัดแย้งภายในประเทศ โดยทำสงครามกับกระบวนการยุติธรรมเพื่อทำลายความน่าเชื่อถือ นำไปสู่ข้อกล่าวหาสองมาตรฐาน ซึ่งตามแผนของคนกลุ่มนี้ต้องการให้มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างตุลาการใหม่ โดยจัดองค์การให้สถาบันตุลาการศาลยุติธรรมกลับมาสังกัดกระทรวงยุติธรรมอีก ครั้ง เพื่อให้อยู่ภายใต้การครอบงำของฝ่ายการเมือง ขณะเดียวกันก็จะผลักดันให้เปลี่ยนแปลงวันชาติจากวันที่ 5 ธันวาคม มาเป็นวันที่ 24 มิ.ย.เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของระบอบประชาธิปไตยที่จะลดบทบาทสถาบันพระมหา กษัตริย์ให้มีความหมายเป็นเพียงแค่สัญลักษณ์เท่านั้น” แหล่งข่าวกล่าว
แหล่งข่าวจากหน่วยงานด้านความมั่นคง ให้รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับแผนดังกล่าวในเรื่องการใช้สื่อสารมวลชนเป็น เครื่องมือว่า นอกจากจะใช้สื่อเทียมทั้งโทรทัศน์ดาวเทียม และการออกหนังสือพิมพ์เฉพาะกาลอย่าง เรดนิวส์ แล้วยังจะใช้สื่อสารมวลชนต่างประเทศกดดันประเทศไทย ผ่านบริษัทล็อบบี้ยิสต์โดยมีเป้าหมายให้ พ.ต.ท.ทักษิณ และนายจักรภพ เพ็ญแข สัมภาษณ์ผ่านสื่อต่างประเทศอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง รวมไปถึงการสร้างข่าวลือเพื่อขยายผลทางจิตวิทยา เช่น พระสุขภาพของพระมหากษัตริย์ ความเสื่อมเสียของพระบรมวงศานุวงศ์ ข่าวด้านลบของนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกระทรวงต่างๆ ในเรื่องทุจริตคอร์รัปชัน และเรื่องชู้สาว สร้างข่าวความขัดแย้งและความแตกแยกระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล รวมทั้งจะมีการแทรกแซงหน่วยงานข่าวของรัฐ โดยใช้เครือข่ายบุคลากรสายข่าวในยุครัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ฝังตัวอยู่ทั้งในสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักข่าวกรองแห่งชาติ ตำรวจสันติบาล ไปจนถึงศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ หรือ ศรภ. ด้วยการสร้างข่าวลือ ปล่อยข่าวลวง เพื่อสร้างความสับสนให้แก่รัฐบาลจนกำหนดแผนงานและยุทธวิธีที่ผิดพลาดด้วย
“ที่เลวร้ายที่สุด คือ ยุทธวิธีที่ 5 ในการสร้างสงครามทางการเมือง ที่จะใช้ทั้งเวทีในสภาและนอกสภา ซึ่งมีการระบุว่าสามารถยึดกุมความคิดของกลุ่ม ส.ว.เลือกตั้ง และ ส.ว.สรรหาบางคนได้แล้ว ให้คนเหล่านี้ร่วมกับพรรคเพื่อไทยโจมตีรัฐบาลในสภาจนทำให้ประชาชนสิ้นหวังนำ ไปสู่การยุบสภา นอกจากนี้ยังใช้เครือข่ายความสัมพันธ์และเงินทุน สนับสนุนการก่อความรุนแรงในชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อสร้างแรงกดดันรอบด้านให้รัฐบาล โดยเริ่มมีการเข้าไปดำเนินการในเรื่อง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้แล้ว ซึ่งตามแผนตากสิน 2 อ้างว่ามีการใช้ศูนย์บัญชาการเสริมอยู่ที่เมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และจะใช้ความสัมพันธ์กับสมเด็จฯ ฮุนเซน สร้างความขัดแย้งบริเวณชายแดน ขยายข้อพิพาทปราสาทพระวิหารและพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล เพื่อเป็นตัวเร่งให้เกิดการปะทะกันทางทหาร รวมทั้งใช้สถานการณ์ปราบปรามชนกลุ่มน้อยของพม่า กดดันสร้างความวุ่นวายบริเวณชายแดนด้านตะวันตกของไทย และยังมีการกำหนดแผนมอบหมายให้นายเหยียนปิง หรือนายชาญชัย รวยรุ่งเรือง เคลื่อนไหวกดดันประเทศไทยบริเวณชายแดนภาคเหนือของไทย ตามแนวเขตพรมแดนประเทศจีนด้วย” แหล่งข่าวกล่าว
http://webboard.news.sanook.com/forum/?topic=2850400
มิถุนายน 28, 2009 ที่ 12:03 am
veeera
มิถุนายน 28, 2009 ที่ 12:09 am
veeera
วีระ – ก่อนจะพูดเรื่องส่วนตัวผมขอขัดจังหวะนิด คือพี่น้องที่มาฟังท่านนี่ ผมดูแล้วเขาฟังตาแป๋ว ตาใส พี่น้องเขาอยากจะฟัง ว่ารัฐบาลพูดแนวทางอย่างนี้เป็นบ้างไหม เขาคอยมา 6 เดือนแล้วครับ ยังไม่ได้ยินจากรัฐบาล ที่นี้ท่านพูดมาเสื้อแดงเขาได้ฟัง แต่รัฐบาลก็ได้ฟังไปพร้อมๆกัน แต่ว่าสำหรับรัฐบาลแล้วเท่าที่ผมรู้สึก ท่านผูดให้เขาฟังแบบเมื่อกี้ก็เหมือนสีควายให้ซอฟัง คือมันคิดไม่ออกและเมื่อมันคิดไม่ออกแล้ว ผมอยากจะเรียนถามท่านิดเดียวก่อนที่ท่านจะเล่าเรื่องส่วนตัวเพราะมีคนสนใจมากเลย ถามว่าท่านไปแอฟริกาหลายเที่ยวแล้ว เคยเจอประเทศไหนในแอฟริกา ที่มีรัฐบาลหน้าด้านแบบนี้บ้างครับ
ทักษิณ – คุณวีระครับ ไม่มีประเทศไหนในโลกนี้ ที่ฝืนความรู้สึกของคนส่วนใหญ่ได้ ก็อยากจะเล่าให้ฟังนิดนึง ส่วนตัวมีคนเป็นห่วงหลังมีคนปล่อยข่าวว่าเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก ผมสบายดีนะ ไม่ได้เจ็บไข้เลย ไปตรวจเลือดไม่กี่วันนี้หมอก็บอกว่าทุกระบบทำงานดีไม่มีปัญหา แต่ถ้าจะมีปัญหาก็ปัญหาทางใจ ทางกายไม่มี
วีระ – ปัญหาโรคหัวใจนี่ คนเสื้อแดงพอจะช่วยรักษาได้ไหมครับ
ทักษิณ – ผมเป็นโรคเหงาครับ คนเสื้อแดงต้องช่วยผมอย่างแน่นอน เป็นโรคเหงาอยากกลับบ้าน ผมออกมาเดือนกันยายนนี้ก็สามปีแล้ว มันเหงาอยากกลับจริงๆ ทีนี้คนเสื้อแดงจะเอาผมกลับได้ยัง ผมเป็นคนรู้จักบุญคุณคน ถ้ากลับไปก็ทำงานให้ประชาชนทันที อยากแนะนำนายกฯ อภิสิทธิ์ เบื้องต้นชาวบ้านกำลังลำบากอย่าคิดขึ้นภาษีน้ำมันเลย คืออยากได้แล้วมันมันได้ การขึ้นภาษีเขาคิดว่าใช้เครื่องคิดเลขคิด แต่ถ้าไม่ขึ้นภาษีเขาเรียกว่าใช้สมองคิด
วีระ -ไม่ใช่อ๊อกฟอร์ดนะครับ มีคนพูดกันที่นี่ว่าจบจากออกฟอร์ดหรือจบจากอ๊อกเหล็ก
ทักษิณ – ผมไม่ได้เรียนอ๊อกฟอร์ด แต่ผมเรียนมงฟอร์ด คุณวีระ เรื่องขึ้นภาษีน้ำมัน ถ้าท่านจำได้ตอนที่ท่านสมัครเป็นนายกฯ ผมเสนอไปว่าให้ลดภาษี ซึ่งตอนนั้นน้ำมันอาจจะแพง เพราะผมรู้ว่าประชาชนเมื่อถึงจุดหนึ่งเขารับไม่ไหว ภาวะเศรษฐกิจรับไม่ไหวมันตามมาด้วยภาวะสังคม ครอบครัวก็มีปัญหา ความหงุดหงิดเพราะชีวิตต้องดิ้นรนต้องต่อสู้ด้วยความยากลำบาก ความสัมพันธ์ครอบครัวก็แย่ลง และความที่ลูกจะได้เรียนหนังสือมันก็ลำบากขึ้น เพราะฉะนั้นวันนี้มันต้องคิด ว่า จะช่วยประชาชนอย่างไรอันนี้เป็นเรื่องใหญ่ รัฐบาลช่วยตัวเองได้แต่ต้องช่วยประชาชนก่อน นั่นก็คืออย่าขึ้นภาษีมักง่าย เมื่อประชาชนมีกำลังจับจ่ายใช้สอย ภาษีที่ได้ก็คือภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% นั่นแระ เดี๋ยวมันกลับเข้ามาเอง ให้คนมีกำลังซื้อก่อน อันที่สองผมอยากจะบอกว่าพี่น้องที่เดือดร้อนคือหนี้สินครัวเรือน บางคนต้องเข้าไปปลูกหนี้นอกระบบดอกเบี้ยแพงๆมันอยู่ไม่ได้ ชีวิตถูกบีบคั้น ผมอยากให้พักหนี้ครัวเรือนหนี้รายย่อยหนี้ที่มันไม่ถึง 5 แสนบาท พักหนี้เขาก่อน เพื่อให้เขามีแรงทำมาหากินต่อ ไม่ใช่วิ่งหนีเจ้าหนี้ทั้งวัน อันที่สองเอสเอ็มอี หรือ ผู้ประกอบการณ์ขนาดเล็ก ขนาดกลาง ขนาดย่อมทั้งหลาย ทุวันนี้เขาไม่มีกำลังแบงก์ก็ไม่ปล่อยกู้ยิ่งไม่ปล่อยกู้และกำลังไม่มี แล้วหนี้มันตามมาตลอด คนเหล่านี้เจ๊ง เจ๊งก็จะทำให้เศรษฐกิจไม่หมุนเวียนแล้วคนที่ทำงานอยู่กับเขาบริษัทหนึ่ง 7-8 คน ก็ต้องออกงาน
ดังนั้นต้องปรับโครงสร้างหนี้ซักหน่อย ให้เขาสามารถใช้หนี้ได้ ให้เขามีเงินใหม่ในการสร้างรายได้ ส่วนคนตกงานชวนเขาเข้ามาผู้ประกอบการณ์ไหวมั๊ย ผมจะเล่าให้ฟัง เคยมีคนตกงานรายหนึ่งเขาอยู่สถาบันการเงิน เขาไปเห็นทองม้วน แล้วเอาทองม้วนไปชุปช๊อกโกแล็ต แล้วห่อส่งซุปเปอร์มาเก็ต แล้วค่อยๆปรับเป็นใส้หมูหยอง สุดท้ายเขามีรายได้เดือนหนึ่งประมาณล้านบาท ไม่ต้องไปเป็นลูกจ้างเขาอีกแล้ว นี่คือสิ่งที่สามารถทำได้ในภาวะเช่นนี้ ก็อยากจะฝากบอกให้รัฐบาลช่วยไปทำหน่อย ถ้าพี่น้องนำผมกลับไปผมก็ทำครับเรื่องนี้ จะต้องหาตลาดต่างประเทศให้เขาหน่อย เพราะตลาดยังมี และที่น่าสนใจอย่างหนึ่ง ผมอยากให้นำคนไทยไปแสวงโชค ต่างประเทศยังมีช่องทางเยอะ ผมยกตัวอย่างให้อันนะมีคนมาชวนผมไปทำเหมืองเพชร วันนี้เขาหาได้เดือนหนึ่งพันกะรัต ถ้าเราเพิ่มทุนเข้าไปเขาสามารถให้ได้สองพันกะรัตภายในหกเดือน และสามพันกะรัตภายในหนึ่งปี ที่แอฟริกาของมันเยอะ อยากให้คนไทยได้เปิดโลกกว้าง วันนี้ผมเดินทางท่องเที่ยวเยอะได้เห็นหมด ผมก็เลยอยากให้พี่น้องคนไทยได้มีโอกาศบ้าง อย่างนี้อย่างนี้แทนที่ เออ! ผมเป็นอดีตนายกนะ เรื่องที่กล่าวหาผมก็เป็นเรื่องการเมืองทั้งนั้น แค่ให้บัตรประชาชนเมียไปทำนิติกรรม ติดคุกสองปีอย่างนี้ ใครเห็นที่ไหนก็หัวเราะเยาะกันหมด แต่จะเอาเป็นเอาตายกับผม แทนที่จะบอกว่าเออผมเป็นอดีตนายกต้องรักชาติรักประชาชนอยู่แล้ว แทนที่จะมาหาผมให้ช่วยคิดกันหน่อยช่วยกันทำงานนะ แต่นี่มาทำโก้ ตามจับผม ยึดพาสปอร์ตผม มันเก่งอะ มันเก่งจังเลย เป็นผผู้ใหญ่หน่อยสิ ประชาชนก็เหนื่อทุกวันละ ผมก็เลยอย่ากบอกว่าทุกวันนี้ชีวิตผมสบายดีไม่มีอะไรก็ทำธุรกิจรอไป แล้วก็ท่องเที่ยวไปเรื่อย
วันนี้ก็มีผู้นำหลายประเทศ มาขอให้ผมส่งทีมไทยรักไทยเดิมไปช่วยวิเคราะห์เรื่องนโยบายหน่อย ดูว่าอะไรปรับใช้กับประเทศของเขาได้ ตอนนี้ก็ได้รับการเสนอมา 2-3 ประเทศ ก็เลยทยอยไป เพราะมันเหนื่อยกันต้องทำหลายเรื่อง ก็เป็นห่วงพี่น้องครับ ถามว่าสบายป่าว มันก็สบายนะครับแต่มันเหงาจริงๆ มันไม่ได้อยู่ในวัฒนธรรมเรา ที่สำคัญอยากอยู่ภายใต้พระบรมโพธิสมภารของพระเจ้าอยู่หัวของเรา ผมอยากกลับไป อยากจะให้พี่น้องคนรู้ไทยว่า ถ้าผมเป็นประโยชน์เอาผมมาไว้เมืองนอกทำไม คนอย่างผมอยู่ในประเทศไทยมีประโยชน์กว่าเยอะ แล้วมาปล่อยให้ตะลอนๆ แล้วสุดท้ายก็มาแห้งตายแถวทะเลทรายปล่อยทำไม เอาไปใช้ไม่ดีกว่าหรือ
คนอย่างผมไม่มีพิษมีภัยหรอก นี่ไอ้พวกขี้กัว ไอ้พวกที่เสียบหลังผมแล้วออกไปทั้งหลาย ไม่ต้องกลัวหรอกผมให้อภัยหมดแล้ว ผมนั่งสมาธิทุกวัน แผ่เมตตาให้หมด ใครมีกรรมก็ไปรับกรรมของตัวเองไป อย่าผูกกรรมไว้กับผมเลยเผื่อชาติหน้าจะได้มาเจอกันใหม่ ไม่มีหรอกผมใช่ใช่คนที่จะต้องไปตามฆ่า ตามล้างตามผลาญ ไม่มีหรอกครับ ผมถือว่าบุญกรรมของใครของมัน
พี่น้องครับก็ให้กำลังใจนะครับ พี่น้องให้กำลังใจผมดีเหลือเกินผมก็ให้กำลังใจพี่น้อง พี่น้องสกลนคร ให้กำลังใจผมดีมากเลย ตอนนี้ผมบอกพี่น้องศรีษะเกษว่า พี่น้องสกลนครแบกผมมาเกือบถึงชายแดนแล้ว ขอให้พี่น้องศรีษะเกษแบกผมข้ามชายแดนให้หน่อย แล้วพี่น้องเสื้อแดงทั้งหลายช่วยจับผมเข้าไปทำงานให้ได้ เพื่อใช้งานผมให้คุ้ม ผมยังมีพลังอยู่อายุแม้ 60 แต่แรงยังมีอยู่ ยังทำงานได้อยู่แต่ถ้าอยู่ถึง 70 นี่ไปทำงานไม่ไหวแล้วนะ
วีระ – ผมจะขอขัดจังหวะต่ออีกหน่อย อย่างเพิ่งวางหูนะครับ คือประการแรกผมกราบเรียนท่านว่าต้องขออภัยที่ไม่ได้กราบเรียนความจริงท่านไปก่อน โดยที่ผมถือโอกาสให้ท่านพูดอย่างต่อเนื่อง เพราะเห็นว่าท่านต้องการพูดถึงเรื่องปัญหาเศรษฐกิจ ที่มันจะเป็นประโยชน์ต่อคนไทยทั้งชาติ อยากจะพูดให้รัฐบาลฟัง แต่สิ่งที่ผมไม่ได้กราบเรียนท่านเสียก่อน เบื้องต้นพี่น้องเสื้อแดงที่มาวันนี้มันล้นสนามหลวง แต่เนื่องมาจากภายุฝน บรรยากาศมันคล้ายกับที่ชุมนุมใต้วัดไผ่เขียว คือคนยืนฟังท่านแล้วก็ยืนกันมา 5 ชม.แล้ว ที่นี้ปัญหาต่อไปก็คือว่าเขาตัดสินใจที่จะยืนกันต่อไปจนสว่างคับ
ทักษิณ – ต้องทนเอานะครับ พวกเรามันไม่มีเส้นก็อย่างนี้แระ
วีระ – คืนนี้เราจะต้องแสดงความทรหดอดทนกันนี้ ก็เพราะว่าเราคิดตรงกันท่าน คือสิ่งที่ท่านพูดให้พวกเราได้ฟัง ถือว่าบ้านเมืองมันมีปัญหา ถ้าหากได้มีการสมานฉันท์ ในระดับ บุคคลที่จะมาทำงานให้บ้านเมืองได้ ผมคิดว่าหัวใจของคนทุกๆฝ่าย เริ่มจะโน้มเข้าไปหาแนวทางสมานฉันท์กันมากขึ้นทุกที เพราะว่า มันขาดคนมีฝีมือจริงๆ และคนเสื้อแดงความที่เขาอยากจะให้คนมีฝีมือเข้ามาแก้ปัญหา เขาก็ยอมทนทุกข์ทรมานพอสมควร การที่มาอยู่ข้ามวันข้ามคืนเขาก็ต้องการทำลายสถิติโลกเหมือนกัน เพื่อให้นักประชาธิปไตยในโลกนี้ ที่เขาติดตามสังเกตการณ์ผู้สื่อข่าวต่างประเทศที่มากันเยอะเขาจะได้เห็นว่าคนนำไทยจำนวนมาก เขายึดแนวทางสันติอหิงสา แต่เขาอยากได้คนมีฝีมืออย่าง ทักษิณ ชินวัตร มาช่วยแก้ปัญหาให้เขา
ทักษิณ – ยินดีอย่างยิ่งครับผมได้ทำงานแล้วมีความสุข และยิ่งได้มีโอกาสทำงานถวายพระเจ้าอยู่หัวฯ ยิ่งถือว่ามีความสุขและมีบุญอย่างยิ่งครับ
วีระ – วันนี้มีคนหลายคน ไม่เฉพาะแต่ประชาชนที่เป็นชาวบ้านธรรมดา มีภิกษุหลายรูปที่ปรารภเข้ามา ว่า นี่คุณวีระ ที่คุณได้เกริ่นไว้หลายเดือนก่อนว่า ถ้ามันถึงเวลาและจำเป็นจริงๆ พี่น้องประชาชนจะเข้าชื่อกัน ร้องทุกข์ทูลเกล้าฯ ถวายฏีกาแด่องค์พระประมุข ทำไมไม่ทำ
ทักษิณ – อันนี้ต้องถือว่า แล้วแต่พระมหากรุณาธิคุณ
วีระ – อันนี้แระครับ แล้วแต่พระมหากรุณาธิคุณ ที่นี้ปัญหาก็คือว่าสิ่งนี้ ผมก็เล่าให้กับคนทีมาเล่าให้ผมฟังว่า ความเป็นจริงมันก็เป็นเรื่องหรือเป็นหน้าที่ของพี่น้องประชาชนนะ ถ้าพี่น้องประชาชนเป็นพสกนิกร มีความรูสึกโดยสุจริตใจอย่างไร จะกราบบังคมทูลโดยถวายฎีกาเพื่อทรงทราบฝ่าละอองธุลีพระบาท เท่าที่ผมได้ประจักมามันไม่เป็นความผิดอะไรเลย มันเป็นเรื่องที่สามารถทำได้ และเป็นประเพณีตังแต่โบราณ ตั้งแต่พ่อขุนรามฯเป็นต้นมา เพราะฉะนั้นเรื่องนี้ วันนี้คงจะต้องต้องเรียนท่านให้บอกกับคนเสื้อแดง เพราะผมคงไม่กล้าที่จะหยิบเรื่องนี้มาพูดเอง หากไม่ได้รับการกระตุ้นจากพี่น้องเสื้อแดง ถ้ามีแนวความคิดเช่นนี้ที่จะสนับสนุนกัน พี่น้องเสื้อแดงครับแนวความคิดเช่นนี้ถ้าเห็นด้วยลองปรบมือพร้อมๆ กันครับ
ทักษิณ – ขอบคุณมากครับ ของคุณอย่างสูง พี่น้องคงเข้าใจว่าผมสำนึกบุญคุณครับ เพราะชีวิตผมเติบโตมาสำนึกบุญคุณกับผู้ที่ทำคุณให้ตัวเอง ไม่ว่าลึกมากน้อยหรือเป็นใครก็แล้วแต่
วีระ – ผมก็คงจะต้องเริ่มต้นตามที่ได้เคยปรารภกับพี่น้องประชาชนไว้ แล้วถ้าพี่น้องประชาชนร่วมมือไม่ใช่รายเซนต์ของท่านคนเดียวท่านต้องช่วยไปขอคนที่เขาเห็นพร้องด้วยกับท่าน เราจะหาวิธีซึ่งไม่กี่วันนี้หรอกครับเราจะบอกกับพี่น้อง แล้วถ้ามันเป็นล้านรายชื่อเกินกำลังเสื้อแดงป่าวถามจริงเถอะ .. ไม่เกินกำลัง.. แต่ทั้งนี้ก็สุดแท้แต่พระบรมราชวินิจฉัย แต่ถ้าเราตกลงกันอย่างนี้ในฐานะที่เราเป็นพสกนิกร ผมก็ถือว่าพี่น้องประชาชนก็สนับสนุนให้ผมเริ่มก่อการ โดยที่ท่าน ทักษิณ ก็ได้ยินได้ฟังอยู่ด้วย ก็เป็นเรื่องเปิดเผยไม่มีอะไรเสียหาย ไม่มีอะไรเป็นความลับ
ทักษิณ – ขอบคุณพี่น้องเสื้อแดงทุกๆท่านครับ ที่คิดว่าผมยังเป็นประโยชน์ต่อบ้านเมือง และที่สำคัญผมอยากเห็นความปรองดองแห่งชาติ เพราะเราคนไทยด้วยกันมีเรื่องมีราวกันมานานแล้วเพราะความคิดที่ต่างกัน ผมก็อยากให้ทุกคนหันหน้าเข้าหากันให้บ้านเมืองเข้าสูภาวะปกติ เพื่อเราจะได้แก้ปัญหาร่วมกันได้ เราไม่ควรที่จะแตกแยกกันขนาดนี้
วีระ – เอาละ ผมจะได้หารือผู้หลักผู้ใหญ่ ในฝ่ายของพวกเราก็มีอยู่หลายคนด้วยกัน แล้วรวมทั้งพระภิกษุที่ผมแคร์ความรู้สึกที่สุดก็คือวา มีภิกษุสงฆ์ไม่น้อยที่กระตุ้นผม ดังนั้นแนวโน้มมันเป็นอย่างนี้ ก็ขอรับอาสาว่าจะดำเนินการ ต่อจากนี้ก็ขอท่าน กล่าวสรุปกับพี่น้องเสื้อแดงตามสมควรครับ เดี๋ยวเราจะได้เริ่มการปราศรัยในแนวทางที่จะทำให้เกิดประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชนกันต่อ
ทักษิณ – ขอบคุณท่านวีระ ที่นำเรื่องนี้ขึ้นมา จริงๆแล้วผมก็เพียงแต่บ่นกับพี่น้องประชาชนมีชีวิตอยู่ที่นี่มันก็สบายดี แต่มันเหงา ก็คิกว่าเราน่าจะมีประโชยน์ต่อชาติบ้านเมืองต่อประชาชน ต่อเจ้านายของเรา ซึ่งผมยังมีกำลังอยู่ และวันนี้ก็สะสมความผูกพันธ์ความใกล้ชิดกับผู้นำหลายประเทศ รวมทั้งเศรษฐีใหญ่หลายประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะที่นี้ที่ไหนร้อนเงินก็มาเอาที่นี่ทั้งนั้น เพราะฉะนั้นเราก็เลยมีความรูสึกว่า เราน่าจะเป็นประโยชน์ชาวคนไปลงทุนในประเทศของเรา ทำให้ประเทศเราเศรษฐกิจฟื้น ให้คนไทยมีตัง เพราะที่นี่ขนาดทะเลทรายยังสร้างให้ยิ่งใหญ่ได้ น้ำไม่มีซักหยดเขายังเอาน้ำทำเลมา เป็นน้ำจืดได้ มีต้นไม้เต็มเมือง ฉะนั้นมันอยู่ที่ปัญญา อยู่ที่เครือข่ายของการลงทุน ผมก็เลยคิดว่าผมเป็นประโยชน์ พี่น้องคิดว่าผมเป็นประโยชน์ ชาติคิดว่าผมเป็นประโยชน์ ดีกว่าปล่อยให้ตะลอนๆ อยู่อย่างนี้และการอยู่อย่างนี้ผมก็มีช่องทางของผม ผมไม่ได้เดือดร้อนอะไร แต่อย่างไรก็สู้อยู่บ้านเราไม่ได้ มันก็อยากจะกลับบ้าน ก็เลยบอกว่าถ้าผมกลับบ้าน ผมก็ต้องทดแทนบุญคุณประชาชน ทดแทนบุญคุณพระเจ้าอยู่หัวฯ ที่ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณ ทดแทนบุญคุณประเทศที่ต้องทำงานทุ่มเทอย่างเต็มที่ นี่คือความตั้งใจของผม ทั้งนั้นอะไรจะเกิดก็ไม่เป็นไร มันเป็นบุญเป็นกรรมของแต่ละคนอยู่แล้ว ขอบคุณมากครับ ขอบคุณทุกท่านอีกครั้งหนึ่งครับ
http://thaienews.blogspot.com/2007/05/blog-post_5874.html
พฤศจิกายน 25, 2009 ที่ 12:07 pm
paprem
ช่วงเย็นวันนี้ (25 พ.ย.) TAN Network สถานีโทรทัศน์ข่าวภาษาอังกฤษแห่งแรกของเมืองไทย ได้เผยแพร่เทปบันทึกภาพการให้สัมภาษณ์ของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ณ บ้านพักสี่เสาเทเวศร์ โดยการให้สัมภาษณ์ดังกล่าวถือเป็นการให้สัมภาษณ์พิเศษครั้งแรกในรอบ 2 ปี
ในช่วงต้นของรายการเฮดไลเนอร์ส น.ส.สโรชา พรอุดมศักดิ์ สอบถาม พล.อ.เปรม ถึงพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ก่อคุณูปการให้สังคมไทย โดย พล.อ.เปรม กล่าวว่า เท่าที่ตนเองทราบนั้น ในหลวงทรงคำนึงถึงเรื่องช่วยเหลือประชาชน และเตรียมการในเรื่องต่างๆ อยู่ตลอดเวลา อย่างไม่ทรงรู้จักเหน็ดเหนื่อย ซึ่งนั่นเองเป็นเหตุผลว่าทำไมประชาชนถึงรักพระองค์
“พระองค์ท่านทรงเตรียมการอย่างดี ท่านทำการศึกษาทุกอย่างก่อนดำเนินการ ท่านศึกษาแผนที่ ศึกษาปัญหาที่ประชาชนประสบพบ ผมคิดว่าไม่มีใครที่อุทิศตนให้ประชาชนได้มากเท่าพระองค์” ประธานองคมนตรี กล่าวและว่า ในหลวงทรงคำนึงถึงปัญหาความยากไร้ ปัญหาด้านการศึกษาของประชาชนในทุกพื้นที่ โดยเฉพาะในหมู่ชาวเขาที่ทรงนำโครงการพระราชดำริเข้าไปช่วยเหลือชาวเขามากมาย อย่างเช่น โครงการปลูกพืชเศรษฐกิจทดแทนการปลูกฝิ่น
“ตอนที่ผมเป็นแม่ทัพภาคที่สอง ผมมีโอกาสได้เดินตามท่านไม่รู้กี่กิโลเมตร ผมเห็นพระองค์ท่านตรัสกับประชาชนอย่างไม่ถือพระองค์ พระองค์ท่านทรงอยู่ติดดิน … ผมไม่เพียงได้เห็น แต่ได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างจากพระองค์ เมื่อผมมีปัญหา ผมนำปัญหาไปกราบทูลพระองค์ท่าน พระองค์ท่านก็ทรงให้ทางออกได้อย่างน่าทึ่ง” พล.อ.เปรม กล่าวเสริมเป็นภาษาอังกฤษ และว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไม่เพียงทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่แสวงหาความรู้อยู่ตลอดเวลา แต่ท่านยังทรงมีพระอัจฉริยภาพอันสูงส่งด้วย
เมื่อ น.ส.สโรชา ถามว่า ในหลวงทรงริเริ่มปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง แต่ดูเหมือนว่าคนไทยจำนวนหนึ่งยังคงไม่เข้าใจถึงแนวคิดดังกล่าว แล้วในความคิดของ พล.อ.เปรม เศรษฐกิจพอเพียงสามารถปรับใช้ได้กับสภาพเศรษฐกิจและสังคมยุคปัจจุบันหรือไม่ พล.อ.เปรม ตอบว่า แรกเริ่มเมื่อในหลวงทรงเสนอเรื่องปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง มีบางคนหัวเราะเยาะ เพราะคนเหล่านั้นไม่เชื่อว่าจะสามารถทำให้เกิดขึ้นจริงได้ แต่ในหลวงทรงย้ำว่า เศรษฐกิจพอเพียงนั้นไม่ใช่ทฤษฎี แต่เป็นปรัชญา ดังนั้น พวกเราจะต้องนำปรัชญานี้ไปดัดแปลงให้เกิดเป็นรูปธรรมให้ได้
“ตอนนี้ ผมเชื่อว่า แม้แต่ในสังคมของคนชั้นสูง หรือแม้แต่ในสังคมของชาวต่างชาติ ที่ไม่เคยเชื่อในปรัชญานี้มาก่อน พวกเขาเพิ่งเรียนรู้ว่าแนวคิดนี้นั้นเป็นแนวทางที่ดี แม้อาจจะไม่เหมาะสำหรับประเทศที่ร่ำรวยอย่างอเมริกา แต่เหมาะสำหรับประเทศยากจนอย่างเรา หรือในประเทศยากจนอื่นๆ” ประธานองคมนตรี กล่าว
ต่อมา เมื่อถามถึงปัญหาความรุนแรงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งยืดเยื้อมานานหลายปี พล.อ.เปรม ได้กล่าวย้ำถึงพระราชดำรัสของในหลวงเรื่อง “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” ว่า เป็นแนวทางที่รัฐบาลต้องยึดถือและปฏิบัติตาม อย่างไรก็ตาม การแก้ไขปัญหาภาคใต้นั้นต้องใช้เวลา โดยสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการคืนความถูกต้องและความยุติธรรมให้กับประชาชน เพื่อให้ประชาชนเกิดความเชื่อมั่น
เมื่อถูกถามว่า ตอนนี้การแก้ปัญหาภาคใต้มาถูกทางแล้วหรือไม่ พล.อ.เปรม ระบุว่า มีที่ถูกและไม่ถูก โดยส่วนที่ไม่ถูกคือ ทุกวันนี้ยังมีเจ้าหน้าที่รัฐที่ประพฤติตัวไม่ดีอยู่ โดยคนเหล่านี้เป็นผู้ก่อปัญหา อย่างไรก็ตามตนเห็นว่าหนทางแก้ไขนั้นขึ้นอยู่กับบังคับบัญชาระดับสูงว่าจะดำเนินการเช่นไรด้วย
ต่อกรณีพระอาการประชวรของในหลวง ซึ่งทรงประทับรักษาพระวรกายอยู่ที่ รพ.ศิริราช มาหลายเดือนแล้วนั้น พล.อ.เปรม ระบุว่า วิธีที่ดีที่สุดจะทำให้ในหลวงทรงสบายพระทัย ก็คือ การส่งแรงใจให้กับพระองค์ ซึ่งแม้แต่ตนก็รู้สึกทึ่งเมื่อเห็นชาวไทยและชาวต่างประเทศจำนวนมากหลั่งไหลไปลงนามถวายพระพรให้ในหลวงทรงหายจากพระอาการประชวรโดยเร็ว
เมื่อถามต่อว่า พล.อ.เปรม มีทัศนะในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งของคนในชาติอย่างไร ในสถานการณ์ที่ผู้คนมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการเมือง พล.อ.เปรม ยิ้ม และตอบว่า ตนคงไม่สามารถวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการเมืองได้ อย่างไรก็ตาม กล่าวว่า ในหลวงทรงสอนว่า ประชาชนต้องมาก่อน พระองค์ต้องมาที่หลัง ซึ่งหากทุกคนเดินตามรอยของพระองค์ คือ ให้ความสำคัญกับชาติเป็นอันดับแรก และตัวเองมาที่หลังนั้นก็จะทำให้สถานการณ์ดีขึ้นมาก อย่างไรก็ตาม แม้การจะทำให้ทุกคนคิดเช่นนี้จะไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ต้องพยายาม
จากนั้น น.ส.สโรชา ได้ถามว่า ด้วยสถานการณ์ของบ้านเมืองในปัจจุบัน สิ่งที่คนไทยประสบ ก็คือ มีบุคคลบางกลุ่มที่พยายามทำลายประเทศ ทั้งในแง่ของจิตวิญญาณและภาพลักษณ์ คนไทยจะรับมือการกระทำ จุดมุ่งหมาย และ การคุกคามของคนเหล่านี้อย่างไร ซึ่งประธานองคมนตรี ได้ตอบว่า คนไทยต้องมีความอดทน และอย่าโมโหโกรธาใคร เพราะนั่นไม่ใช่หนทางแก้ไขปัญหา
“ในการแก้ไขปัญหา คุณต้องทำในสิ่งที่คุณคิดว่าดีต่อประเทศชาติ … คุณต้องอดทน ต้องมีจิตใจที่สงบ ต้องไม่รู้สึกโมโหโกรธาอะไรมากมาย เพราะนั่นไม่ใช่เรื่องที่ดี ประเด็นนี้เป็นประเด็นที่ละเอียดอ่อน เพราะฉะนั้นคุณก็ต้องระมัดระวัง ต้องทำให้ประชาชนเข้าใจว่าอะไรถูก อะไรผิด พยายามแม้ว่าพวกเขาไม่ฟังคุณ คุณก็ต้องพยายามต่อไป”
ในตอนท้ายของการสัมภาษณ์ พล.อ.เปรม เปิดเผยว่า ทุกวันนี้ตนยังออกกำลังกายทุกเย็นและตีกอล์ฟสัปดาห์ละหนึ่งครั้ง ส่วนในเวลาว่างนั้นก็มักจะเล่นดนตรีและแต่งเพลง โดยถึงปัจจุบันตนแต่งเพลงออกมา 8 อัลบั้มแล้ว แต่ไม่ได้ทำขาย เพียงแต่ทำสนุกๆ แจกเพื่อนฝูงและคนรู้จักเท่านั้น ขณะที่เมื่อถามถึงความสำคัญของสถานีข่าวภาษาอังกฤษของไทย พล.อ.เปรม ตอบว่า เป็นหนทางหนึ่งที่สำคัญมากในการให้ความรู้กับประชาชน โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่สามารถฟังและพูดภาษาอังกฤษได้ดี